ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 10 เมื่อใดจะอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ทำผิดอะไร”

เฉินฉางเซิงมองสตรีวัยกลางคน พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าไม่ได้ทำผิดอะไร อย่างนั้นเพราะเหตุใดข้าต้องแก้ไขสิ่งใด”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ ลักษณะท่าทางของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกที่ยากจะให้คนสนใจว่ามันเปลี่ยนไปหนักหน่วงเล็กน้อย

มีเพียงศิษย์พี่ของเขาเท่านั้นถึงจะรู้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงออกมานี้หมายความว่าเขากำลังโมโหอย่างยิ่ง

ท่าทางของสตรีวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวตายหรือ”

“ข้า…กลัวตายอย่างยิ่ง” น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงแข็งกระด้างราวกับเหล็ก “…ดังนั้นข้ามาถึงจิงตูมุ่งไปยังจวนขุนพลเทพเพื่อถอนการหมั้นหมายเป็นอันดับแรก เมื่อวาน ข้าก็เตรียมตัวหลังจากสอบเข้าสำนักเทียนเต้าหรือสำนักเด็ดดารา ก็จะเลือกวันเพื่อจะไปถอนการหมั้นหมายอีกคราหนึ่ง…แต่ขออภัยอย่างยิ่ง ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ”

สตรีวัยกลางคนจ้องเขม็งที่เขา แววตาเยือกเย็นเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงจ้องนางกลับอย่างเงียบๆ เอ่ยว่า “นอกเสียจากว่าพวกเจ้ารู้ว่าตนเองทำผิดอะไร ให้จดจำชื่อของข้าไว้”

สตรีวัยกลางคนนิ่งเงียบเป็นเวลายาวนาน

“อันที่จริงแล้วข้าชื่นชมเจ้าอย่างยิ่ง”

นางมองเฉินฉางเซิง ความรู้สึกในแววตาสับสนเล็กน้อย “กี่วันมานี้ข้าเฝ้ามองการดำรงชีวิตของเจ้ามาตลอด ข้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพบเจอหนุ่มน้อยอายุเช่นนี้จะมีกฎระเบียบของตนเอง และยังมีการสอบเข้าทั้งสี่สำนัก สิ่งที่เจ้าแสดงออกมานั้นเห็นได้อย่างยากยิ่ง ช่างคุ้มค่าต่อการชื่นชม…ยิ่งไปกว่านั้นมีบางครั้งที่ใคร่คิด ถ้าหากว่าข้ามีบุตรสาวสักคนหนึ่ง ให้นางแต่งกับเจ้าคงเป็นสิ่งที่เลือกไม่ผิดเป็นแน่”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร แต่ว่าถูกยกย่องชื่นชม ก็จำต้องทำอะไรตอบกลับบ้าง เขาคิดแล้วคิดอีกหลังจากนั้นจึงกล่าวสองคำนี้ “ขอบคุณ”

กล่าวขอบคุณในช่วงเวลาเช่นนี้ ช่างน่าขบขัน ช่างน่ารัก และน่าเคารพนับถืออย่างยิ่ง

สตรีวัยกลางคนมองไปยังข้างประตูสำนักซึ่งมีกำแพงหินอยู่ด้านหลัง เอ่ยว่า “แต่ที่น่าเสียใจก็คือ บนโลกนี้ไม่มีใครคิดว่าคุณหนูควรจะแต่งงานกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงมองไปตามสายตาที่นางมองไป มองเห็นเพียงแผ่นกำแพงหินสีเข้มที่สลักอัดแน่นไปด้วยรายชื่อ ที่นี่อยู่ด้านหลังประตูใหญ่ของสำนัก นี่ไม่ใช่แผ่นประกาศรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบเข้าสำนัก ถ้าอย่างนั้นคือการประกาศอะไร ทันใดนั้นเขาคิดขึ้นมาได้ วันก่อนอยู่ที่ด้านหลังประตูของสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา คล้ายกับเห็นแผ่นหินลักษณะนี้ บนนั้นสลักไปด้วยรายชื่อมากมาย

ด้านบนสุดของกำแพงแผ่นหินสลักตัวอักษรแบบตวัด ‘ขอยืมแรงของสายลมที่พัดมา ส่งข้าขึ้นไปชิงอวิ๋น’

จ้องมองที่ตัวอักษร เฉินฉางเซิงนึกถึงบันทึกในตำรา ถึงจะรู้ว่าแผ่นกำแพงหินที่สลักนี้คือประกาศชิงอวิ๋นในตำนาน

ต้าลู่มีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วน แต่ว่าอัจฉริยะเริ่มมาจากเด็กหนุ่ม ประกาศชิงอวิ๋นคือการเรียงลำดับผู้แกร่งกล้าที่มีอายุน้อยกว่ายี่สิบปี รายชื่อที่สามารถบันทึกไว้บนประกาศชิงอวิ๋น ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ที่ทุกอาณาเขตทุกสำนักได้อบรม หรืออาจจะเป็นผู้เก่งกาจมีพรสวรรค์ เพียงแค่ไม่ล้มเลิกกลางคัน รายชื่อเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นผู้แกร่งกล้าอย่างแท้จริง

เมื่อมาถึงจิงตูประตูสำนักแห่งอื่นทุกแห่งก็จะมีประกาศชิงอวิ๋น สำนักคิดว่ารายชื่อที่อยู่บนแผ่นกำแพงหินเป็นรายชื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติยศ เพื่อที่จะปลุกเร้าพวกนักเรียนให้ก้าวหน้าอย่างห้าวหาญ เพิ่มความแนบแน่นของนักเรียนร่วมสำนักเดียวกันให้มากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ พวกนักเรียนชัดเจนอย่างยิ่งว่าตนไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะอยู่ในประกาศของชิงอวิ๋น รายชื่อพวกนั้นทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสและยำเกรง จนกระทั่งหมดความหวัง

ประกาศชิงอวิ๋นไม่ถามถึงวิชาความรู้ ไม่ถามถึงภูมิลำเนา อาจารย์ สำนัก ไม่แบ่งชายหญิง เพียงแค่ถามถึงความแข็งแรงและความอ่อนแอ มีข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียว ก็คือบุคคลที่จะอยู่ในประกาศจะต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี เคยมีหลายต่อหลายครั้ง ผู้ที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งบังเอิญเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวิทยายุทธ์ต่ำครั้งหนึ่ง ทำให้ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของประกาศ นั่นทำให้เกิดความไม่พอใจมากมาย

ปีนั้นหอความลับสวรรค์ได้ริเริ่มสร้างแผ่นประกาศ การพิจารณาคัดเลือกมาตรฐานเช่นนี้คงจะเคยถูกถามข้อสงสัยหลายต่อหลายครั้ง คำตอบของหอความลับสวรรค์นั้นง่ายแต่มีพลังอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นวิชาความรู้ ความสามารถ แม้แต่การฝึกฝน จิตวิญญาณ และอารมณ์ความรู้สึก สุดท้ายเมื่อนำมารวมกัน ถึงจะเป็นการบูรณาการพละกำลังที่แท้จริง ประกาศชิงอวิ๋นจัดลำดับตามพละกำลังที่ผ่านการบูรณาการ วิธีการตัดสินที่ดีที่สุดก็คือการตัดสินแพ้ชนะ

สายตาของเฉินฉางเซิงอยู่ที่ประกาศชิงอวิ๋นไล่กวาดไปตามรายชื่อเหล่านั้น ตัวหนังสือเหล่านั้นสำหรับเขาไม่คุ้นเคย ในนั้นยังสามารถพบเห็นนามสกุลที่แปลกๆ อาจจะเป็นเด็กหนุ่มผู้แกร่งกล้าจากดินแดนปีศาจ หรืออาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์เผ่าโบราณที่อยู่ในป่าลึกทางใต้ ทันใดนั้น เขากำลังมองอยู่ตำแหน่งที่สามสิบหกพบชื่อถังถัง หวนคิดถึงตอนอยู่ที่สำนักเทียนเต้า เด็กหนุ่มเสื้อสีดำผู้นั้นได้เล่าความเป็นมาของชื่อถังซานสือลิ่ว หัวเราะอย่างมีความสุขออกมา คงรู้สึกภูมิใจในเกียรติยศแทนเขา

ในที่สุด สายตาของเขาก็มาถึงจุดที่สูงที่สุดของกำแพงแผ่นหิน มองเห็นชื่อที่โดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น โดดเดี่ยวอย่างชัดเจนอยู่บนที่สูง โดดเดี่ยวจนเหมือนจะเพิ่มความเย่อหยิ่งและเฉยชาเข้าไปอย่างชัดเจน ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เขารู้จัก ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เขาควรจะคุ้นเคย สวีโหย่วหรง

“ประกาศชิงอวิ๋นได้จดบันทึกเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ในโลกนี้ ราชวงศ์ต้าโจวของข้ามีผู้มีความสามารถมากมาย เสินตูมีเพียงสิบกว่าท่านที่อยู่บนประกาศชิงอวิ๋น สำนักเทียนเต้ามีสี่ท่าน สำนักเด็ดดารามีสามท่าน แต่ถ้าเทียบกับทางทิศใต้พรรคฉางเซิงและสำนักต้นไหวก็นับว่าไม่ได้ดีเลิศนัก จนกระทั่งหลังจากคุณหนูได้อยู่ในประกาศ ถึงได้รู้ว่าทิศเหนือหรือทิศใต้เป็นฝ่ายแพ้ชนะ…”

สตรีวัยกลางคนจ้องมองแผ่นกำแพงหิน ยากที่จะปกปิดความภาคภูมิใจ แต่ก็มิได้ปรารถนาจะให้ตนเองปกปิดมัน กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “…สองปีที่แล้วคุณหนูได้เข้าไปอยู่ในประกาศ ก็ขึ้นไปอยู่ในอันดับแรก ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยลงมา หนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นหลังจากนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจะไล่ตาม แม้แต่การเข้าใกล้ก็ยากยิ่ง”

เฉินฉางเซิงจ้องมองรายชื่อที่อยู่ด้านบนสุดนิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด สี่ปีมานี้หนังสือสมรสล้วนแต่มีเขาเป็นผู้เก็บรักษา เขาเคยเห็นหลายครั้งหลายครา เขาเข้าใจชื่อของนาง และก็ชัดแจ้งในอายุของนาง เช่นนี้นับดูแล้ว คุณหนูแห่งตระกูลสวีอายุสิบสองปีก็ได้อยู่บนประกาศ ไม่มีศัตรูสู้ได้…เลือดหงส์แท้จริงแล้วช่างน่าสรรเสริญเช่นนี้

สตรีวัยกลางคนหันสายตากลับคืน มองไปทางเฉินฉางเซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าแท้จริงแล้วดีเลิศอย่างยิ่ง ไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูก ก็มีความสามารถสอบเข้าสำนัก แต่ว่า ระหว่างเจ้ากับคุณหนูมีความห่างไกลกันยิ่งนัก…เช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ดิ้นรน และไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ และก็ไม่เกี่ยวข้องกับความขยัน เจ้าอยู่ในหนทางชีวิตของเจ้าไม่หยุดที่จะตะเกียกตะกาย ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถจะขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูงได้ แต่ว่าคุณหนูจากที่นั่นมานานแล้ว ถ้าหากว่าเจ้ายังดึงดันอยากจะติดตามนาง สิ่งที่รอต้อนรับเจ้าอยู่ก็คือสายฟ้าที่ร่วงลงมาจากสวรรค์”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบ หลังจากนั้นก็คิดถึงสาวใช้ซวงเอ๋อร์ที่กล่าวถึงมังกรกลับชาติท่านนั้น ถูกยกย่องให้เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่ฟ้าส่งมาให้เป็นคู่กัน

“ชิวซานจวิน…”

สตรีวัยกลางคนคิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับชิวซานจวิน กล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “เมื่อสองปีก่อนชิวซานจวินอยู่อันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋นมาตลอด”

เฉินฉางเซิงกล่าวถาม “เพราะเหตุใดเขาถึงออกจากประกาศ เพราะว่าไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับแม่นางสวีใช่หรือไม่”

สตรีวัยกลางคนเอ่ย “เมื่อสองปีก่อนชิวซานจวินได้บรรลุขั้นถอดจิตล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้เขาอยู่อันดับแรกของประกาศเตียนจิน”

เฉินฉางเซิงถอนลมหายใจ พบว่าตนเองช่างยากที่จะหาสิ่งใดมาปลอบใจกับเรื่องนี้ เหตุเพราะว่าคนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนที่อยู่เหนือปวงชนทั้งหลาย แต่ว่าตัวเขาเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าได้ขึ้นประกาศชิงอวิ๋น…เพียงแค่อยากจะมีรายชื่อในประกาศของการรับสมัครนักเรียนล้วนแต่ยากอย่างยิ่ง โดยแท้จริงแล้วโลกของเราสองช่างแตกต่างราวฟ้ากับดิน

เขากล่าวถาม “ก่อนหน้านั้นท่านกล่าวว่าระหว่างข้ากับแม่นางสวีแตกต่างกันไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ และไม่เกี่ยวข้องกับการดิ้นรนต่อสู้ ถ้าอย่างนั้น แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับอะไร”

สตรีวัยกลางคนเอ่ยว่า “…เพียงแค่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา เจ้าแม้จะเป็นคนธรรมดาที่ดีเลิศ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังเป็นคนธรรมดา แต่คุณหนูนางตั้งแต่เกิด ก็มิใช่คนธรรมดา เจ้าเกิดมาก็คือมนุษย์ นางเกิดมาก็คือหงส์ ระหว่างทั้งสองระยะห่างราวฟ้ากับดิน”

“ที่แท้…ก็คือโชคชะตา”

เฉินฉางเซิงถอดถอนหายใจด้วยความหดหู่ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน จ้องมองไปยังสตรีวัยกลางคนกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านอาจจะไม่เชื่อ ข้ามาจิงตูเพื่อที่จะเปลี่ยนโชคชะตา…ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับการหมั้นหมาย แต่ว่าคำว่าโชคชะตาคำนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ข้าศรัทธาแต่อย่างใด”

สตรีวัยกลางคนตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าพูดชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้ เขายังไม่ยอมวางมือ

พระอาทิตย์ยามอัสดงตกทางตะวันตก เฉินฉางเซิงเดินไปยังถนนที่อยู่ตรงข้าม เดินปะปนไปกับผู้คนเดินห่างไกลออกไป

สตรีวัยกลางคนให้ความสนใจเขา เมื่อแรกเริ่มศีรษะของเขาก้มต่ำลง ร่างกายก้มโค้งเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในความเงียบและความอ่อนระทวย แต่ว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ร่างกายของเขาค่อยๆ เหยียดตรง ศีรษะค่อยๆ แหงนขึ้น เริ่มมองผู้คนบนถนนและพระอาทิตย์ตกในที่ไกลออกไปอย่างราบเรียบ

แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องแสงเป็นประกายบนตัวเขา ราวกับกำลังลุกไหม้

“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยพบเจอเด็กหนุ่มที่มีระเบียบต่อตนเอง ควบคุมการรับประทานอาหารของตนเองได้อย่างเข้มงวดและยอดเยี่ยม ไม่มีความชอบใดๆ หรือข้องเกี่ยวสถานบันเทิงที่ไม่ดีงาม เขารักษาเวลาอย่างยิ่ง เขารักษาเวลาจนกระทั่งข้าคิดว่ามีใครไล่ตามเขา หรือมีแส้ที่กำลังโบยเขาไม่หยุด แต่ว่าเขาจะไม่ให้คนข้างกายเขารู้สึกกังวลร้อนใจ มองออกว่า เขาชอบที่จะมีความสุขกับการใช้ชีวิต หรืออาจจะพูดได้ว่ามีความสุขกับชีวิต…ชอบความสะอาดสะอ้าน เมื่อวันแรกข้าเคยนับมาแล้ว เขาล้างมือทั้งหมดเจ็ดครั้ง ผ้าเช็ดหน้าคงจะมีห้าผืนขึ้นไป”

ในจวนขุนพลเทพ สตรีวัยกลางคนยืนอยู่ข้างหน้าฮูหยินสวี ใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “ฮูหยิน ข้าจำเป็นต้องพูด เด็กคนนี้ไม่เลวเลย ถ้าหากว่าให้โอกาสเขา เขาจะต้องเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามีจังหวะอีกเล็กน้อย อาจจะมีอนาคตที่ดีอย่างยิ่ง”

ฮูหยินคิดไม่ถึง คนที่ติดตามตนมาตลอดหลายสิบปี สตรีที่มีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีคนนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะพูดแทนเด็กคนนั้น คิ้วขมวดกัน พลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะกล่าวอะไรรึ”

สตรีวัยกลางคนกล่าวว่า “คุณหนูย่อมไม่อาจแต่งงานกับเขา…แต่ว่าการกดดันที่น่าอับอายดังเช่นปัจจุบันนี้ สู้ไม่เปลี่ยนเป็นสังหารเสียเลย”

ตรรกะเช่นนี้ คนธรรมดาฟังคงเข้าใจยากยิ่ง แต่ว่าฮูหยินสวีฟังก็สามารถเข้าใจได้ คิดไม่ถึงว่านางจะชื่นชมเฉินฉางเซิงด้วยใจจริง ทำให้หวนคิดถึงคำพูดของสวีซื่อจีในห้องหนังสือค่ำคืนนั้น มองนางด้วยสายตาลึกๆ กล่าวว่า “มีคนมากมายที่คอยจ้องมองจวนขุนพลเทพ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่พวกนั้นไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ถ้าหากจวนมีเรื่องอื้อฉาว ถึงแม้โดยรวมแล้วจะไม่ส่งผลกระทบ แต่ทางจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงไม่ยินดีเป็นแน่ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวังรอบคอบ สามารถใช้วิธีการสันติเอาหนังสือสมรสมาได้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ถ้าหากสุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นยังคงหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีที่น่าเวทนาของตนเองต่อไป หรือว่ามุ่งผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้าอย่างนั้นคงให้เขาตายอย่างเงียบๆ ถึงกระนั้นก็คงมีเรื่องยุ่งยากตามมา แต่นำต้นตอของความยุ่งยากทิ้งไป ก็นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่ง”

ซวงเอ๋อร์กลับมาถึงห้องของตน เหม่อลอยอยู่ข้างโต๊ะเป็นเวลานาน คิดไปถึงประโยคสนทนาที่ได้ยินนอกห้องของฮูหยิน มีความรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สงบนิ่ง ถือกาน้ำชาเทน้ำไปแล้วกว่าครึ่ง ก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้สักนิด นางรู้ว่าที่สามารถแอบได้ยินบทสนทนาได้มากมายขนาดนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าฮูหยินอยากให้ตนได้ยิน…ฮูหยินรู้ว่านางมักจะติดต่อกับคุณหนูทางจดหมาย ตั้งใจให้นางได้ยินประโยคเหล่านี้ เป็นธรรมดาอยากบอกเรื่องนี้กับคุณหนูผ่านทางนาง ก็นับว่าคือการแจ้งให้คุณหนูทราบนั่นเอง คุณหนูไม่อยากแต่งงานกับเจ้าหนุ่มที่ชื่อเฉินฉางเซิงอย่างแน่นอน แต่ว่าจะทำอย่างนี้จริงหรือ คุณหนูจะเห็นด้วยหรือ

นางเดินไปข้างโต๊ะ กางกระดาษให้เรียบ ยกพู่กันจุ่มน้ำหมึก หลังจากคิดแล้วคิดอีก จึงเริ่มเขียนจดหมาย