ตอนที่ 139 ลอบสังหาร
หลังจากที่ทหารรับจ้างคนหนึ่งออกไปพร้อมกับหมายจับแล้ว เทียนซ่งหลีก็โบกมือไปที่คนอื่น “หาร่องรอยรอบ ๆ ให้ดีดีข้าอยากรู้ว่ามันไปไหน”
หลังจากที่พลัดหลงกับเจี้ยนเฉิน เทียนซ่งหลีและกลุ่มทหารรับจ้างของเขาก็หวังเพียงพบร่องรอยที่เจี้ยนเฉินทิ้งเอาไว้ แต่นี่เป็นงานที่ยากมาก
ในป่าทึบในเทือกเขาสัตว์อสูร เจี้ยนเฉินนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยใบหน้าที่ซีด เขาใช้กระบี่วายุโปรยในการเอาชิ้นส่วนหินในร่างของเขาออกอย่างระมัดระวัง เสื้อของเขาถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงทั้งหมด
ในแต่ละครั้งที่ปลายกระบี่วายุโปรยแทงลงไปที่เนื้อของเขา คลื่นความเจ็บปวดใหม่ก็ถาโถมเข้าไปที่เจี้ยนเฉิน ความเจ็บปวดต่อเนื่องได้ทดสอบประสาทของเจี้ยนเฉิน และหน้าผากของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อหินชิ้นสุดท้ายถูกเอาออกมาจากร่างของเขาแล้ว เจี้ยนเฉินร้องออกมาอย่างโล่งใจในที่สุด เขาทรุดลงไปที่ลำต้นของต้นไม้และสูดลมหายใจเข้าอย่างสงบ
หลังจากที่พักสักพัก เจี้ยนเฉินก็ตั้งสมาธิในสัมผัสของเขาไปที่รอบ ๆ ก่อนที่จะพบว่ามันสงบสุขอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิ และบอลแสงสีขาวก็ค่อย ๆ เข้ามาล้อมเจี้ยนเฉินเอาไว้ มันเริ่มรักษาร่างกายของเจี้ยนเฉิน ในตอนนี้ร่างกายของเจี้ยนเฉินจมอยู่ในแสงสีขาว ถ้ามองจากด้านนอก ก็จะเห็นเพียงเส้นร่างของร่างกายของเขาราง ๆ เท่านั้น
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เจี้ยนเฉินยังคงอยู่ในบอลแสงสีขาวนวลก่อนที่มันจะค่อย ๆ กระจายหายไป ไม่นานหลังจากนั้น ก็สามารถเห็นร่างของเขาได้ชัดในบอลแสงนั้น ครั้งนี้ หน้าของเจี้ยนเฉินไม่ได้ซีดแล้ว แทนที่กันมันกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แผลหลายแผลที่เคยอยู่บนร่างของเขาได้หายไปโดยไม่มีรอยแผลเป็นเหลืออยู่เลย
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ยังไม่หายจากอาการณ์มึนงง เขาเริ่มรวบรวมพลังเซียนที่เขาเสียไปในการที่เขาใช้ไปในกรหลบหนี เขาใช้มันไปในปริมาณมากและพลังเซียนในร่างกายของเขาก็เกือบหมด ไม่ใช่เพียงเจี้ยนเฉินอยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูรที่สัตว์อสูรสามารถมาเจอเขาได้ทุกเมื่อเท่านั้น แต่คนของตระกูลเทียนซ่งอาจจะกำลังหาเขาอยู่ด้วย ดังนั้น ทั้งหมดที่เจี้ยนเฉินจะทำได้คือรักษาร่างกายของเขาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเพื่อที่จะจะสามารถเผชิญกับอันตรายที่เขาอาจจะไปเจอได้
เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน เขานั่งอยู่ตำแหน่งเดิมมากว่า 3 ชั่วยามเพื่อรวบรวมพลังเซียน ไม่เพียงแต่ร่างของเขาจะไม่ขยับเท่านั้น ตาของก็ไม่เคยลืมขึ้นมา เขาเหมือนพระที่กำลังเข้าฌาณและตัดขาดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้ที่เขาอยู่ด้านหลังต้นไม้ งูพิษตัวผอมเพรียวก็เลื้อยไปหาเจี้ยนเฉินอย่างเงียบ ๆ มันวนรอบต้นไม้แล้วหยุด ก่อนที่จะเลื้อยเข้าไปอีกครั้ง และไม่นานหลังจากนั้น มันก็อ้าปากเล็ก ๆ ของมันขึ้นมา
ตอนที่งูอยู่ห่างออกไปไม่ถึงฟุตจากเขา เจี้ยนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นทันที ตาของเขาเป็นประกายเย็นชาในขณะที่กระบี่วายุโปรยก็ปรากฎขึ้นในฝ่ามือขวาของเขาและแทงไปที่งูด้วยความเร็วสูงมาก
“ฉึก!”
กระบี่วายุโปรยแทงอย่างแม่นยำไปตรงที่หัวใจ ด้วยปราณกระบี่จำนวนมาก หัวใจของงูก็ถูกทำลาย
เขาไม่มองไปที่งูแม้แต่น้อย เขาเก็บกระบี่วายุโปรยกลับเข้าไปในร่างและนั่งลงถัดไปจากต้นไม้ เขาหลับตาและพยายามที่จะรวบรวมพลังจิตวิญญาณ ในขณะที่เขาเข้าฌานเหมือนพระ แต่ในความเป็นจริง เขาสำรวจไปรอบ ๆ ตลอด ในบริเวณที่มีสัตว์อสูรไปไปมามา เขาไม่กล้าประมาทในขณะที่เขากำลังฟื้นฟูพลังเซียน
งูยาวสี่หรือห้าฟุตตกลงมาจากลำต้นของต้นไม้เพราะในตอนนี้มันไร้กำลังที่จะขดตัว ในตอนที่มันตกลงมา มันก็ส่งเสียงขู่ฟ่อก่อนที่จะดิ้นอยู่บนพื้นเล็กน้อยแล้วแน่นิ่งไป
หลังจากที่ผ่านไปอีก 2 ชั่วยาม เจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งและยืนขึ้นไปบนกิ่งไม้ เขาเอาเสื้อผ้าอีกชุดออกมาจากเข็มขัดมิติและเปลี่ยนมัน เมื่อเห็นว่ามันมืดแล้ว เขาก็เริ่มคิดสักพักก่อนที่ตัดสินใจจะออกไปจากที่นี่
เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ตัวเขาอย่างระมัดระวังเผื่อว่าตระกูลเทียนซ่งจะอยู่ใกล้ ๆ ในตอนนี้เขาฟื้นตัวจากบาดแผลที่หายดีแล้ว และแม้แต่พลังเซียนของเขาก็กลับมาอยู่ในระดับสูงสุด ในตอนนี้ที่เขาอยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูรที่มีภูมิประเทศซับซ้อน เจี้ยนเฉินก็มั่นใจว่า ถ้าเขาไปเจอกับพวกเทียนซ่งหลีอีกครั้ง เขาก็สามารถล่าถอยได้โดยง่าย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในพื้นที่เปิด
ในตอนนี้เองก็มีเสียงดังกรอบแกรบมาจากด้านหลัง ในตอนที่เจี้ยนเฉินได้ยินเสียงนั้น หัวใจของเขาก็หยุด เขากระโจนเข้าไปที่พุ่มไม้ใกล้ ๆ เพื่อซ่อนตัวโดยใช้ใบไม้บัง
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มชายที่ใส่ชุดขาวก็เข้ามาในสายตา
“ชีวิตแบบนี้มันเหนื่อยหน่ายจริงจริง การที่ให้คนเข้ามาในเทือกเขาสัตว์สูรเพื่อที่จะตามหาคนคนเดียวโดยที่ไม่มีแม้กระทั่งรูปวาด พวกเราจะหาเจอได้อย่างไร ? ” หนึ่งในทหารรับจ้างชุดขาวบ่นกับคนอื่น
“ถูก พวกเรายังไม่รู้เลยว่าคนผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร ถ้าพวกเขาเจอกับเขาเข้า พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใช่คนผู้นี้ ? ” ชายวัยกลางคนที่มีหนวดพูด
“เออ พี่น้องข้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมหัวหน้าตระกูลถึงต้องการให้พวกเราตามหาตัวชายคนนี้มากถึงเพียงนี้ ? ” คนผู้นั้นพูดออกมาอย่างสงสัย
“ข้าได้ยินมาว่า ชายคนนี้ฆ่าเทียนซ่งคัง เทียนซ่งคังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเทียนซ่งของพวกเรา เจ้าบอกข้ามาซิ ถ้าลูกชายของเจ้าถูกฆ่า เจ้าจะโกรธหรือไม่ ? “
“ถ้างั้นมันก็แน่นอนที่หัวหน้าตระกูลอยากจะจับฆาตกรนี้ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเทียนซ่งส่งคนมา 300 คนมาที่เทือกเขาสัตว์อสูรนี้ ในกลุ่มคนเหล่านี้ คนที่อ่อนแอที่สุดเป็นเซียนระดับสูงในขณะที่มีเซียนผู้เชี่ยวชาญประมาณ 30 คน”
“การที่หัวหน้าตระกูลส่งคนมาที่เทือกเขาสัตว์อสูรมากมายแบบนี้ เจ้าคิดว่าพวกเราจะจับฆาตกรได้หรือไม่ ? เพราะว่าเทือกเขาสัตว์อสูรนั้นใหญ่มาก และมันก็ยากที่จะบอกได้ว่า ชายคนนั้นหนีไปจากที่นี่หรือยัง”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก แต่ตามข่าวที่ได้มา ฆาตกรได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหัวหน้าตระกูล ในป่าใหญ่นี้ แม้ว่าเขาจะหนี ก็คงไปได้ไม่ไกล”
…..
กลุ่มทหารรับจ้างเริ่มพูดคุยกนอย่างเกียจคร้านเหมือนว่าพวกเขามาเดินเล่นไม่ได้มาล่าบางคน
ในตอนที่ทหารรับจ้างเดินอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จู่ ๆ ใบไม้ก็ไหวในขณะที่มีคนพุ่งออกมาพร้อมกับกระบี่วายุโปรยที่พร้อมที่จะแทงไปที่กลุ่มด้านล่าง
“ฉึบ!”
ในตอนที่ทหารรับจ้างเงยหน้าขึ้น กระบี่ก็แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของชายคนหนึ่งแล้ว
“ทุกคนระวัง มีคนกำลังโจมตี…” บางคนตอบสนองได้รวดเร็ว แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค กระบี่วายุโปรยก็มาถึงและแทงไปที่คอของเขาทันที