ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 11 เจ้าเด็กหนุ่มทั้งสอง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ชัดเจนว่าเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่วันนี้กลับร้อนระอุเล็กน้อย เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากปัญหาของสภาพอากาศหรือว่าอารมณ์กันแน่ โดยรวมแล้ว เมื่อเขาเดินกลับไปโรงเตี๊ยม พบว่าแขนเสื้อของตนเองถูกเหงื่อทำให้เปียกชุ่ม พบว่าฝุ่นที่เกาะติดเปลี่ยนเป็นสกปรก คนรักความสะอาดเช่นเขาอารมณ์จึงดำดิ่งลงไปอีก จนกระทั่งมองเห็นคนนั้น

คนนั้นคือหนุ่มน้อยเสื้อดำ ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงของโรงเตี๊ยม แหงนคางขึ้นเล็กน้อย อารมณ์เฉยเมย ไม่สนใจว่าตนจะยืนที่นี่แล้วจะทำให้ผู้อื่นเดินไม่สะดวกเลยสักนิด หยิ่งทระนงประหนึ่งนกกระเรียนป่า แต่ไหนแต่ไรสายตาไม่เคยลดต่ำลงประหนึ่งฝูงนกที่กำลังจิกกินอาหาร

โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ใกล้กับสุสานเทียนซู มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาเยอะแยะมากมาย เวลานี้เป็นเวลาอาหารพอดี ผู้คนที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมประหนึ่งกระแสน้ำ แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา หนุ่มน้อยเสื้อดำประหนึ่งเสาหินโดดเดี่ยวที่อยู่ในแม่น้ำลั่ว กระแสน้ำไหลมาบรรจบแล้วแยกจากกัน เป็นรูปภาพที่แปลกประหลาด เฉินฉางเซิงรู้จักหนุ่มน้อยเสื้อสีดำคนนี้ แต่ว่าคนในโรงเตี๊ยมไม่รู้จัก ดังนั้นจึงปรากฏภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ น่าจะเกิดเรื่องอะไรก่อนหน้านี้ เขารู้สึกตกตะลึง เพราะเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงมาปรากฏที่นี่ คิดๆ ดูแล้วคงมาหาตน เพียงแต่มาหาตนทำไมเล่า

เขาเดินไปยังด้านหน้าของหนุ่มน้อยเสื้อดำ เมื่อพบก็ทำความเคารพ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไป

เด็กหนุ่มเสื้อดำเป็นคนที่เฉินฉางเซิงพบเจอตอนสอบรับสมัครที่เทียนเต้าคือถังซานสือลิ่ว ชื่อของเขามาจากการจัดอันดับการประกาศชิงอวิ๋น ที่น่าสนใจก็คือ เขากับเฉินฉางเซิงเหมือนกันคือต่างล้วนแต่ไม่ถนัดที่จะพูดคุยกับผู้อื่น หลังจากทำความเคารพ ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร ด้วยเหตุนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นการสนทนาที่เงียบเหงาภายในเวลาอันรวดเร็ว

ภายในโรงเตี๊ยมเงียบเป็นเป่าสาก ผู้คนไม่กล้าก่อเรื่องกับถังซานสือลิ่วเพราะกำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร ที่จริงแล้วไม่กล้าแม้แต่จะทำให้เกิดเสียงใดๆ ยิ่งไม่กล้าพูดคุยกัน มีเพียงแต่แสงสว่างมากมายที่ส่องกระทบบนร่างกายของหนุ่มน้อยทั้งสอง ผู้คนอยากรู้อยากเห็นว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

บรรยากาศที่เงียบวังเวงทำให้รู้สึกอึดอัด และท่ามกลางสายผู้คนที่กำลังจับตามองก็ยิ่งทำให้อึดอัดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะต้องการแสดงออกว่าตนเป็นคนกว้างขวางอบอุ่นต่อหน้าเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วที่เป็นผู้ใหญ่จึงเป็นฝ่ายกล่าวออกมาก่อน โชคดีว่าอายุของเขามากกว่าเฉินฉางเซิงเล็กน้อย หลังจากพิจารณาแล้ว ในที่สุดก็มีวิธีแก้ปัญหาตกเสียที กล่าวว่า “แขกมาแล้ว ก็ไม่เชิญให้ข้านั่งสักหน่อยรึ”

ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงจึงตื่นจากภวังค์ พาเขาเข้าไปในห้อง ควักเงินเหรียญใหญ่ออกมาสิบกว่าเหรียญ ให้พนักงานชงน้ำชามาหนึ่งกา เวลาผ่านไปไม่นาน น้ำชาชงเรียบร้อยแล้ว โต๊ะหนังสือหนึ่งตัวกาน้ำชาหนึ่งกา รินน้ำชาลงในทั้งสองแก้วไปเจ็ดส่วน เฉินฉางเซิงจึงเชิญดื่มน้ำชา หลังจากนั้นก็เป็นบรรยากาศที่เงียบวังเวงดังเช่นเคย

ระยะเวลาที่เงียบนิ่งช่างอึดอัดยิ่งนัก ถังซานสือลิ่วที่จริงแล้วยากที่จะอดกลั้น เปิดประตูมองออกไปเห็นเทือกเขาแล้วกล่าวว่า “ยังสอบไม่ผ่านใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยความสัตย์จริง “ครั้งที่สี่แล้วที่ไม่มีชื่อในประกาศ”

ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเป็นกลอุบายของจวนขุนพลเทพตงอวี้”

เฉินฉางเซิงแหงนศีรษะขึ้น เขาแปลกใจนึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะทราบเรื่องราวภายในได้ แต่มิรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามรู้เรื่องราวมากน้อยแค่ไหน นำมาซึ่งข้อสงสัย แววตาปกติแต่มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน

ภาพในความประทับใจของถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงคุ้มค่าที่จะคาดหวังว่าเขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ นิสัยน่ารัก เป็นหนุ่มน้อยธรรมดาที่มีจิตใจดีงาม เวลานี้เขาพบว่าแววตาของเจ้าหนุ่มคนนี้ราวกับปลายมีดสว่างจ้าที่คมกริบ อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ดวงตาหรี่ลง ปิดซ่อนเรื่องราวต่อเฉินฉางเซิงยิ่งน่าสนใจมากกว่า

สิ่งที่ทำให้ถังซานสือลิ่วกลัดกลุ้มก็คือ เขาเอ่ยว่า ‘จวนขุนพลเทพตงอวี้’ ประโยคนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเฉินฉางเซิงร่างสั่นไหว แต่กลับไม่เอ่ยคำตอบที่ตนต้องการ เงียบนิ่งประหนึ่งนกกระทาที่ไร้ประโยชน์ เขาโมโหเล็กน้อย คิ้วทั้งสองประหนึ่งมีดที่ออกมาจากฝัก กล่าวด้วยเสียงดังว่า “เจ้าไม่โมโหเลยรึ ไม่โกรธแค้นเลยหรือ”

เฉินฉางเซิงแหงนหน้ามองเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลอกตาขาวช้าๆ ครั้งหนึ่ง

ถังซานสือลิ่วกำลังดื่มน้ำชา เกือบจะเอาน้ำชาในปากพ่นออกมา อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนคร่ำครึจนสามารถพูดได้ว่าเป็นคนแข็งทื่อจะมีด้านที่มีกลิ่นอายความเป็นเด็กเช่นนี้

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิด ตนเองกลัดกลุ้มจนใกล้จะตายแล้ว แต่ต้องให้เจ้ารับรู้ด้วยหรือ

แม้แต่เรื่องหนังสือสมรส เขาไม่คิดจะให้ผู้อื่นรับรู้ เพราะว่าหนังสือสมรสเป็นชนวนให้เขาถูกใส่ร้ายจนสอบไม่ผ่านในการสอบเข้าสถานศึกษาทั้งสี่สำนัก

เรื่องของหนังสือสมรส ตอนนี้ได้สิ้นสุดลง แต่ยังคงเป็นความลับระหว่างเขากับจวนขุนพลเทพตงอวี้ ถึงแม้จวนขุนพลเทพตงอวี้จะข่มขู่มาตลอด ยิ่งกว่านั้นยังมีประโยคนั้นของสตรีวัยกลางคนที่ทำให้เขาโกรธเคืองอย่างยิ่ง เขายังไม่คิดที่จะนำเรื่องนี้เปิดเผยให้ใต้หล้าได้รับรู้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกรงกลัวที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ข่มขู่ ยิ่งไม่กลัวที่จะถูกจวนขุนพลเทพตงอวี้สังหาร เพียงแค่เขาเชื่อว่าสุดท้ายแล้วตนยังจะนำหนังสือสมรสส่งคืนให้แก่จวนขุนพลเทพ เหตุใดต้องให้เรื่องอย่างนี้เผยแพร่ทุกซอกทุกซอยด้วยเล่า คุณหนูตระกูลสวีคงจะเป็นคนหยิ่งยโสและเย็นชาเหมือนดังบิดามารดาที่น่าเกลียดชังของเขา แต่หากถึงเวลาที่จวนขุนพลเทพมาขอโทษแล้ว เหตุใดจะต้องให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในภายหลังจะต้องพบความยุ่งยากในการสมรสด้วยเล่า

ใช่แล้ว เขาเชื่อว่าตนเองสุดท้ายแล้วจะถอนการหมั้นหมาย เพราะเขาเชื่อมั่นว่าคงจะมีสักวันที่จวนท่านขุนพลเทพมาขออภัยกับตน ทั้งยังไม่อยากให้ผู้คนบนโลกนี้รับรู้ชื่อของตนเพราะเรื่องคุณหนูตระกูลสวี อาจจะเป็นความทะนงตน อาจจะเป็นความดื้อรั้น โดยรวมแล้วเขาอยากจะยืนหยัดสู้ต่อ มุมมองที่เขามีต่อโลกใบนี้ ยังคงเป็นการยืนหยัดที่จะก้าวเดินไปตามทางของผู้บริสุทธิ์ต่อไป

ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ เฉินฉางเซิงชัดเจนว่าจะไม่กล่าวสิ่งใด ถังซานสือลิ่วก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่เขากลับเข้าใจในความหมายของเฉินฉางเซิง ไม่มีสาเหตุให้ชื่นชมไปมากกว่านี้ ดื่มนำชาอุ่นๆ ในแก้วจนเหือดแห้ง ยื่นมือไปตบไหล่ของเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “ข้าชื่นชมเจ้าอย่างยิ่ง”

ถึงแม้จะเป็นหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์ได้อันดับสามสิบหกจากประกาศของชิงอวิ๋น เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายประหนึ่งแม่น้ำมหาสมุทร เขาราวกับนกกระเรียนป่าที่ไม่มีผู้ใดกล้ายุแหย่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นถังซานสือลิ่วกิริยาท่าทางของเขาราวกับตั้งใจจะเหมือนเป็นคนที่มีความรอบคอบและมีประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอ่ยประโยคนี้ แววตาและอากัปกิริยาของเขาประหนึ่งผู้ใหญ่ที่มองเด็กที่อ่อนด้อยกว่า ถ้าหากว่าเป็นผู้อื่น อาจจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แม้กระทั่งอาจจะทำให้คนโมโหขึ้นมา แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาเข้าใจว่าเจ้าเด็กคนนี้แสดงเจตนาดีและอยากปลอบโยนตน เพียงแต่ชัดเจนยิ่งนักว่าเจ้าเด็กคนนี้คงทำเรื่องเช่นนี้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นจึงเหมือนกับเงอะงะเล็กน้อย

เขากล่าวตอบ “ขอบคุณ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “เพียงเอ่ยวาจาขอบคุณคงไม่พอ เจ้าต้องเลี้ยงอาหารข้าด้วย”

การแสดงความปรารถนาอยากคบค้าสมาคมและเจตนาดียังคงเงอะงะเช่นเดิม เฉินฉางเซิงพลันเห็นใจเจ้าเด็กคนนี้ เพียงเกรงว่าเจ้าเด็กคนนี้ทั้งชีวิตนี้คงจะเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียร มิน่าเล่าอายุเท่านี้ก็มีพลังลึกล้ำเช่นนี้ แต่การจัดการเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนช่างย่ำแย่และโง่เง่า ก็มิรู้ว่าอนาคตจะทำอย่างไร

แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อเขาคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็จะมักใจจดใจจ่อ มองดูแล้วคงเหมือนคนโง่เง่า ถังซานสือลิ่วมองดูเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว สงสารเจ้าเด็กคนนี้ยิ่งนัก ในใจคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ตลอดชีวิตคงจะเอาแต่อ่านตำรา ไม่แปลกที่อายุเพียงเท่านี้จะสามารถจดจำเนื้อหาตำราได้มากมาย แต่การจัดการเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนช่างย่ำแย่และโง่เง่า ก็มิรู้ว่าอนาคตจะทำอย่างไร

สรุปแล้ว เด็กน้อยที่ต่างไม่มีคุณสมบัติจะมาเห็นอกเห็นใจฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคน ต่างรับเอาความเห็นใจจากสหายผู้มีจิตใจเมตตา และเริ่มต้นคบค้าสมาคมกันต่อหลังจากพบกันที่สำนักเทียนเต้า

เฉินฉางเซิงให้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านนำรายการอาหารมา ประเมินดูแล้วเงินที่อาจารย์และศิษย์พี่ให้ยัดมาให้ตน คงจะเพียงพอให้ตนสามารถดำรงชีวิตอยู่ที่จิงตูไม่กี่ปี ไม่ต้องคิดสิ่งใดมาก ดันรายการอาหารให้ไปอยู่ตรงหน้าถังซานสือลิ่ว แล้วกล่าวว่า “เชิญตามสบาย…อืม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเลี้ยงอาหารผู้คน”

เขาคาดคิดไม่ถึง ประโยคนี้ทำให้ถังซานสือลิ่วสงสารเขาจับใจ ในใจคิดว่าแท้จริงแล้วเจ้าเด็กคนนี้โผล่ออกมาจากซอกหลืบของเทือกเขาแห่งใดกัน