ภาคที่ 3 บทที่ 114 พลังที่แท้จริง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 114 พลังที่แท้จริง (1)

หวังเผยหยวนนั่งอยู่ภายในเพิงใหญ่ กำลังอ่านรายงานจากลูกน้อง ใบหน้าเรียบเฉยราวกับผิวน้ำ

“1 ชั่วยาม…… ข้าให้เวลาพวกเจ้า 1 ชั่วยาม ไม่เพียงไม่อาจจับตัวซูเฉิน แต่ผลการต่อสู้ยังออกมาดีหนักหนาเลยใช่หรือไม่ ? เฮ่อเหลียนเวยตาย ซิวซานเป่ยตาย โหวจงเลี่ยตาย เหอโฮ่วซานก็ไม่รอด… ด่านทะลวงลมปราณ 4 คน ด่านกลั่นโลหิต 12 คน ด่านก่อเกิดลมปราณอีก 19 คน กับผู้เชี่ยวชาญพลังนับสิบตายไปเช่นนี้ ! เจ้าอยากตายมากนักหรือ ?”

หวังเผยหยวนเอ่ยเสียงไม่ได้ดังนัก ทว่าไฟโกรธที่กดไว้ไม่มิดกลับทำให้คนที่นั่งอยู่ขนลุกไปตาม ๆ กัน

“พวกข้าไร้ความสามารถนัก แต่ซูเฉินมันก็เจ้าเล่ห์มากเช่นกัน ใช้สภาพแวดล้อมรอบตัวสร้างกับดัก ทั้งต้นปีศาจดูดเลือด ทั้งคางคกหินสองหน้า มันใช้เป็นกับดักได้ทั้งหมด ก่อนหน้ามันก็วางกับดักที่ผาปีศาจร่ำไห้ ก้อนหินบินว่อนเต็มไปหมด กลยุทธ์ของมันไม่อาจต้านได้เลยขอรับ ซิวซานเป่ย… จึงแพ้ไป”

หวังเผยหยวนเอ่ยเสียงโกรธ “เจ้านี่มันไร้ความสามารถ ข้าส่งเจ้าไปตามหาซูเฉิน จากนั้นให้แจ้งคนอื่น ๆ ที่ตามหลังมาแล้วถ่วงเวลาเอาไว้ แต่เกิดอะไรขึ้น ? เจ้าพบมัน 3 ครั้ง แต่ทั้ง 3 ครั้งนั้นเจ้าไม่อาจรั้งมันไว้จนข้าไปถึงได้สักครั้ง เมื่อข้าไปถึงแล้วก็เจอแต่กองศพ !”

หวังเผยหยวนโกรธจนแทบระเบิด

พวกเขาพบซูเฉิน 3 ครั้งแล้ว แต่สุดท้ายหวังซานหยูก็เดินทางไปถึงโดยเปล่าประโยชน์ พบเพียงกองศพที่ใบหน้าหวาดกลัวเข้ากระดูกอันเป็นเรื่องน่าอับอายแก่คนด่านสู่พิสดารเช่นเขานัก

ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเช่นเขากลับถูกหลอกให้ดูโง่เง่าถึง 3 หน กลับมามือเปล่าเป็นครั้งที่สาม หวังซานหยูตบหน้าหวังเผยหยวนเสียงดัง

ลูกน้องคนหนึ่งคุกเข่าลงตัวสั่น “เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถ แต่ตอนนี้เราล้อมมันไว้แล้ว ตอนนี้สิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงล้อมมันไว้ทุกทาง พวกเราป้องกันแน่นหนา มันไร้ทางหนีแล้วขอรับ !”

“เอาผลงานกลับมาให้ข้าดู !” หวังเผยหยวนตะคอกเสียงแหบ

——————————

บนหุบเขาทางใต้ คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนพลไปด้านบนเขาอย่างช้า ๆ

และเพราะยอดเขาแคบกว่าตีนเขานัก ยิ่งสูงยิงคดเคี้ยว ดังนั้นยิ่งขึ้นสูงที่ล้อมรอบได้หนาแน่นขึ้น

หรือก็คือยิ่งสูงยิ่งมีคนช่วยเหลือมาก โอกาสหนีซูเฉินแทบไม่เหลือ

และเมื่อทุกคนขึ้นไปถึงยอดเขาเมื่อไร ซูเฉินก็จะไร้ทางหนีอีก ถึงตอนนั้นแม้หวังซานหยูจะไม่ลงมือเอง แต่ชายหนุ่มก็คงไม่รอดชีวิตเป็นแน่

เป็นเพราะเช่นนี้คนทั้งหลายจึงยังมั่นใจว่าจะสามารถทำงานสำเร็จได้แม้จะเสียหายไปหนักหนาไม่ใช่น้อย

บนทางขึ้นหุบเขาทางใต้กำลังมีกลุ่มคนเดินทางขึ้นไปอยู่

ชายหนุ่มหน้าซีดที่เดินนำหน้าคือไหลอวิ๋นเฟิง หลานชายไหลหวูอี่ ลูกน้องโดยตรงของหลี่เยว่

การฆ่าสังหารของซูเฉินที่กวาดล้างคนไม่มากและคร่าชีวิตหลี่เยว่ส่งผลต่อไหลอวิ๋นเฟิงมากที่สุด

เขาคิดอยากสังหารซูเฉินมามากกว่าครั้งหนึ่งแล้ว และตอนนี้ก็มีโอกาสสักที

ไหลอวิ๋นเฟิงยืนอยู่ที่ทางลาดคนสุดท้ายเหลือบมองโดยรอบก่อนกล่าว “การปิดล้อมศัตรูสมบูรณ์แล้ว เจ้านั่นไม่มีทางหนีอีก สวรรค์จงโปรดให้ซูเฉินอยู่ตรงข้า ให้ข้าได้เป็นคนสังหารมันเถอะ”

“หินพลังต้นกำเนิด 1 แสนก้อน !”

เทียบกับเขาที่อยากล้างแค้นแล้ว ลูกน้องทั้งหลายอยากได้รางวัลใหญ่กันมากกว่า

แล้วสวรรค์ก็โปรดพวกเขาจริง ๆ

ที่เนินลาดไม่ไกลพลันมีคนปรากฏขึ้น กำลังยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นไม้ หันมาทางพวกเขาพอดี

“ซูเฉิน !” คนตาดีคนหนึ่งเห็นเข้าแล้วเริ่มร้องขึ้น

“ยิงศรสัญญาณเลย !” ไหลอวิ๋นเฟิงร้องเสียงดัง

แม้เขาจะอยากสังหารซูเฉินด้วยมือตนสักเท่าไหน แต่ไหลอวิ๋นเฟิงก็ไม่ใจร้อน เขาเรียนรู้มาจากสองกลุ่มที่ถูกสังหารมาก่อนหน้า ดังนั้นจึงยิงศรสัญญาณก่อน ให้คนอื่น ๆ รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นี่

คนที่พากันมาล้อมศัตรูขึ้นมาได้กว่าครึ่งทางแล้ว และเพราะตอนนี้อยู่ใกล้มาก เรียกคนอื่นมาจึงง่ายกว่านัก

เมื่อยิงศรออกไปแล้ว กลุ่มทั้งด้านซ้ายและขวาก็จะรีบรุดหน้ามาทันที ใช้เวลาไม่นานนัก

ทว่าซูเฉินดูไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ยังคงหัวเราะเย็นชาใส่ไหลอวิ๋นเฟิง

“ที่นี่เป็นที่เปิด ไม่น่ามีกับดักอะไร ทุกคนโจมตีไปพร้อมกันเลย !” ไหลอวิ๋นเฟิงตะโกนบอก

เขาพูดเช่นนั้น แต่ตัวเองกลับยืนนิ่ง ให้ผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายด้านหลังรุดหน้าไปก่อน

ซูเฉินวาดแขน เหยี่ยวเพลิงฝูงใหญ่เหินขึ้นฟ้า ซัดใส่ผู้เชี่ยวชาญพลังหลังหลาย

แม้ผู้เชี่ยวชาญพลังเหล่านั้นจะถูกซัดพลังใส่จนสู้ไม่ไหว ใจไหลอวิ๋นเฟิงก็ยังคงนิ่งสงบอยู่

ไร้กับดัก !

เช่นนี้ก็ดี

ไหลอวิ๋นเฟิงหัวร่อ

เขาส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าจัดการขยะไปได้ไม่กี่ชิ้นแล้วตนเองจะฆ่าไม่ตายงั้นหรือซูเฉิน ? เจ้าไม่อาจเหนือกว่าข้าไปได้หรอก”

“พูดเรื่องไร้สาระมากเกินไปแล้ว” ซูเฉินวาดมือ ฝูงเหยี่ยวเพลิงพุ่งเข้ามาอีกฝูงหนึ่ง

ประจันหน้ากับฝูงเหยี่ยวเพลิงเช่นนี้ ไหลอวิ๋นเฟิงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ พลังงานสีดำเริ่มแผ่ขยายออกมาอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเหยี่ยวเพลิงพุ่งเข้ามาถึงตัวไหลอวิ๋นเฟิง พวกมันก็พากันสลายหายไปเอง

ไหลอวิ๋นเฟิงเดินเข้าไปท่าทางโอหังนัก “วิชาเท่านี้ไม่พอหรอก ให้ข้าได้เห็นเพลิงเงายักษ์ของเจ้าสิ จะได้รู้ว่าเจ้ามีฝีมือแค่ไหน”

“หากต้องการข้าก็จัดให้ได้”

“กรรรร !” สิ้นเสียงคำราม เพลิงเงายักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

ไหลอวิ๋นเฟิงส่งท่าดัชนีออกไป เส้นพลังสีขาวปรากฏขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นงูขาวกระโจนใส่เพลิงเงายักษ์อย่างไม่เกรงกลัว

“เห็นหรือไม่ ? ซูเฉิน ข้าไม่ใช่เจ้าพวกเลือดผสมไร้ค่าพวกนั้น !” ไหลอวิ๋นเฟิงคำรามลั่น

เขาออกท่า ศรธาตุขาวพุ่งเข้าใส่ซูเฉินทันที

ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลไหล ไหลอวิ๋นเฟิงไม่อาจลดตนไปเทียบคนเลือดผสมอย่างหลี่เยว่ สายเลือดของเขาตื่นขึ้นในขั้นที่สองแล้ว ทำให้เขาแกร่งกว่าหลี่เยว่มาก

แม้ซูเฉินจะเอาชนะคนด่านทะลวงลมปราณมาได้หลายคนในหลายปีที่ผ่านมา แต่คนพวกนั้นเป็นเลือดผสม นับเป็นพวกชั้นต่ำที่สุดในหมู่คนด่านทะลวงลมปราณด้วยกัน

ดังนั้นไหลอวิ๋นเฟิงจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องกลัวคู่ต่อสู้คนนี้เลย

เพลิงเงายักษ์ของซูเฉินเข้าพัวพันกับงูธาตุขาว ไหลอวิ๋นเฟิงยังออกท่าไม่หยุด ปล่อยศรธาตุขาวดอกแล้วดอกเล่าออกมา ซูเฉินกำลังจะหลบ คลื่นพลังสีเข้มก็ปรากฏขึ้นรัดร่างเขาไว้ ทำให้เขาหยุดค้างอยู่ตรงนั้น

ไหลอวิ๋นเฟิงหัวเราะร่า “ลองเชือกซ่อนสังหารของข้าสักหน่อย ! รับไปเสีย !”

ศรธาตุขาวนั้นมีไว้เพื่ออำพรางเท่านั้น วิชาสังหารที่แท้จริงคือเชือกซ่อนสังหารของเขาต่างหาก เชือกซ่อนสังหารรัดไปทั่วร่างซูเฉิน คลื่นพลังสีเข้มดูดพลังออกจากร่างไปจนหมด ไหลอวิ๋นเฟิงถึงกับเห็นภาพซูเฉินตายในเงื้อมือเขาขึ้นมาแล้ว

ซูเฉินพยักหน้า “ก็นับว่าสมกับเป็นทายาทสายเลือดอยู่ เจ้าแกร่งกว่าหลี่เยว่นัก ทว่า…… ข้าไม่เคยบอกว่าข้าเอาชนะได้แต่คนสายเลือดผสม”

อะไรนะ ?

ไหลอวิ๋นเฟิงชะงักค้างไปเมื่อเห็นคลื่นพลังรุนแรงพุ่งออกจากร่างซูเฉิน

จากนั้นมันก็ระเบิดออกมา เชือกซ่อนสังหารของไหลอวิ๋นเฟิงเริ่มสลายหายไป กระทั่งภาพงูธาตุขาวจากสายเลือดของเขายังรับรู้ได้ถึงภัย จนรีบล่าถอยไปตามสัญชาตญาณ

“ด่านทะลวงลมปราณ ! เจ้าอยู่ด่านทะลวงลมปราณจริงหรือ !?” ไหลอวิ๋นเฟิงร้องลั่นเสียงตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจปมปัญหา

เจ้าบ้านี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ ! มันปิดบังพื้นฐานการบ่มเพาะพลังและความแกร่งมาโดยตลอดเลยงั้นหรือ ?

“ไม่ได้เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณเท่านั้นหรอก !” ซูเฉินตอบ

เขาก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าไหลอวิ๋นเฟิง คว้าคออีกฝ่ายไว้แน่น