บทที่ 379 รักษา + บทที่ 380 มุ่งหน้าสู่เมืองบุปผา

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 379 รักษา

ในบรรดาคนเหล่านั้น บางคนขาพิการ บ้างมีแผลเป็นบนใบหน้า บางรายมือมีปัญหา และบางคนถึงกับแขนหักเหลือแขนเพียงข้างเดียว ร่างกายที่เคยสมบูรณ์ต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขา เพื่อให้ได้ชัยชนะคนเหล่านี้จึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้

“ขอบคุณ ท่านแม่ทัพ”

ผู้เฒ่าเฮยและชิงซวงเดินไปมาท่ามกลางผู้คนไม่ได้หยุด แขนขาของบางคนรักษาได้ แต่อาจต้องทำให้เคลื่อนจากข้อต่ออีกครั้งก่อนจึงจะดันกลับเข้าที่ได้

เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกดังกล่าว เหล่าชายผู้ห้าวหาญต่างเลือกให้เคลื่อนแขนและขาออกจากข้อต่ออีกครั้งเพื่อดันกลับเข้าที่ ทำแบบนี้แล้วอย่างน้อยมือและเท้าของพวกเขาก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวเต็มที่

สำหรับบางราย พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น โดยเฉพาะคนที่แขนขาหัก

เฉียวเทียนช่างเดินไปหาทหารที่มีแขนเดียว เขาตบบ่าทหารคนนั้น “ไม่ต้องกังวล ถึงเจ้าจะมีแขนเดียว ข้าก็เชื่อว่าพี่สะใภ้ของเจ้าจะสามารถหาสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าได้”

คนผู้นั้นมองเฉียวเทียนช่าง เดิมเขารู้สึกผิดหวัง แต่บัดนี้ไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว เขามองเฉียวเทียนช่างแล้วผงกศีรษะอย่างหนักแน่น “ขอบคุณ ท่านแม่ทัพ ข้าเข้าใจขอรับ”

เขาเสียแขนซ้ายไปโดยโดนตัดตั้งแต่ข้อมือลงไป หลังกลับมา คนไม่น้อยดูถูกเขา ถึงขั้นรู้สึกว่าเมื่อเขากลายเป็นคนพิการก็ไม่มีอะไรให้เขาทำได้ แต่บิดามารดาของเขาไม่ยอมแพ้เรื่องเขา ทั้งสองจะช่วยในสิ่งที่เขาทำเองไม่ได้ และกลัวว่าเขาจะคิดมาก

เขาหันไปมองบิดามารดาผู้ซึ่งมีอายุมากและพูดอะไรไม่ออก

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือแม่ทัพของพวกข้า”

“คารวะท่านแม่ทัพ”

“ท่านลุง ท่านป้า ไม่ต้องสุภาพนักหรอก พวกท่านอยู่ที่นี่สักพัก ข้าจะให้คนส่งพวกท่านไปเมื่อถึงเวลา เมื่อถึงตอนนั้น เราจะจัดหางานให้พวกท่านทุกคน” เมื่อพบคนสมถะนิสัยซื่อ เฉียวเทียนช่างไม่อาจปั้นหน้าเฉยเมยพูดคุยกับพวกเขาได้ลง

สองผู้อาวุโสเอาแต่ผงกศีรษะขอบคุณเขา

เซียวชวี่เฟิงและน้องชายรู้ถึงการมาของพวกทหาร จึงผละจากงานมาที่จวนแม่ทัพใหญ่

ตอนทั้งสองมาถึง ชิงซวงและอาจารย์ของนางกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ และทหารบาดเจ็บจำนวนมากกำลังรับการรักษาด้วยยา ตอนพวกเขาได้รับบาดเจ็บ พวกเขาไม่ได้รักษาแผลตัวเองอย่างระมัดระวัง และยังมีบาดแผลที่ซ่อนไว้หลงเหลืออยู่

“พวกเจ้าทุกคนมากันแล้วหรือ” เซียวฉีเทียนตื่นเต้นเมื่อเห็นผู้คน ปีนั้นเซียวฉีเทียนตามเซียวชวี่เฟิงและคนอื่นๆ ไปอยู่ที่ค่ายทหาร เขารู้จักคนพวกนี้ไม่น้อย

“ถวายบังคม ฝ่าบาท”

“ลุกขึ้นเถอะ”

เซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนมาที่นี่ด้วยตัวเองทำให้พวกทหารที่พิการตื่นเต้นขึ้นมา ในตอนนั้น แม้พวกเขาจะเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ต่างก็เข้ากันได้ดีดั่งพี่น้อง

เฉียวเทียนช่างยกที่นั่งให้ทั้งสอง เขาเลือกจะยืนอยู่ข้างๆ พลางมองพวกเขาพูดคุยกัน ชายหนุ่มดูเหมือนจมอยู่ในห้วงความคิดเป็นครั้งคราว

จวนแม่ทัพใหญ่มีชีวิตชีวาไปทั้งวัน เฉียวเทียนช่างเตรียมที่พักให้พวกเขาอยู่ เขายังเตรียมอาหารให้ด้วย ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในสวน แลกเปลี่ยนกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต

หนิงเมิ่งเหยานั่งหลบข้างๆ แล้วฟังพวกเขาคุยกัน นางไม่รู้สึกว่าเสียงเหล่านี้หนวกหูเกินไปนัก กลับรู้สึกว่าบรรยากาศเช่นนี้ค่อนข้างดีทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อนางได้เห็นอีกด้านของเฉียวเทียนช่าง หัวใจนางพลันอบอุ่น

หนิงเมิ่งเหยาค่อยๆ ปิดตาลงแล้วหลับไปในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่าง เสียงวุ่นวายรอบด้านกลายเป็นเพลงกล่อมให้นางหลับสนิท

เฉียวเทียนช่างก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วเห็นว่าหนิงเมิ่งเหยาหลับไปตอนใดก็ไม่อาจรู้ได้

เขาเอื้อมมือไปอุ้มนางขึ้นแล้วพากลับไปที่ห้อง จากนั้นจึงออกมาแล้วดื่มสุรากับทุกคนที่ยังอยู่

“นางหลับไปอีกแล้วรึ” อวี้เฟิงถือจอกสุราพลางส่ายศีรษะอย่างมึนเมา

เฉียวเทียนช่างพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่”

อยู่ร่ำสุรากันจนถึงยามจื่อ[1]ก่อนทุกคนจะแยกย้าย เฉียวเทียนช่างมองพวกเขาแล้วรู้สึกปวดศีรษะ เจ้าพวกนี้ดื่มได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

เขายืนขึ้นแล้วโซซัดโซเซเข้าไปในเรือนเล็ก ล้างกลิ่นสุราออกก่อนจะปีนขึ้นเตียง

ทันทีที่เขาปีนขึ้นเตียงหนิงเมิ่งเหยาก็เหมือนจะรู้สึกได้ นางพลิกตัวเข้ามาหาอ้อมแขนเขา

เมื่อมองสตรีในอ้อมแขน ใบหน้าเฉียวเทียนช่างก็เปี่ยมด้วยความรักใคร่ เขาโน้มลงจูบนาง จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปดึงผ้ามาห่มแล้วหลับตาลง

หนิงเมิ่งเหยาหลับอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเทียนช่างพร้อมรอยยิ้มสวยงามระบายบนใบหน้า

บทที่ 380 มุ่งหน้าสู่เมืองบุปผา

การมาถึงของเหล่าทหารทำให้แผนการทุกอย่างเริ่มเร็วขึ้น หลังจากตรวจร่างกายของทุกคนแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็แบ่งงานให้ทุกคนทันที “ยกเว้นคนที่ยังต้องรักษาอยู่ ข้าจะให้คนของข้าพาพวกเจ้าไป เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว จะมีคนที่ช่วยจัดหางานให้พวกเจ้าทุกคน ส่วนลูกๆ ของพวกเจ้า ข้าก็ได้ให้คนสร้างโรงเรียนเอาไว้ พวกเขาสามารถเรียนหนังสือที่นั่นได้”

ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งเมื่อได้ยิน

“เหลยอัน ข้าฝากเจ้าดูแลพวกเขาด้วย พาคนพวกนี้ไปหาท่านลุงเจี่ยง เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ” หนิงเมิ่งเหยาเขียนสิ่งที่นางเตรียมไว้บนกระดาษตอนที่ตื่นนอน

“ขอรับ พี่สะใภ้”

หลังจากเหลยอันพาคนพวกนั้นออกไป คนที่เหลือก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเหมือนพวกตนเป็นกาฝาก

เฉียวเทียนช่างสัมผัสได้ถึงความอึดอัดใจของคนเหล่านั้น เขาเดินไปยืนข้างๆ พวกเขา “อย่าคิดมากไปเลย ให้แผลพวกเจ้าหายก่อนค่อยไปที่นั่นก็ยังไม่สาย”

“ท่านแม่ทัพ พวกข้าเข้าใจขอรับ” แขนขาพวกเขายังต้องรับการรักษาอยู่ พวกเขาจึงได้แต่รอ

เฉียวเทียนช่างตบบ่าพวกเขาแล้วสั่งให้ไปพักผ่อนให้เพียงพอ เขาไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก

หนิงเมิ่งเหยาอยู่ในห้องหนังสือกับชิงเซวียน “เจ้าจะบอกว่าหลี่หลินเอ๋อร์ส่งจดหมายหาใครบางคนรึ แล้วในนั้นนางเขียนว่าอะไร”

ชิงเซวียนส่งสำเนาเนื้อหาให้หนิงเมิ่งเหยา

หนิงเมิ่งเหยารับมาเปิด นางแสยะยิ้ม “มีใครบางคนกำลังจับตามองอยู่จริงๆ ด้วย ให้คนคอยเฝ้ายามไว้ บางทีอีกฝ่ายอาจจะมาในเร็วๆ นี้”

ชิงเซวียนมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างสงสัยและอยากถามว่าทำไม แต่พอเห็นหนิงเมิ่งเหยามีท่าทีเช่นนี้ เขาก็เลือกที่จะไม่ถาม เพียงแค่พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรต่อ

หลังจากที่ชิงเซวียนออกไป หนิงเมิ่งเหยาก็เปิดจดหมายแล้วอ่านเนื้อความข้างใน สิ่งที่เขียนไว้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเซียวอี้หลินที่รู้เรื่องเซียวเฉิงหย่าแล้วและกำลังสืบอยู่

ในนั้นยังเขียนเรื่องอื่นไว้ แต่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่นางเขียน หากเป็นสิ่งที่นางพูดกับตัวเอง

หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตา มุมปากนางยกขึ้น ดูเหมือนว่าหลี่หลินเอ๋อร์ต้องการดึงคนพวกนั้นมาแล้วโยนความผิดทุกอย่างไปที่เซียวอี้หลิน เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก

ขณะที่มือหนึ่งของหญิงสาวเคาะลงบนผิวโต๊ะ แววเย็นชาปรากฏในดวงตาหนิงเมิ่งเหยา ไม่ว่าหญิงผู้นั้นจะมีเป้าหมายอะไร นางก็จะไม่ยอมให้ทำสำเร็จ

หนิงเมิ่งเหยาลุกขึ้นแล้วเดินไปใกล้เทียน ก่อนจะเอาจดหมายจ่อ เฝ้ามองกระดาษที่ค่อยๆ ถูกไฟกลืนกิน

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาเดินออกมาจากห้องหนังสือ เฉียวเทียนช่างก็เผอิญเดินเข้าห้องมาพอดี เขายิ้มให้นางทันทีที่เห็น “ไม่ยุ่งแล้วรึ”

“ใช่ ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันเถอะ” หนิงเมิ่งเหยาพูดขึ้น ในเมื่อมีพี่เขยและคนอื่นๆ คอยดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว นางก็มีเวลาว่าง

เฉียวเทียนช่างเดินไปแล้วมองตานาง “จู่ๆ นึกครึ้มอะไรของเจ้ากัน”

“หืม ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆ ข้าก็นึกอยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกขึ้นมา” หนิงเมิ่งเหยากล่าวอย่างร่าเริง นางเอื้อมมือไปโอบรอบคอของเฉียวเทียนช่าง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ตกลง เราจะไปเมืองบุปผากันสักสองหรือสามวันแล้วกัน”

“ได้สิ”

วันต่อมา เฉียวเทียนช่างและหนิงเมิ่งเหยาบอกคนอื่นก่อนจะออกเดินทาง

อวี้เฟิงและคนที่เหลือมองสองสามีภรรยาหัวดื้อกันอย่างอับจนคำพูด สองคนนี้จะทำตัวน่าพึ่งพาให้มากกว่านี้ได้หรือไม่

หนิงเมิ่งเหยาอารมณ์ดีตลอดทาง จนไปถึงเมืองบุปผาในตอนเย็น นางเริ่มได้กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยมาในอากาศ

“ที่นี่ดีเหลือเกิน” ทันทีที่เข้าเมืองไป หนิงเมิ่งเหยาก็ได้กลิ่นดอกไม้เข้มข้นขึ้น นางชอบกลิ่นที่เรียบง่ายและสง่างามเช่นนี้

“ไปหาที่พักก่อนเถอะ เราจะเดินดูรอบๆ กันพรุ่งนี้” เฉียวเทียนช่างรู้ได้จากแววตาปลาบปลื้มว่านางชอบที่นี่

หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า ทั้งสองหาที่พักได้แล้ว ในโรงเตี๊ยมมีดอกไม้มากมายจัดวางไว้ชวนให้น่ามองยิ่งนัก

“ท่านผู้มาเยือน พวกท่านจะมาพักหรือเพียงทานมื้ออาหารหรือ”

“ขอห้องพักชั้นดี ห้องอาหารส่วนตัว และช่วยเตรียมอาหารให้ด้วย”

“รับทราบ ท่านผู้มาเยือน ขอเชิญทางนี้”

หนิงเมิ่งเหยามองรอบด้านแล้วพูดกับเฉียวเทียนช่างเบาๆ

ทว่า ตอนที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งเดินไปถึงบันไดด้านบน ก็มีเสียงที่หยิ่งยโสดังขึ้น “หยุด ข้าต้องการห้องอาหารส่วนตัวของพวกเขา”

หนิงเมิ่งเหยาหันไปเห็นเด็กสาวแต่งกายหรูหรามองมาทางพวกนางด้วยสายตาหยิ่งผยอง “เทียนช่าง ไปกันเถอะ”

[1] ยามจื่อ (子:zǐ) คือ 23.00 – 24.59 น.