บทที่ 203 เข้าเมืองหลวง[รีไรท์]
หลายวันผ่านไป ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากตามพ่อแม่เข้าไปซื้อของ และทำอาหารอร่อย ๆ รับประทาน เพื่อให้คุ้มค่ากับการแยกจากกันเป็นเวลานานถึงสามปี
จนมีวันหนึ่ง หลิวหรานบอกว่า อยากจะไปหาตะกูลหลิวที่อยู่ในเมืองหลวง
ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกแต่เขาเข้าใจดีว่า แม่มีปมในใจความเกลียดชังที่ท่านมีต่อตระกูลหลิว คงไม่อาจลบเลือนได้โดยง่าย
ฉู่ชวิ๋นจัดการจองตั๋วเครื่องบินและพาพ่อแม่บินไปยังเมืองหลวงทันที
หลงอ๋าวไม่ได้ติดตามมาด้วย ตอนนี้ชายชราอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฉียนหลงเป็นการถาวร ไม่ว่าจะไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป ทำให้ฉู่ชวิ๋นมีความสุขมาก ที่มีคนแข็งแกร่งแบบเขาอยู่ด้วย
นอกสนามบินปักกิ่ง ฉู่ชวิ๋นพบว่ามีคนมารอเขาอยู่แล้ว
“นายท่านครับ” มังกรเขียวเดินเข้ามายกมือทำความเคารพ พอหันไปเห็นฉู่เทียนเหอกับภรรยา ชายหนุ่มก็กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม
ฉู่เทียนเหอและภรรยาไม่กล้าทำตัวแข็งกระด้าง กล่าวตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพพอกัน ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย มังกรเขียวรู้ได้ยังไงว่า เขากำลังจะมาที่ปักกิ่ง?
“หัวหน้าสั่งให้ผมมารับนายท่านครับ” มังกรเขียวตอบข้อสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจของฉู่ชวิ๋น
“มารับฉันเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเหลือเชื่อ มังกรเขียวผงกศีรษะและไม่กล้าพูดอะไรอีก ทุกคนล้วนทราบดีว่าฉู่ชวิ๋นเป็นตัวอันตรายถ้าไปมีเรื่องผิดใจด้วย ก็อาจจะเดือดร้อนได้ง่าย ๆ
บนรถยนต์แลนด์โรเวอร์ของมังกรเขียว
“ขับตรงไปที่บ้านตระกูลหลิวเลย” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง มังกรเขียวเกิดอาการลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า
“ที่หัวหน้าสั่งให้ผมมารับตัวนายท่านในวันนี้ ก็เพราะว่าอาการของท่านอาจารย์ทรุดหนักมากแล้วครับ” ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไปเล็กน้อย ท่านอาจารย์ที่มังกรเขียวพูดถึงก็คืออาจารย์ของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเขาลืมไปเสียสนิทเลย
สุดท้าย ฉู่ชวิ๋นก็ตัดสินใจไปดูอาการของชายชราก่อน รถยนต์เร่งความเร็วไปถึงตรอกซอมซ่อ แล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าสู่สวนหย่อมขนาดใหญ่ ดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่ในสวนหย่อมต่างก็แห้งเหี่ยวโรยรา
มังกรเขียวพาพ่อแม่ของฉู่ชวิ๋นไปพักผ่อนอยู่ที่อีกห้องหนึ่งและนำตัวชายหนุ่มมาที่อีกห้องหนึ่งเช่นกัน ตอนที่ฉู่ชวิ๋นเห็นชายชรานอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายหมองหม่น ชายชราคนนี้ใกล้เสียชีวิตเต็มทนแล้ว
เมื่อเห็นหน้าฉู่ชวิ๋น หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ก็ทักทายด้วยความดีใจว่า
“ฉู่ชวิ๋น รีบมาดูอาการท่านอาจารย์หน่อยเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและเดินเข้าไปตรวจสอบอาการ ด้วยสีหน้าจริงจัง
อาการบาดเจ็บของชายชราเกิดขึ้น เพราะถูกพลังลมปราณที่รุนแรง กระแทกเข้าใส่จนเส้นเลือดฉีกขาดและหัวใจบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้เวลาที่หัวใจสูบฉีดเลือด เส้นเลือดเหล่านั้นก็เหมือนกับท่อน้ำแตก ไม่สามารถไหลเวียนเลือดได้อย่างที่ควรจะเป็น
ฉู่ชวิ๋นล้วงหยิบขวดหยกสีขาวเล็ก ๆ ออกมา เปิดปากชายชราออกและเทของที่อยู่ด้านในขวดกรอกลงไป สิ่งที่อยู่ด้านใน ก็คือ น้ำยาเทวะนั่นเอง
หลังจากที่น้ำยาเทวะเข้าสู่ร่างกายแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ถ่ายเทพลังลมปราณช่วยรักษาการบาดเจ็บภายในให้แก่ชายชราโดยเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่ชวิ๋นก็เทน้ำยาเทวะเข้าใส่ปากของชายชราอีกครั้ง อาการบาดเจ็บของชายชรา จึงได้รับการสมานตัวอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ ฉู่ชวิ๋นรักษาอาการบาดเจ็บของชายชรา จนอีกฝ่ายอาการดีขึ้นมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่าแล้ว แต่ตอนนี้ เขากำลังใช้พลังลมปราณของจริง ทำให้พันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดซับพลังลมปราณไปเกินครึ่ง ยิ่งเขาใช้พลังมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งอ่อนล้ามากขึ้นเท่านั้น
วิธีหลีกเลี่ยง ก็คือ เขาจำเป็นต้องใช้พลังลมปราณให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ชายชราก็ดื่มน้ำยาเทวะไปประมาณห้าขวด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแค่หยดน้ำค้างที่ภูเขาเฉียนหลงมีอยู่อย่างเหลือเฟือ
แต่ทุกครั้งที่ฉู่ชวิ๋นโคจรพลังลมปราณหลังจากให้ชายชราดื่มน้ำยาเทวะ พันธนาการแห่งท้องฟ้าที่อยู่ในร่างกายของเขา ก็จะเปล่งประกายเป็นสีทองสว่างจ้า มันดูดซับพลังลมปราณอย่างหิวกระหาย จึงทำให้ชายหนุ่มเริ่มแสดงอาการอ่อนล้าออกมาเล็กน้อย
อานุภาพของน้ำยาเทวะทั้งห้าขวดนั้นยอดเยี่ยมมาก ใบหน้าที่เหมือนคนตายของชายชราในขณะนี้มีสีเลือดขึ้นมาแล้ว ผิวหนังที่แห้งเหี่ยวก็กลับมามีความชุ่มชื้นอีกครั้ง แม้แต่เส้นผมสีขาวก็กลับมามีชีวิตชีวาเป็นประกาย
“นี่มัน…”
เมื่อหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเห็นวิธีการของฉู่ชวิ๋น เขาก็ถึงกับตกตะลึงไปแล้ว แน่นอนว่าเป็นการตกตะลึงที่เต็มไปด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มใช้วิธีอะไรรักษา ท่านอาจารย์ของเขาจึงกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้งได้ขนาดนี้
มังกรเขียวก็มีสีหน้าที่เหลือเชื่อเช่นกัน ชายชราเป็นเหมือนกับตะเกียงที่ไฟใกล้ดับเต็มที แต่ในขณะนี้ ตะเกียงดวงนั้นกลับมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาสว่างไสวอีกครั้ง ด้วยฝีมือการรักษาของฉู่ชวิ๋น มันช่างน่ามหัศจรรย์เกินไปแล้วจริง ๆ แม้แต่องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เพื่อคอยอารักขาหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเป็นจอมยุทธ์สองคน ก็ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นเช่นกัน
นี่แทบไม่ต่างจากวิธีการชุบชีวิตคนตายในตำนานเลยจริง ๆ
ทุกคนต่างก็สงสัยใคร่รู้ น้ำยาภายในขวดสีขาวที่อยู่ในมือของฉู่ชวิ๋น มันคืออะไรกันแน่?
เพียงแค่ฉู่ชวิ๋นพลิกฝ่ามือ ก็ปรากฏขวดน้ำยาอีกหลายขวดขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มยื่นส่งขวดหนึ่งให้กับหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง และโยนอีกขวดหนึ่งให้กับมังกรเขียว โดยไม่ลืมที่จะโยนน้ำยาอีกสองขวดที่เหลืออยู่ ให้กับองครักษ์ที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดภายในห้องด้วยเช่นกัน
“ดื่มแล้วจะดีต่อร่างกายนะครับ” ฉู่ชวิ๋นอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาอย่างนั้น แต่ผู้ที่มีหน้าที่องครักษ์กลับไม่เชื่อใจ ก็จะให้พวกเขาเชื่อใจคนที่ถล่มสำนักต่าง ๆอย่างราบคาบได้ยังไงกันเล่า ?
แต่หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ซึ่งปกติเวลาทานอะไร ไม่ว่าเป็นอาหารหรือน้ำดื่ม ก็จะต้องมีคนคอยชิมก่อนเสมอ
เพื่อป้องกันการวางยาพิษ กลับรับขวดน้ำยาไปกระดกดื่มอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นี่คือความเชื่อใจที่เขามีต่อฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง เพื่อเพิ่มคุณภาพของน้ำยาอีกเล็กน้อย ในอึดใจต่อมา หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็ดูอ่อนวัยมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายปี
“ถ้าคนอื่นเห็นคุณแบบนี้ จะคิดว่าคุณเป็นตัวปลอมได้นะครับ” ฉู่ชวิ๋นหยอกเย้า
“ช่างปะไร” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพูดอย่างมีความสุข รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายกระชุ่มกระชวยมากขึ้นหลายเท่า
มังกรเขียวและองครักษ์อีกสองคนก็ดื่มน้ำยาเข้าไปเช่นกัน
“ฉันเหมือนกับได้บรรลุพลังไปอีกขั้นเลย” องครักษ์คนหนึ่งพูดด้วยความประหลาดใจ
“ฉันก็เหมือนกัน” อีกคนหนึ่งเห็นด้วย
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ องครักษ์ทั้งสองคนนี้กำลังจะบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นที่สอง อยู่แล้วพลังของน้ำยาเทวะเพียงแค่ช่วยกระตุ้นมวลพลังที่กระจุกตัวอยู่ตามที่ทั้งสองคนต้องการเท่านั้น หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นจึงได้กล่าวว่า “เรื่องบรรลุพลังไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะช่วยเอง” องครักษ์ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีฉู่ชวิ๋นเป็นผู้ชี้นำ พวกเขายังจะต้องห่วงอะไรอีก ? เมื่อทั้งสองคนนั่งลง ก็เริ่มโคจรพลังขึ้นสู่ระดับผู้ปรมาจารย์ขั้นที่สองทันที
มังกรเขียวรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เขาก็เองอยากจะบรรลุพลังขั้นที่สองเหมือนกัน
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองและพูดออกมา “ส่วนนาย เอาไว้มาฝึกที่ภูเขาเฉียนหลงนะ มันจะมีประโยชน์ต่อตัวนายเอง”
มังกรเขียวแทบหยุดหายใจ รีบตอบรับกลับไปทันทีว่า “ขอบคุณมากครับนายท่าน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
อาจารย์เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาเฉียนหลงให้มังกรเขียวฟังเอาไว้เมื่อเนิ่นนานแล้ว ดังนั้น มังกรเขียวจึงอยากไปที่นั่นมานานแล้ว
“ฉู่ชวิ๋น ทำไมท่านอาจารย์ถึงยังไม่ฟื้นสักที?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองพบว่า ลมหายใจของชายชรายังคงมั่นคงดีอยู่จึงได้ตอบว่า “หลังจากต้องทรมานเพราะอาการบาดเจ็บมาหลายปี ให้ท่านนอนพักผ่อนก็ดีแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลหรอกครับ” หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง มีสีหน้าโล่งอกมากขึ้น ถามว่า “คราวนี้นายจะไปที่ตระกูลหลิวใช่ไหม? ตั้งใจจะทำอะไรกับพวกเขาล่ะ ?”
น้ำเสียงของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง เต็มไปด้วยความแค้นเคือง หลิวสือสื่อเคยมอบภาพเขียนเสือโคร่งให้มาแขวนที่ห้องทำงานของเขา ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่พบเห็นความผิดปกติเสียก่อน หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ก็คงถูกวิญญาณเสือร้ายที่สิงอยู่ในภาพเขียนฆ่าตายไปแล้ว หลังจากนั้นก็คงไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ไม่รู้เหมือนกัน สำหรับผมคงต้องแล้วแต่พ่อแม่เลย” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ถ้าเข้าใจความหมายในคำพูดของชายหนุ่ม นั่นก็หมายความว่า เขาอยากทำให้ตระกูลหลิวหายไปจากโลกใบนี้ซะ
“จริงด้วยสิ ฉันยังไม่เคยเจอพ่อแม่ของนายเลย” หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง พูดและเดินนำออกมาจากห้องของท่านอาจารย์
“ไปกันเถอะ แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยนะ ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าพ่อแม่แบบไหนกันที่ให้กำเนิดปีศาจร้ายแบบนายออกมาได้” ฉู่ชวิ๋นกลับยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินตามผู้เป็นเจ้าของสถานที่ไปด้วย
หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง หันกลับมามองฉู่ชวิ๋นด้วยความประหลาดใจพร้อมถามออกมา “มีอะไรเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยสีหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม “ใจคอคุณจะไปมือเปล่าแบบนี้ เลยเหรอ?”
หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ถึงกับตกตะลึงไปแล้ว เขารู้สึกขำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ปกติเวลาเขาไปพบเจอใคร ก็นับเป็นเกียรติที่ได้เข้าพบหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง มันถือเป็นของขวัญในตัวอยู่แล้ว ยังจะมีใครกล้าขอของขวัญจากเขาอีก ?
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่นับเพราะอีกฝ่ายคือ พ่อและแม่ของฉู่ชวิ๋น!! หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง รู้สึกกระอักกระอ่วนแม้แต่ตอนที่เข้าพบกับผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของประเทศ เขาก็ไม่เคยมีอะไรติดไม้ติดมือไปเลยสักครั้ง
ฉู่ชวิ๋นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูกจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปทำไม? ในเมื่อขี้เหนียวเสียขนาดนี้