ภาคที่ 3 บทที่ 115 พลังที่แท้จริง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 115 พลังที่แท้จริง (2)

เขาคว้าคอยกร่างไหลอวิ๋นเฟิงขึ้นมาราวกับคว้าคอไก่ตัวหนึ่ง

ซูเฉินลดสายตาลงมองไหลอวิ๋นเฟิงที่อยู่ในสภาพวะยอมจำนน บนใบหน้ามีแต่รอยหยามเหยียด “พลังเท่านี้เองหรือ ?”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” ไหลอวิ๋นเฟิงตะโกนลั่นเสียงตะลึง เขาไม่เชื่อว่าตนจะไม่อาจรับมือกับการคว้าคอเพียงครั้งเดียวจากซูเฉินได้

ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ลงมือฉับไว ไหลอวิ๋นเฟิงไม่ทันตอบสนองก็ถูกคว้าคอยกตัวแล้ว

“ไม่ !” เขาร้องเสียงโหย พยายามเปิดใช้พลังต้นกำเนิดในร่างถึงขีดสุดจนมันระเบิดออกมา ก่อนภาพงูธาตุขาวปรากฏขึ้นเบื้องหลัง กระโจนใส่ซูเฉินราวกับมีร่างจริง

ยิ่งคนเราเปิดใช้สายเลือดบ่อยครั้ง ภาพจากสายเลือดก็ยิ่งปรากฏคล้ายของจริงมากขึ้น ทั้งยังมีพลังเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

กระนั้นซูเฉินก็ไม่ไยดีนัก

เขาเพียงเหลือบตามองงูธาตุขาวนิ่งแล้วส่ายหน้า “แมลงไร้ขาทำตัวดุดันเช่นนี้ ไม่เหมาะเลยจริง ๆ”

พูดแล้วก็ยื่นแขนออกไปบีบร่างงูธาตุขาวไว้ บีบมือคราเดียวภาพงูธาตุขาวก็แตกสลายหายไป ไหลอวิ๋นเฟิงเพิ่งจะรวมพลังได้ ทว่าศัตรูบีบมือครั้งเดียวทำให้ความพยายามเขาสูญสิ้น พลังที่อยู่จุดสูงสุดจุดลดลงเหลือต่ำสุดทั้งอย่างนั้น

ไหลอวิ๋นเฟิงตกใจเกือบตาย ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ ได้แต่ตะโกนลั่น “เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ถึงเจ้าจะอยู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่ก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้ได้ !”

ซูเฉินส่ายหน้าช้า ๆ “เป็นไปไม่ได้อะไรของเจ้า ? นี่ล่ะคือพลังที่แท้จริงของสายเลือดมนุษย์เรา !”

ว่าแล้วคลื่นพลังก็พุ่งออกมาจากร่างเขา

ไหลอวิ๋นเฟิงมองซูเฉินตาค้างราวกับมองผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งดูดุดันและมีอำนาจเหนือใครเป็นยิ่งนัก

ภาพมายาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังซูเฉิน ทว่ามันกลับไม่ใช่ภาพของสัตว์อสูรตนใด กลับเป็นภาพของมนุษย์อีกคนหนึ่งแทน

สายเลือดมนุษย์ !

“นี่มัน……” ไหลอวิ๋นเฟิงเสียงตะกุกตะกัก

“ภาพจากสายเลือดของข้าเอง แต่ข้าอยากเรียกมันว่าภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดมากกว่า” ซูเฉินกล่าว

เป็นตอนนั้นเองที่ไหลอวิ๋นเฟิงพบว่าคนที่คว้าคอเขาอยู่ แท้จริงแล้วคือภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนี่ต่างหาก

เงาร่างขนาดยักษ์ดูน่าเกรงขามยืนอยู่เบื้องหลังซูเฉิน แขนยาวข้างหนึ่งของมันโอบล้อมแขนของชายหนุ่ม กำลังกำรอบคอไหลอวิ๋นเฟิงอยู่นั่นเอง

ซูเฉินคลายมือลง หากแต่มือของภาพจุติกลับยังกำรอบลำคอไหลอวิ๋นเฟิงไว้แล้วยกร่างเขาลอยขึ้นในอากาศ

จนร่างเขาลอยห้อยอยู่กลางอากาศ

ซูเฉินว่า “ลาก่อน”

“ไม่ !” ไหลอวิ๋นเฟิงร้องโหยหวน

ตึง !

มือขนาดยักษ์บีบแน่นจนร่างไหลอวิ๋นเฟิงแบนราวกับแป้งถูกบด

แล้วภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็หายไป

ใช่แล้ว นี่คือพลังที่ซูเฉินได้มาจากการใช้ยาต้นกำเนิดสายเลือด

มันเป็นการเลียนแบบสายเลือด ซูเฉินสร้างภาพจากสายเลือดนี้ขึ้นมาโดยใช้มนุษย์เป็นหลักพื้นฐาน ทำให้ชายหนุ่มเรียกวิธีสร้างภาพจากสายเลือดนี้ว่า ‘การตื่นขึ้นของสายเลือดต้นกำเนิด’ ด้วยนี่ก็คือการปลุกเอาพลังที่เร้นอยู่ในสายเลือดมนุษย์ให้ตื่นขึ้นนั่นเอง

ไม่เหมือนกับคนที่มีสายเลือดของสัตว์อสูรทั้งหลายที่จะได้รับวิชาทักษะจากมันมามากมาย การตื่นขึ้นของสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉินนั้นไม่ได้มอบวิชาประหลาดใดให้กับเขา ในขั้นเริ่มแรก มันจะเพิ่มเพียงความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความเป็นไปได้นั้นไร้ที่สิ้นสุด ด้วยเป็นสายเลือดที่สามารถปรับตัวไปทางใดก็ได้โดยง่าย !

ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเป็นตัวตนบริสุทธิ์ราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง

เมื่อราว 5 ปีก่อนนั้น ซูเฉินให้ความสามารถเดียวแก่ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด นั่นคือการเพิ่มความแข็งแกร่งระดับสูง

และหากเป็นไปได้ ชายหนุ่มก็อยากจะปรับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดให้กลายเป็นตัวกลางที่สามารุดูดซับทักษะและวิชาต่าง ๆ ทั้งหลายเข้ามาได้ด้วย

ทว่าซูเฉินไม่อาจทำเช่นนั้น ด้วยเพราะมันจะทับซ้อนกับผลของโทเทมโลหิตสลาย !

ต้องอย่าลืมว่าโทเทมโลหิตสลายเป็นตัวกลางที่สามารถใส่ทักษะหรือวิชาทั้งหลายลงไปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพัฒนาภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดให้เป็นเช่นนั้นอีก ทักษะต้นกำเนิดใส่ลงโทเทมโลหิตสลายได้แล้ว ส่วนภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็อาจใช้เป็นกลไกที่ใช้ขับเคลื่อนโทเทมโลหิตสลายอีกที

การพัฒนาภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนั้นเรียบง่ายนัก หน้าที่มันคือการกักเก็บพลังต้นกำเนิดตลอดเวลา เพิ่มความแกร่งและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้นได้

5 ปีที่ผ่านมา เขาฝึกตนสร้างภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขึ้นมาเพียงหนึ่งเท่านั้น แต่มันกลับครองพลังอันน่าเหลือเชื่อ พลังบริสุทธิ์นี้สามารถรับกระทั่งหนึ่งฝ่ามือจากหวังซานหยูได้ ทว่าหวังซานหยูเองก็สามารถปล่อยหลายฝ่ามือออกมาได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็คงไม่อาจรั้งไว้ได้ แล้วซูเฉินก็คงได้แต่หนีเอาตัวรอด

ถึงเขาหนีคนด่านสู่พิสดาร แต่กับคนอื่นเขาไม่จำเป็นต้องหนี ที่เขาเผยความอ่อนแอเพียงเพราะต้องการหาจังหวะเหมาะต่างหาก

ไหลอวิ๋นเฟิงถูกสังหารในพริบตา ทว่าอีก 2 กลุ่มที่พุ่งเข้ามาจากทั้งสองด้านก็เข้ามารับช่วงต่อแทบจะทันที

เมื่อเห็นเป้าหมาย ทั้ง 2 กลุ่มก็พลันร้องยินดี “ซูเฉินอยู่ตรงนั้น !”

พวกเขาพุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมกัน

“รนหาที่ตาย !” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น ร่างเขาพลันเลือนหายไปในทันทีเมื่อเคลื่อนกายด้วยความเร็วน่าพรั่นพรึง

ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนั้นช่วยเพิ่มความแกร่งพื้นฐานของร่างกายซูเฉิน เขาไม่เพียงแกร่งขึ้น แต่ยังรวดเร็วขึ้นด้วย

เขากระโจนผ่านกลุ่มทาฝั่งซ้ายพร้อมกับหมอกควัน เอื้อมแขนแตะร่างคนทั้งหลายไปด้วยไม่หยุด เป็นตอนนั้นเองที่เพลิงสีดำลุกโชนขึ้นมาจากมือ

กรงเล็บเพลิงเงา !

นับเป็นความสามารถที่ 3 ที่ซูเฉินได้รับหลังจากยกระดับถุงมือเพลิงเงาขึ้นอีก ทั้งยังเป็นผลจากการพัฒนาเพลิงเงายักษ์ และถึงแม้พลังทำลายล้างอาจจะลดน้อยลง แต่พลังเบื้องหลังนั้นมีมากกว่า เช่นเดียวกับสสารเงาที่ใช้น้อยกว่าเดิมหลายเท่านัก !

กรงเล็บนี้ส่งผลให้คนด่านทะลวงลมปราณทั้งหลายมีเปลวเพลิงลุกขึ้นจากร่าง ทำให้เกราะกำบังที่คนทั้งหลายใช้ถูกหลอมละลายภายใต้กรงเล็บเพลิงเงา และไม่อาจป้องกันได้แม้ชั่วพริบตาหนึ่ง !

คนอื่น ๆ เห็นแล้วก็ชะงักไป ร้องเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึง

ซูเฉินหัวเราะคิก ร่างเขาพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วยามก้าวย่างหมอกอสรพิษขั้นสุด หากคนหลงซีตระกูลกู่มาเห็นเขาตอนนี้ วิญญาณคงแทบหลุดจากร่าง เพราะตอนนี้ชายหนุ่มสำเร็จวิชาก้าวย่างหมอกอสรพิษไปมากกว่าขั้นที่คนไร้สายเลือดควรจะทำได้แล้ว กระทั่งคนที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาถึงสองครั้งสองครายังไม่อาจเทียบเขาติด !

เขาก้าวย่างบนอากาศได้แล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนทิศกลางอากาศได้รวดเร็วคล่องแคล่วราวกับนกนักล่า ซูเฉินสำแดงวิชาออกมาอย่างงดงาม ราวกับนกนางแอ่นบินทะยานฝ่ามรสุมกลางทะเล หลบเลี่ยงการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญพลังที่โหมเข้าใส่ จ้วงกรงเล็บใส่เกราะของอีกฝ่ายไม่หยุดยั้ง

พริบตาต่อมา เสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก็ดังขึ้นให้ได้ยิน เกราะของคนด่านทะลวงลมปราณผู้นั้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

ซูเฉินเงื้อกรงเล็บทะลวงร่างอีกฝ่ายราวกับเขาเป็นเต้าหู้นิ่ม เปลวเพลิงที่นิ้วยังโหมไหม้ ทะลุทะลวงสู่อวัยวะภายในของอีกฝ่าย

“อ๊าก !” ผู้เชี่ยวชาญพลังร้องเสียงหวน และเพราะการโจมตีดุดันเหลือหลายนี่เอง พวกเขาจึงไม่มีเวลาพอจะเปิดใช้สายเลือด จนถูกซูเฉินย่างสด กลายเป็นซากธุลีปลิวหายไปในอากาศในพริบตา

ซูเฉินยังไม่หยุดมือ กระโจนเข้าไปหากลุ่มคนต่อไป และเมื่อกระโจนใส่คนสุดท้าย คนทั้งหมดก็มีเปลวเพลิงระเบิดตูมออกมาพร้อม ๆ กัน กลายเป็นผุยผงในชั่วอึดใจเดียว

อีกกลุ่มหนึ่งถูกเขาสังหารเรียบ

การสังหารหมู่นี้แสดงให้เห็นต่อหน้าต่อตาคนอีกหลุ่มหนึ่ง ความคล่องแคล่วและเด็ดขาดของซูเฉินทำให้คนอีกกลุ่มที่ไล่ตามมาชะงักค้างไป

“ปีศาจ ! มันเป็นปีศาจ !” คนหนึ่งร้องเสียงหลงขึ้น

คนอื่น ๆ เองก็พากันส่ายหน้าแล้วรีบวิ่งหนีออกจากที่นั่นทันที