บทที่ 116 พลังที่แท้จริง (3)
“ขออภัยด้วย !” ซูเฉินกล่าวพลางมองเหล่าคนที่หนีหัวซุกหัวซุน แล้วจึงกระโดดไล่ตามไป ก่อนส่งระเบิดเหยี่ยวเพลิงจำนวนมากพุ่งออก ทว่าเหยี่ยวเพลิงในครั้งนี้ก็ดูจะเจือกลิ่นอายความมืดอยู่บ้าง
ที่แท้มันผสมสสารเงาลงไปด้วยนั่นเอง !
แม้ซูเฉินจะเห็นใจอีกฝ่าย แต่ก็รู้ว่าตนเองจะใจอ่อนไม่ได้ หากปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปแล้วเรียกกำลังเสริมมาก็จะเป็นปัญหาภายหลัง
มีศัตรูรอบด้านมากมายเกินไปจริง ๆ แม้ซูเฉินจะแกร่งกว่านี้ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ตนเองต้องถูกศัตรูตามล่าสังหารไม่รู้จบเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ปิดบังพลังมาจนถึงตอนนี้
เมื่อเขาเผยกำลังที่แท้จริง ก็ต้องรีบจบสถานการณ์โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากศัตรูรู้ตัวเข้า เขาก็จะไม่เหลือไพ่ตายไว้ใช้จัดการอีก
เหยี่ยวเพลิงเงาพุ่งทะยานออกไปแล้วดิ่งลงระเบิดใส่พวกคนที่กำลังวิ่งหนี ทำให้พวกคนที่อยู่ด้านหน้าถูกสังหารสิ้น
เวลาเดียวกันนั้นซูเฉินก็พุ่งออกไป ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ฝ่ามือยักษ์กระแทกใส่ด่านทะลวงลมปราณอีกคนหนึ่ง
“อะไรน่ะ ?”
ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณคนนี้ไม่เห็นตอนที่ซูเฉินสังหารไหลอวิ๋นเฟิง ดังนั้นเมื่อเห็นภาพมายามนุษย์ปรากฏขึ้นจึงตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์
เขาเคยเห็นภาพมายาของสัตว์อสูรแปลกประหลาดมานับไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยเห็นที่เป็นมนุษย์มาก่อน ไม่ว่าจะเค้นสมองแค่ไหนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ซูเฉินไม่ตอบ ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดพลันกระแทกฝ่ามือยักษ์ลงมาทันที
คนด่านทะลวงลมปราณอีกคนเหมือนจะเป็นทายาทตระกูลสายเลือดชั้นสูง มีสายเลือดหมีดูดเลือด แม้หมีดูดเลือดเป็นเพียงอสูรร้ายระดับสูง แต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดก็สูงมาก ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่เกรงกลัว แม้จะตกใจ แต่ภาพมายาหมีดูดเลือดก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ขนาดใหญ่โตกว่าภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉินเสียอีก มันคำรามลั่นแล้วตวัดกรงเล็บขนาดใหญ่ผ่านอากาศ
ทั้งสองเข้าปะทะกัน เกิดเป็นคลื่นพลังระเบิดออกมา
กระทั่งซูเฉินยังตกใจไป ไม่คิดว่าจะได้มาพบผู้มากฝีมือเช่นนี้
อีกฝ่ายจ้องหน้าซูเฉินสีหน้ายินดีก่อนตะโกนลั่น “เจ้าเก่งไม่น้อย ไม่แปลกที่ไหลอวิ๋นเฟิงจะถูกเจ้าสังหาร แต่ว่าข้า ฉยง……”
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉินไม่รอให้เขาได้พูดจนจบ กระแทกฝ่ามือปะทะร่างหมีดูดเลือดอย่างรวดเร็ว ที่มือของภาพจุติมีเพลิงสีดำเผาไหม้อยู่ มันลามไปทั่วร่างหมีดูดเลือดด้วยความเร็ว ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายนั่นส่งเสียงกรีดร้องคำรามลั่นออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะแตกสลายไป
“ชั่วร้ายนัก !” คนด่านทะลวงลมปราณเห็นแล้วก็ร้องออกมา
“ข้าไม่มีเวลามาฟังชื่อเจ้า” ซูเฉินตอบเสียงเรียบแล้วสะบัดแขน ส่งเพลิงสีดำจำนวนมากพุ่งเข้าใส่อกอีกฝ่าย จนเผาร่างนั้นมอดไหม้ไม่มีเหลือ
ซูเฉินกวาดล้างคนทั้ง 3 กลุ่มได้ไม่ยากราวกับหักกิ่งไม้แห้ง แยกเป็นคนด่านทะลวงลมปราณ 3 คน ด่านกลั่นโลหิต 6 คน ด่านก่อเกิดลมปราณ 12 คน
…ใครมาเห็นเขาที่ลงมือรวดเร็วไร้ปรานีเช่นนี้ก็คงพูดไม่ออก
ทว่าซูเฉินก็ใช้พลังไปไม่น้อย เขาหยิบหินพลังต้นกำเนิดระดับกลางขึ้นมาก่อนจะดูดซับพลังภายในแล้วพุ่งตัวลงจากเขา
วงล้อมพากันขึ้นเขามาแล้ว หมายความว่าที่ตีนเขาคงจะว่างเปล่าไร้คน หากเขาฝ่าวงล้อมนั่นออกมาได้ ชายหนุ่มก็จะหนีรอดได้
ทว่าสถานการณ์ก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ด้วยตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่างรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้เขารอดออกมาได้จะเป็นอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมวงล้อมมาถึง 3 ชั้นทีเดียว !
ซูเฉินวิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เห็นคนอีกกลุ่มกำลังพุ่งเข้ามาแล้ว
ไม่สิ ต้องบอกว่าคน 5 กลุ่มเลยต่างหาก
เมื่อศรสัญญาณถูกปล่อยออกไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มเร่งฝีเท้ามารวมตัวกันทันที ตอนที่ซูเฉินกำลังจัดการคน 3 กลุ่มที่นับเป็นวงล้อมชั้นแรกอยู่ คนอีก 5 กลุ่มที่เป็นวงล้อมชั้นที่ 2 เองก็ได้มารวมตัวรอจัดการเขาแล้ว
และเมื่อพวกเขาเห็นซูเฉิน ต่างก็มีสีหน้ายินดี พุ่งเข้าใส่เป้าหมายทันที
พวกเขาไม่รู้ฝีมือซูเฉิน และถึงรู้ก็ไม่เกรงกลัว ในเมื่อมีคนกว่าร้อยล้อมศัตรูไว้เช่นนี้ อย่างไรก็ต้องชนะ ห่วงก็เรื่องเดียวคือในหมู่คนกว่าร้อยนี้ ใครที่จะรอดออกไปแล้วได้รับรางวัลเท่านั้น
จำนวนนั้นเป็นสิ่งสำคัญอยู่เสมอ เว้นเสียแต่ว่าความต่างของพลังมีมากเกินไป ไม่เช่นนั้นหากมีคนด่านก่อเกิดลมปราณจำนวนมากพอ ก็ย่อมสามารถไล่ต้อนคนด่านสู่พิสดารให้จนมุมได้ !
เห็นคนวิ่งพุ่งเข้ามามากมายเช่นนี้ ซูเฉินจึงเหลือบมองหนึ่งในกลุ่มที่พุ่งเข้ามาด้านหน้าสุด
พวกเขาพลันชะงักค้างไปทันที
วิชาสรรพสิ่งลวงตา !
หลังจากเรียนรู้เรื่องโลกมายามาแล้ว วิชาสรรพสิ่งลวงตาของเขาก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ สามารถใช้กับศัตรูทีละหลายคนได้แล้ว แต่สามารถลวงคนแกร่งได้เพียงหนึ่ง ที่เหลือเป็นพวกคนอ่อนแอได้เท่านั้น ดังนั้นซูเฉินจึงมุ่งใช้วิชากับคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ตามมาด้วยภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ร่างทั้งร่างของมันลุกเป็นไฟ อันเป็นผลมาจากการรวมเพลิงเงายักษ์และภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเข้าด้วยกัน หรือก็คือการนำสายเลือดต้นกำเนิดมารวมกับโทเทมโลหิตสลายนั่นเอง
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิด !
ซูเฉินในตอนนี้เผยไพ่ตายทั้งหมดออกมาแล้ว เป็นซูเฉินที่มีความแกร่งขั้นสูงสุด
“กรรร !”
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่ร่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงไม่ได้เป็นภาพรางเลือนเช่นแต่ก่อน แต่มันกลับเด่นชัดโดดเด่นขึ้นมา เมื่อมันคำรามลั่น ก็เผยเอาสันดานดุดันป่าเถื่อนออกมา
ความเร็วของซูเฉินพุ่งสูงขึ้นในพลัน เมื่อมีพลังจากภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดและก้าวย่างหมอกอสรพิษคอยหนุน ความเร็วของเขาก็รวดเร็วเกินกว่าตาเปล่าจะมองทัน
เขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ปะทะเข้ากับอกผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงาตวัดแขนขนาดใหญ่เข้าใส่
สว่านทะลวงเกราะ !
พลังดุดันของสว่านทะลวงเกราะที่ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงาใช้นั้นทะลวงปราการของผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณจนสิ้น ทะลวงเข้าอกอีกฝ่ายเป็นทางลึก ส่งร่างเขากระเด็นไป เพลิงเงาเผาทำลายพลังที่เหลือในร่าง ยังไม่ทันได้ลงมือสักกระบวนท่าก็สิ้นใจเสียแล้ว
สังหารศัตรูในหนึ่งกระบวนท่า !
คนอื่น ๆ ตื่นตะลึงเป็นยิ่งนัก
เงาร่างซูเฉินเลือนหายไปอีกครั้งขณะที่เขาพุ่งออกไป ก่อนเป็นภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงาที่ยืดแขนยักษ์ออก แล้วจึงเขวี้ยงเปลวเพลิงออกจากร่าง ซึ่งซูเฉินก็แทบไม่ต้องใส่ใจพวกคนที่มีพลังต่ำกว่าด่านกลั่นโลหิตเลย ด้วยอาศัยเพียงการโจมตีนี้ก็กวาดศัตรูได้ราบคาบแล้ว !!!
กระทั่งคนด่านทะลวงลมปราณที่แกร่งกว่าหน่อยยังเห็นแล้วตะลึงไป เมื่อเห็นซูเฉินลงมือหนักจึงเริ่มล่าถอย
คนหนึ่งตะโกนขึ้น “รวมตัวเป็นแนวหน้า อย่าสู้ตัวต่อตัวกับมัน ! มันรั้งไว้ได้ไม่นานหรอก !”
คนคนนี้พูดถูก การต่อสู้เต็มกำลังของซูเฉินใช้พลังต้นกำเนิดและสสารเงาเยอะมาก ไม่อาจรั้งไว้ได้นานนัก
แต่ปัญหาก็คือพวกเขาจะรั้งไว้ได้นานหรือไม่
คนด่านทะลวงลมปราณที่เพิ่งล่าถอยออกไปพลันรู้สึกนัยน์ตาพร่ามัวเมื่อร่างซูเฉินปรากฏขึ้นเบื้องหน้าในฉับพลัน
วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
การใช้วิชานี้เพื่อเข้าประชิดตัวศัตรูแล้วเข้าโจมตีระยะใกล้นั้นได้ผลดีนัก เมื่อใช้คู่กับก้าวย่างหมอกอสรพิษก็ทำให้คล่องตัวจนไม่อาจหาใครเทียม
ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเพลิงเงานั้นทรงพลังมาก แต่ตัวตนที่ทรงพลังขนาดนั้นกลับยังเคลื่อนไหวได้ว่องไวอีกด้วย เป็นการผสมผสานที่น่ากลัวนัก
มือยักษ์ยื่นออกมา เพลิงสีดำพุ่งออกจากฝ่ามือนั้น โหมลุกทั่วร่างเขาทันที
สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือเพลิงดำเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้ามาโอบล้อมร่างตน