ช่วงค่ำไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ตอนค่ำทำอะไรก็ต้องใช้สายตามาก เซี่ยยวี่หลัวจึงอาบน้ำแต่เนิ่นๆ พาเซียวจื่อเมิ่งขึ้นเตียง
เซียวจื่อเซวียนฝึกเขียนหนังสือกับเซียวยวี่ครู่หนึ่ง ก็วางพู่กันไม่เขียนต่อ “พี่ใหญ่ ข้ากลับไปนอนก่อนขอรับ”
เซียวยวี่ถือตำราไว้ รวบรวมสมาธิอ่านตำราภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน เมื่อได้ยินเสียง จึงเงยหน้าขึ้น พยักหน้าพร้อมกล่าว “ได้”
เซียวจื่อเซวียนจัดระเบียบข้าวของที่ตัวเองวางอย่างระเกะระกะเสร็จ จึงออกประตูไป “พี่ใหญ่ ท่านก็รีบนอนเถอะ อย่าอ่านตำราดึกเกินไป ระวังเสียสายตาขอรับ”
เซียวยวี่คิดถึงวาจาที่เซียวจื่อเซวียนบอกเขาก่อนหน้านี้ ว่าอ่านตำรานานเกินไปจะเสียสายตา รู้สึกดวงตาเมื่อยล้าเล็กน้อยแล้ว จึงวางตำราลง “ได้ เช่นนั้นข้าจะพักผ่อนครู่หนึ่ง อาเซวียน เจ้าอย่าเพิ่งกลับห้อง พี่ใหญ่จะเล่านิทานให้เจ้าฟัง เล่านิทานครู่หนึ่งเจ้าค่อยกลับไปนอน”
เซียวจื่อเซวียนได้ฟังดังนั้น รู้สึกดีใจยิ่งนัก “พี่ใหญ่ ท่านจะเล่านิทานให้ข้าฟังหรือขอรับ?”
เซียวยวี่พยักหน้า ก่อนหยิบตำราเล่มหนึ่งที่เขาเก็บรักษาอย่างดีจากชั้นวางหนังสือด้วยท่าทางจริงจัง “อืม ไม่นานมานี้เจอตำราดีเล่มหนึ่ง เจ้าน่าจะชอบ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”
เซียวจื่อเซวียนก็รู้สึกตื่นเต้น จึงขยับมาอยู่ตรงหน้าเซียวยวี่ “พี่ใหญ่ ท่านจะเล่านิทานอะไรให้ข้าฟังขอรับ? ”
พี่ใหญ่บอกแล้วว่าตำราเล่มนี้ดีมาก เช่นนั้นต้องดีเป็นพิเศษแน่
เซียวยวี่ตบหนังสือเบาๆ ก่อนกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ซีโหยวจี้”
เซียวจื่อเซวียน “…”
“ตำราเล่มนี้เขียนไว้ดีมาก มันบอกเล่าถึงเรื่องราวของวานรตัวหนึ่งที่ถือกำเนิดจากก้อนศิลา วานรตัวนั้นอยากมีชีวิตอมตะ ยังไม่เคยพบเห็นผู้ใดเขียนเรื่องราวที่พิศดารถึงเพียงนี้มาก่อน แต่น่าเสียดาย ตำรานี่ข้าซื้อมาเพียงเล่มแรก ได้ยินว่ายังมีเล่มสองและเล่มสาม ครั้งหน้าหากเข้าไปในตัวเมือง ข้าต้องซื้อกลับมาให้หมด” เซียวยวี่ลูบปกตำราด้วยความชื่นชอบเป็นอย่างมาก “นิทานเรื่องนี้ช่างสนุกเหลือเกิน”
แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกทึ่ง
เซียวจื่อเซวียนได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน “ได้ขอรับ! ”
เขาเบ้ปากทีหนึ่ง อยากจะบอกว่าคนที่เขียนตำรานี่ก็อยู่ในบ้านเรา เกือบจะกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา แต่ก็ต้องกลืนกลับไป พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวไว้ ว่าจะพูดอะไรไม่ได้ พี่ใหญ่ก็บอกไม่ได้
เมื่อบอกไม่ได้เขาก็ไม่บอก รอให้พี่สะใภ้ใหญ่บอกพี่ใหญ่เองแล้วกัน
เซียวยวี่จับตำราด้วยความทะนุถนอม เริ่มเล่าให้เซียวจื่อเซวียนฟังตั้งแต่หน้าแรก เซียวจื่อเซวียนฟังไปก็ง่วงนอนไป ต้องรู้ว่า นิทานเรื่องนี้เขาเคยฟังมาหนึ่งหนแล้ว ถึงแม้จะยังน่าสนใจมาก แต่พี่ใหญ่เล่านิทานไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย น้ำเสียงก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลง
ไม่เหมือนพี่สะใภ้ใหญ่ ที่จะเลียนแบบเสียงพูดของตัวละครในเรื่อง เสียงของวานรซุนพิเศษที่สุด ฟังไปแล้วมีพลังมาก เซียวจื่อเซวียนยิ่งฟังยิ่งง่วง ในที่สุดก็พิงบนเตียง หลับไปด้วยอาการสะลึมสะลือ
เซียวยวี่ไม่ทันสังเกตเห็น เรื่องราวพิศดารเกินไป เขาใช้สมาธิไปกับเรื่องราวในตำราทั้งหมด เขาเล่านิทานไปเรื่อยๆ เมื่อเล่าจนรู้สึกปากแห้ง คิดอยากดื่มน้ำ จึงพบว่าเซียวจื่อเซวียนนอนหลับไปแล้ว
เซียวยวี่มองดูเซียวจื่อเซวียนที่กำลังนอนหลับ ก่อนดูตำราในมือตนเองอีกครั้ง กล่าวเสียงเบา “หรือว่าตำรานี่ไม่น่าสนใจ? แต่ตำรานี่น่าอัศจรรย์มากจริงๆ เหตุใดถึงหลับไปได้เล่า? ”
เขาอ่านยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เหตุใดคนฟังกลับหลับไปได้
ช่างเถอะ ช่างเถอะ อาจเพราะเด็กยังเล็กเกินไป ฟังไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ในนิทาน ตำราดีถึงเพียงนี้ เขาอิ่มเอมกับเรื่องราวความพิศดารเองก็แล้วกัน
เปิดอ่านอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอ่านไปกี่รอบ เซียวยวี่อ่านจนสามารถท่องจำได้แล้ว กลับยังรู้สึกว่าไม่หนำใจ สามารถเขียนเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้เป็นบุคคลที่มีความสามารถเปี่ยมล้นเพียงใด!
ถึงช่วงกลางเดือนแล้ว ดวงจันทร์ด้านนอกเป็นทรงกลมโตประหนึ่งจานกลมก็มิปาน ประกายแสงสุกสกาว สาดส่องด้านนอก แสงจันทร์สะดุดตา สุกสว่างยิ่งนัก เซียวยวี่อ่านตำราอยู่นาน ภายในห้วงภวังค์ยังคงคิดถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจภายในตำราเล่มนั้น เขานอนไม่หลับ จึงถือโอกาสไปเดินเล่นในลานบ้าน
แสงจันทร์บริสุทธิ์ผ่องใส เซียวยวี่อยู่ภายในลานบ้าน แหงนหน้ามองดูดวงจันทราบนท้องนภา ไม่รู้ว่าดูอยู่นานเพียงใด ได้ยินเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้น เซียวยวี่หันไปมองตามต้นเสียง
เห็นเพียงเซี่ยยวี่หลัวที่ปล่อยผมสยายอยู่ด้านหลัง คลุมเสื้อสีขาวผ่องไว้บนกายอย่างหลวมๆ อาจเพราะตื่นกลางดึก นางหาวด้วยท่าทางเกียจคร้าน หรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง ผลักเปิดประตูออกมาด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น
นางไม่ทันสังเกตเห็นเซียวยวี่ที่ยืนอยู่ในลานบ้าน ก้าวเท้าออกจากห้อง เดินทางไปยังห้องโถง
ในห้องเซี่ยยวี่หลัวมีกระโถน ไม่ต้องออกมาเข้าห้องน้ำด้านนอก เช่นนั้นก็ออกมาดื่มน้ำ และแล้ว ประตูห้องโถงถูกเปิดออก เซี่ยยวี่หลัวรินน้ำหนึ่งถ้วย ดื่มอึกๆ จนหมด ออกจากห้องโถง เดินไปยังห้องของตัวเอง
นางไม่ได้หันมองไปทางลานบ้านเลย ย่อมไม่เห็นเซียวยวี่ที่อยู่ภายใต้เงามืดท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง หลังจากดื่มน้ำแล้ว เซี่ยยวี่หลัวเดินโซเซกลับห้องของตัวเอง ผลักเปิดประตูโดยหันหลังให้เซียวยวี่ เดินเข้าไป ในชั่วพริบตาที่ปิดประตู เห็นเพียงเส้นผมเงางามดำสนิทดุจน้ำหมึกหายไปในเงามืด
แสงจันทร์บริสุทธิ์ผุดผ่อง สาดส่องไปบนเส้นผมดำเงางามนั่น ก่อให้เกิดประกายแสงสะดุดตา
เซียวยวี่มองเซี่ยยวี่หลัวออกมา ก่อนมองนางกลับเข้าไป ร่างกายเขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย และไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ด้วยเกรงว่าหากตัวเองส่งเสียง อาจรบกวนความเงียบสงบนั้น
ประตูเปิดออกและถูกปิดอีกครั้ง เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องบนประตู ทิ้งไว้เพียงเงามืด แสงสว่างและเงามืดแจ่มชัดถึงเพียงนี้
มองดูเงามืดนั่น เซียวยวี่ตวัดริมฝีปากเผยรอยยิ้มบาง
วันรุ่งขึ้น เซี่ยยวี่หลัวตื่นเช้ามาก ไปยังห้องครัวอย่างเงียบเชียบ ต้มโจ๊กพร้อมใส่ไข่ไก่สี่ฟองที่ล้างจนสะอาดแล้ว ก่อไฟแรงไว้ในเตาไฟ จากนั้นจึงไปล้างหน้า
เส้มผมดกดำเงางามทำเป็นทรงถักเปียอย่างง่ายปล่อยลู่ลงตรงอก ตรงปลายผมประดับด้วยผ้าผูกผมที่นางทำขึ้นเอง ปลายสองด้านของผ้าผูกผมปักมุกโปร่งใสไว้หนึ่งเม็ด ด้านนอกเป็นสีขาว ด้านในเป็นสีฟ้า ประหนึ่งท้องฟ้าสีฟ้าคราม ดูดีเป็นอย่างยิ่ง
เปลี่ยนเป็นชุดใส่อยู่บ้านสีเทาที่นางใส่ในยามปกติ ซึ่งจะสวมขณะทำงานบ้าน จากนั้นจึงแปรงฟันล้างหน้า รู้สึกกระปรี้กระเปร่าแล้วจึงไปยังสวนหลังบ้าน เด็ดผักจำนวนหนึ่งกลับมาผัดผักสดใหม่กินกับข้าว
พริกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เซียวยวี่ชอบกินอาหารรสเผ็ด ผัดพริกหนึ่งจาน เด็กสองคนกินผัดแตงกวาก็แล้วกัน
เวลานี้ท้องฟ้ายังไม่สว่าง หมอกบางปกคลุมทั่วหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านเงียบสงบ เซี่ยยวี่หลัวพยายามทำเสียงเบาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้รบกวนคนอื่นๆ ในบ้านจนตื่น แต่นางคิดผิดไป
เซียวยวี่กระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ถึงแม้เมื่อคืนจะนอนดึกมาก เช้าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สางเขาก็ตื่นแล้ว ตอนเซี่ยยวี่หลัวไปเด็ดผักที่สวนหลังบ้าน เซียวยวี่ก็หยิบตำรามาอ่านอย่างเงียบสงบในห้องแล้ว
หน้าต่างในห้องแง้มไว้ ประตูห้องเกิดเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้น ทำให้เซียวยวี่ลุกพรวดขึ้นทันที แอบมายังริมหน้าต่าง ก็เห็นเงาแผ่นหลังของคนร่างเล็กบอบบาง ก้มตัวเก็บผักอยู่ในสวนโดยหันหลังให้เขา ใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็เก็บพริกจำนวนมาก และแตงกวาสองลูกเสร็จแล้ว
ดูท่าว่าเช้านี้จะกินพริก และแตงกวา