หลินหลันพร้อมบรรดาสตรีทั้งหลายร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงสังสรรค์กัน ณ ห้องปีกตะวันออก นี่ถือเป็นครั้งแรกของการเรียนเชิญสตรีชนชั้นสูงมาร่วมงานเลี้ยงภายในบ้าน ชีวิตที่ปราศจากผู้อาวุโสนี่มันสุขสบายดีจริงๆ! ไม่ต้องมากพิธี ไม่ต้องคอยกังวล จัดการสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผนวกกับการที่พี่สะใภ้น้องสะใภ้รักใคร่กลมเกลียวกัน มีสามีที่รักใคร่ทะนุถนอมตนเองคนหนึ่ง ซึ่งการดำเนินชีวิตในยุคสมัยโบราณที่หลินหลันจินตนาการไว้ก็เป็นประมาณนี้นั่นเอง
เมื่อก่อนเผยจื่อชิ่งกับติงหลั้วเหยียนเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ของแวดวงสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง หลังจากติงหลั้วเหยียนออกเรือน ทั้งสองถึงได้ติดต่อกันน้อยลง แม้ไม่เจอกันนานมากแล้ว แต่กลับไม่ได้รู้สึกไม่คุ้ยเคยกันแต่อย่างไร เพียงชั่วครู่เดียวก็พูดคุยกันได้อย่างลงตัว
ฮว๋าเหวินยวนมาถามไถ่เรื่องหุยชุนถางจะเปิดทำการเมื่อใด คาดไม่ถึงว่าดันมาเจองานเลี้ยงสังสรรค์พอดิบพอดี จึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ถือเสียว่าเป็นการมาแสดงความยินดีไปในคราเดียวกัน หลังได้ร่วมมือกันจัดการรักษาการกุศลครั้งก่อน หุยชุนถางก็ปิดกิจการหยุดพักชั่วคราว บรรดาผู้ใช้บริการจึงแห่กันมาที่เต๋อเหรินถาง ฮว๋าเหวินไป่ดันได้ขึ้นรับตำแหน่งผู้ควบคุมดูแลโรงหมอหลวง งานภายในพระราชวังก็ยุ่งวุ่นวายจนแทบจัดการไม่ทันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่มีเวลามาดูแลกิจการของเต๋อเหรินถาง ดังนั้นภาระหน้าที่นี้จึงตกมาที่ฮว๋าเหวินยวน
ความหมายของฮว๋าเหวินยวนคือ หากหุยชุนถางยังต้องการหยุดพักต่อไปอีกสักระยะ จะขอให้ช่วยส่งหมอของหุยชุนถางมานั่งตรวจวินิจฉัยทางด้านพวกเขาก่อนได้หรือไม่ โดยจะกำหนดค่าตอบแทนให้เป็นสองเท่าตัว
หลินหลันกล่าวเชิงหยอกล้อ “นี่เจ้าคิดจะขโมยบุคลากรของข้าแล้วหรือไรกัน”
ฮว๋าเหวินยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คิดอยู่! ใครจะรู้ว่าบรรดาหมอเหล่านั้นล้วนลงนามทำงานกับหุยชุนถางไว้แล้วถึงสามปี เล่นเสียข้าหาหมอมือดีๆ ไม่เจอเลยสักคน”
นี่เป็นความจริง เดิมทีนางอยากเชิญหมอสักสามสี่คนมานั่งตรวจวินิจฉัย ทว่าในเมืองหลวงหมอที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง รวมๆ แล้วมีเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถในการรักษาเฉพาะทาง ซึ่งทั้งหมดนั่นลงนามสัญญาไปกับหมอหลินเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องกล่าวว่า หมอหลินมีความสามารถในการดำเนินกิจการค้าขายอย่างยิ่ง หมอคนไหนบ้างที่จะไม่มีคนไข้อยู่ในการรักษาของตนเองเป็นทุนเดิม ดังนั้นการเรียนเชิญหมอมาประจำการ แน่นอนว่าผู้ป่วยที่เคยรักษาอยู่ด้วยก็ต้องติดตามมาตรวจรักษา มิน่าละ วัตถุดิบยาของหุยชุนถางถึงได้ขายหมดไวมากที่สุด หมอหลินได้ช่วยรักษาชีวิตผู้คน ทั้งยังได้ทำเงินและได้ชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ล้ำเลิศเสียจริง! ฮว๋าเหวินยวนได้แต่ทอดถอนหายใจที่ตนเองไร้ความสามารถ
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้ามาหาข้าถึงที่แล้วทั้งที เช่นนั้นข้าจะเปิดทำการหุยชุนถางพรุ่งนี้เลยแล้วกัน ไว้ข้าจะแบ่งหมอให้ไปทางด้านเจ้าด้วยเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะให้หมอหวังช่วยจัดการให้เจ้าเอง”
ฮว๋าเหวินยวนเห็นนางตอบตกลง จึงกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขอดื่มน้ำชาจอกนี้แทนสุรา เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าก่อนเลยแล้วกัน”
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “ระหว่างเจ้ากับข้ายังต้องเกรงอกเกรงใจอันใดกันอีก เกรงใจกันก็คือการเห็นกันเป็นคนนอกนะเจ้าคะ การที่พวกเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเรื่องที่พึงกระทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครๆ ก็กล่าวว่าผู้ดำเนินกิจการในรูปแบบเดียวกันล้วนไม่ต่างจากศัตรู ทว่าพวกเจ้ากลับเป็นเสมือนพี่น้องกันไปเสียได้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นหมายความว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันอย่างไรล่ะเจ้าคะ! นอกจากนี้ การร่วมแรงร่วมใจเป็นกลุ่มเดียวกันจะยิ่งเอื้อต่อการพัฒนาให้ก้าวหน้า ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน จะได้เจริญรุ่งเรืองไปพร้อมๆ กันเจ้าค่ะ!”
“หมอหลิน หากพูดถึงเรื่องการดำเนินกิจการ สมองของพวกเราสี่คนรวมๆ กันแล้วยังไม่เท่าหมอหลินคนเดียวด้วยซ้ำเจ้าค่ะ” เผยจื่อชิ่งกล่าวเชิงเอาอกเอาใจเพื่อสร้างสีสัน
ทุกคนพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา จะมีก็แต่ติงหลั้วเหยียนที่ทำเพียงเผยรอยยิ้มซึ่งแสดงให้เห็นว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
หลินหลันพอจะเข้าใจสภาพจิตใจของติงหลั้วเหยียนได้ หมิงอวินได้กลับออกมาแล้ว ทว่าเรื่องของหมิงเจ๋อยังไม่มีอันใดคืบหน้า คงเป็นการยากที่จะไม่ให้ติงหลั้วเหยียนรู้สึกเศร้าโศก นางจึงกล่าว “พี่สะใภ้วางใจเถิดนะเจ้าคะ หมิงอวินออกมาแล้ว เรื่องของพี่ใหญ่ เขาจะต้องคิดหาวิธีจนได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
เผยจื่อชิ่งกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะ! ฮ่องเต้อภัยโทษบัณฑิตหลี่แล้ว และยังมอบหน้าที่สำคัญให้อีกด้วย พระองค์จะต้องจัดการเรื่องของตระกูลหลี่อย่างมีเมตตาแน่นอนเจ้าค่ะ พี่เขยจะต้องไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนถึงเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง นางพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
หลินหลันชูจอกน้ำชาขึ้น กล่าวต่อทุกท่านด้วยความจริงใจ “หลายวันมานี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือกันนะเจ้าคะ พระคุณอันใหญ่หลวงนี้แค่คำว่าขอบคุณคงไม่เพียงพอ ภายภาคหน้าหากมีสิ่งใดที่หลินหลันช่วยเหลือได้ ขอเพียงพวกท่านเอ่ยปาก ตราบใดที่ช่วยได้ แน่นอนว่าข้าจะช่วยอย่างไม่ลังเล หรือต่อให้ช่วยเหลือไม่ได้ หลินหลันก็จะพยายามคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ มาเจ้าค่ะ ข้าขอดื่มหมดจอกเพื่อเป็นการคารวะทุกท่าน ส่วนพวกท่านตามสะดวกเลยนะเจ้าคะ”
ฮว๋าเหวินยวนกล่าวเชิงหยอกล้อ “ใครกันเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าเกรงใจกันก็คือคนอื่นคนไกล ไม่ทันไรก็เห็นพวกเราเป็นคนอื่นคนไกลแล้วหรือเจ้าคะ”
เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากขอบคุณกันด้วยใจจริง เช่นนั้นก็ต้องดื่มคารวะไปทีละคนนะเจ้าคะ”
หลินหลันเบิกตาโต
เฝิงซูหมิ่นกล่าว “หมอหลิน อย่าได้ให้เสียคำพูดเชียวนะเจ้าคะ”
“เจ้าอย่าทำเป็นรักษาภาพพจน์ไปหน่อยเลย จื่ออวี้บอกข้าไว้หมดแล้ว เจ้าคอแข็งเสียยิ่งอะไรดี สุรานี่ ไม่เพียงเจ้าต้องดื่มคารวะให้ทีละคน แต่ยังต้องเปลี่ยนเป็นจอกที่ใหญ่ขึ้นด้วย” เผยจื่อชิ่งกล่าว
หลินหลันเบิกดวงตาโตยิ่งขึ้น กัดฟันแน่นด้วยความเศร้าสลด “จื่ออวี้พ่อหนุ่มคนนี้เห็นคนรักดีกว่าสหายนี่เอง ไว้อีกเดี๋ยวข้าจะต้องจัดการเขาเสียแล้ว”
ทุกคนพากันส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสุขสันต์ยิ่งขึ้น
ทางด้านโถงรับแขกนั่นก็ครึกครื้นไม่แพ้กัน สุราจอกแล้วจอกเล่าไหลรินลงสู่ท้อง ทุกคนก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้น พากันยิ้มและหัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา ยังดีที่เยี่ยซือเฉิงพอจะประมาณการพวกเขาได้ เมื่อเห็นว่าดื่นกันไปได้ที่แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “วันนี้พวกเราพี่น้องล้วนมีความสุข ทว่าพวกเราก็ต้องรู้งานกันสักหน่อย สามีภรรยาคู่หนุ่มสาวเขาได้พบเจอกันอีกครั้งหลังแยกจากไปเนิ่นนาน ฟืนไฟอันเร่าร้อนอะไรนั่น แค่กๆ พวกเจ้าน่าจะเข้าใจนะ?”
หนิงซิ่งชะงักไปชั่วครู่ก่อนหัวเราะระรื่นขึ้นมา แล้วส่งเสียงขานรับซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เข้าใจๆ ขอรับ”
หลี่หมิงอวินอับอายเล็กน้อย เขายกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับส่งเสียงกระแอม แล้วจึงกล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ยังหัวค่ำอยู่เลย!”
เฉินจื่ออวี้เผยรอยยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วยื่นมือออกไปตบบ่าของหลี่หมิงอวิน “พี่ใหญ่ ช่วงเวลาสุขสันต์ยามราตรีมันมีค่ายิ่ง ท่านพี่ ข้าไม่ขอรบกวนเวลาท่านจะดีกว่า พี่สะใภ้จะได้ไม่ต้องมาคิดบัญชีกับข้าในภายหลัง”
หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือให้ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างองอาจ “พวกเราพี่น้อง ไปกันเถอะ ไปดื่มกันต่อที่บ้านข้า คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก”
เยี่ยซือเฉิงกล่าวด้วยเสียงดัง “ไปบ้านเจ้าทำไมหรือ ข้าจองห้องอาหารส่วนตัวที่โรงเตี๊ยมอี้เซียงจูไว้แล้ว สุรารสเลิศและอาหารอันโอชะล้วนตระเตรียมไว้ครบถ้วนแล้ว”
หนิงซิ่งลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ดวงตาโตเป็นประกายลุกวาว “ทุกคนมัวยืนตะลึงงันอันใดกันอีก เร็วเข้าๆ เปลี่ยนสถานที่กันเถอะ”
ทุกคนเดินกันไปคุยกันไป หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจ “จะไปกันแล้วจริงๆ หรือ ยังดื่มสุรานี่ไม่หมดเลย!”
เฉินจื่ออวี้เดินไปได้สองฝีก้าวแล้วหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “พี่ใหญ่ ท่านต้องการให้พวกเราอยู่ต่อจริงหรือ เช่นนั้นพวกเราไม่ไปก็ได้”
หลี่หมิงอวินรีบฉีกยิ้มกว้างใส่ทันที “ในเมื่อพี่ซือเฉิงอุตส่าห์จองโต๊ะไว้แล้ว เช่นนั้น…ถ้าเสียเงินไปเปล่าๆ ก็น่าเสียดายแย่มิใช่หรือ เอ่อ…ข้าไปส่งพวกเจ้าแล้วกัน”
ทุกคนพร้อมใจกันมองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยสายตาสบประมาท หลังจากนั้นจึงหัวเราะร่าขณะพากันเดินจากไป
หลี่หมิงอวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ยังดีที่เยี่ยซือเฉิงคิดไว้อย่างรอบคอบ หลังส่งเฉินจื่ออวี้พร้อมคนอื่นๆ เป็นที่เรียบร้อย หลี่หมิงอวินจึงเอ่ยถามตงจึ “ทางด้านเอ้อร์เส้าหน่ายนายนั่นเลิกราแล้วหรือยัง”
ตงจึกล่าวตอบ “ยังเลยขอรับ หรือไม่ให้ข้าน้อยไปเร่งรัดดีขอรับ”
หลี่หมิงอวินยับยั้งทันที “ไม่ต้องไปรบกวนพวกนาง”
หลี่หมิงอวินมองดูเวลายังไม่ดึกนัก หลังครุ่นคิดชั่วขณะจึงสาวเท้าเดินมุ่งไปยังโถงจาวฮุย
ภายในโถงจาวฮุย แม่จู้ป้อนยาให้หญิงชราดื่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เหล่าไท่ไท วันนี้สีหน้าท่านดูดีขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ ในใจท่านเองก็ดีใจไม่น้อยเช่นกันสินะเจ้าคะ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเรายังกลับมาที่นี่ได้ ยามนี้เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้ว เหล่าเหยียกับต้าเส้าเหยียก็คงไม่มีอันใดร้ายแรงแล้วอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ เฮ้อ…ในที่สุดก็อดทนจนผ่านพ้นมาได้เสียทีนะเจ้าคะ”
หญิงชราส่งเสียงพึมพำในลำคอภายใต้ท่าทางที่ดูร้อนรนใจอย่างยิ่ง
แม่จู้เข้าใจความหมายของนาง “เหล่าไท่ไท ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ ยามนี้ในจวนมีแขกเหรื่อมาจำนวนมากซึ่งกำลังแสดงความยินดีกับเอ้อร์เส้าเหยียหลังได้กลับมาน่ะเจ้าค่ะ! อีกเดี๋ยวเอ้อร์เส้าเหยียเสร็จธุระแล้วก็ต้องมาเยี่ยมเหล่าไท่ไทอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สายตาของหญิงชราถึงเป็นอันสงบลง นางอยากเผยรอยยิ้มแห่งความชื่นใจ ทว่าด้วยมุมปากที่บิดเบี้ยวอย่างมาก จึงส่งผลให้มุมปากสั่นระริก “ตกลง…” นางพูดด้วยเสียงครุมเครือ
หลังป้อนยาเป็นที่เรียบร้อย แม่จู้ใช้ผ้าเช็ดหน้ามาช่วยเช็ดคราบยาที่มุมปากของหญิงชราอีกครั้ง
“อวี๋…” หญิงชราทำได้เพียงส่งเสียงออกมาคำเดียว
แม่จู้กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “บ่าวให้อวี๋อี๋เหนียงกลับห้องไปพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ ระยะนี้อวี๋อี๋เหนียงคอยปรนนิบัติเหล่าไท่ไทก็เหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กันเจ้าค่ะ”
หญิงชราพยักหน้าอย่างยอมรับ สายตาเผยความรู้สึกละอายแก่ใจออกมาเล็กน้อย อวี๋เหลียนเด็กผู้นี้ ชะตาชีวิตลำบากเสียจริง! ติดตามนางมาเมืองหลวง นอกจากไม่ได้มีวันใดที่สุขสบายแล้วยังต้องเผชิญความทุกข์ทรมานอีกด้วย
ชุ่ยจือซึ่งอยู่ด้านนอกส่งเสียงรายงาน “เอ้อร์เส้าเหยียมาเจ้าค่า”