ตอนที่ 289 ดอกไม้ร่วงมากมายตั้งเท่าไร

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ปีนั้นอวิ๋นจือกลับหมู่บ้านตระกูลมั่วปรนนิบัติบิดาที่ป่วยหนัก ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเรื่องที่จวนมั่วถูกฆ่าล้างตระกูล หัวหน้าหมู่บ้านเดิมทีรวบรวมคนหนุ่มในหมู่บ้านไปสืบดู กลับได้รับจดหมายจากคนลึกลับคนหนึ่ง ในจดหมายบอกว่าหากคิดจะรักษาสายเลือดหยดสุดท้ายของตระกูลมั่วไว้ ก็อย่ากลับจวนมั่วเด็ดขาด ก็เป็นเช่นนี้ หัวหน้าหมู่บ้านยกเลิกการเคลื่อนไหวในครั้งนั้น และสั่งคนในหมู่บ้านอย่างเคร่งครัดห้ามก้าวออกจากหมู่บ้านแม้แต่ก้าวเดียว” อวิ๋นจือเล่าอย่างช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว “จดหมายจากคนลึกลับ? ต่อมาสืบได้ว่าใครเป็นคนเขียนหรือไม่?”

 

 

อวิ๋นจือส่ายหน้า “สืบไม่ได้ ปีนั้นหัวหน้าหมู่บ้านออกคำสั่งห้ามคนในหมู่บ้านออกไป อวิ๋นจือร้อนใจมาก จึงแอบหนีกลับจวนมั่ว ทว่าไม่คิดว่าป้ายของจวนมั่วเปลี่ยนเป็นจวนหลัวแล้ว อวิ๋นจือแอบสังเกตอยู่หลายวัน กลับทุกข์ใจที่ไม่อาจเข้าไปได้ ด้วยความจำใจจึงไปตระกูลโอวหยาง”

 

 

“ตระกูลโอวหยาง? เจ้าไปหาอวิ๋นซานแล้ว?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

อวิ๋นจือพยักหน้า “อืม ยามนั้นอวิ๋นจือคิดว่าหากกลับหมู่บ้านตระกูลมั่ว คนที่ติดต่อล้วนเป็นคนธรรมดา เรื่องของจวนมั่วก็ไม่สามารถสืบให้แน่ชัดได้ตลอดกาลแล้ว มีเพียงวิธีเดียว ก็คือไปหาพี่สาว นาง…อย่างไรเสียนางก็เป็นอนุของผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่ง”

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตา นางอาจเดาได้แล้วว่าไยอวิ๋นจือถึงปรากฏตัวขึ้นในตระกูลฮวา

 

 

เป็นไปตามคาดคำพูดต่อมาของอวิ๋นจือพิสูจน์การคาดเดาของนางไว้

 

 

ปีนั้นอวิ๋นจือไปพึ่งพาอวิ๋นซาน และหาโอกาสสืบความจริงการฆ่าล้างจวนมั่วตลอดเวลา อีกทั้งประวัติความเป็นมาของตระกูลหลัวที่นกพิราบมายึดรังนกกางเขน เพียงแต่นางเป็นสาวใช้ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างไรเสียความสามารถก็มีขีดจำกัด รอถึงสามปีก็ไม่ได้อะไร

 

 

ในเวลานั้น อวิ๋นจือเติบโตเป็นสาวน้อยงดงามน่ารื่นรมย์แล้ว

 

 

มีวันหนึ่งยามที่ในจวนจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลฮวา ตระกูลเฉิง ยังมีตระกูลหลัวที่มาใหม่ ประกายในดวงตาของคุณชายท่านหนึ่งของตระกูลฮวาทำให้นางตัดสินใจแน่วแน่

 

 

หลังจากขอร้องอวิ๋นซานอย่างยากลำบากอยู่นาน ภายใต้การผลักเรือตามน้ำของโอวหยางไห่ อวิ๋นจือกลายเป็นอนุคนหนึ่งของคุณชายตระกูลฮวาท่านนั้น ตั้งแต่นั้นก็ตั้งรกรากอยู่ในตระกูลฮวาอย่างเงียบๆ

 

 

“พี่อวิ๋นจือ” มั่วชิงเฉินถอนใจทีหนึ่ง

 

 

อวิ๋นจือเช็ดน้ำตา เอ่ยต่อว่า “คุณหนู ท่านรู้หรือไม่ ปีนั้นคนที่ฆ่าล้างตระกูลมั่วคืออาจารย์ของฮวาเชียนซู่ เขาเป็นเจ้าโถงท่านหนึ่งของนิกายมารแดง มีครั้งหนึ่งมาเป็นแขกที่จวนฮวา อวิ๋นจือได้ยินคนอื่นเรียกเขาว่านักพรตไป๋หมาง”

 

 

ไป๋หมาง? มั่วชิงเฉินกัดฟัน ถามว่า “พี่อวิ๋นจือ เช่นนั้นพวกเจ้าย้ายมาเมืองไป๋ซิงตั้งแต่เมื่อไร ตระกูลอื่นเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”

 

 

“ประมาณเก้าปีก่อนกระมัง ในคืนนั้นทั้งเมืองลั่วหยางจู่ๆ ก็ถูกแสงหมอกเจ็ดสีปกคลุม สว่างดุจกลางวัน ยามนั้นอวิ๋นจือยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาอีกก็ได้ยินว่าเกิดศึกเต๋ามาร ทั้งตระกูลฮวาย้ายตามฮวาเชียนซู่มาที่นี่ส่วนตระกูลอื่น…ตระกูลเฉิงดูเหมือนถูกคนของสำนักลั่วสยารับไปแล้ว ตระกูลโอวหยางล้วนตายอยู่ในความโกลาหลในคืนนั้น” พูดถึงตรงนี้อวิ๋นจือสีหน้าซีดเซียว นึกถึงพี่สาวอวิ๋นซาน

 

 

“เช่นนั้นตระกูลหลัวล่ะ?” มั่วชิงเฉินซักไซ้ว่า เก้าปีก่อน ตนตกลงไปในแดนไร้วิญญาณพร้อมหลัวอวี้เฉิงพอดี กุญแจลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตูปรากฏขึ้นในเวลานั้นจริงๆ

 

 

“ตระกูลหลัว?” อวิ๋นจือลังเลครู่หนึ่งถึงว่า “อวิ๋นจืออยู่ในจวนฮวาตลอด รู้เรื่องตระกูลหลัวน้อยมาก เพียงแต่…”

 

 

“เพียงแต่อะไร?”

 

 

“เพียงแต่อวิ๋นจือรู้สึกว่าตระกูลฮวาและตระกูลหลัวไม่ถูกกัน ดูเหมือนยังค่อนข้างเหมือนศัตรูกันรางๆ” อวิ๋นจือเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว คนที่ฆ่าล้างตระกูลมั่วคือตระกูลฮวา ทว่าที่นกพิราบมายึดรังนกกางเขนกลับเป็นตระกูลหลัว ในนี้มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรกันแน่ หรือว่า ตระกูลฮวารับคำสั่งจากนิกายมารแดง สิ่งที่ประสงค์ก็คือคัมภีร์โอสถนพเก้าของตระกูลมั่ว ส่วนตระกูลหลัวแอบซุ่มอยู่ในเมืองลั่วหยางเพื่อแดนสวรรค์มี่หลัวตู จึงย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลมั่วพอดี?

 

 

“ใช่แล้ว คุณหนู ท่านต้องระวังฮวาเชียนซู่ไว้ให้ดีนะเจ้าคะ!” จู่ๆ อวิ๋นจือก็เอ่ยขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง “เพราะอะไร?”

 

 

“ได้ยินว่าเขามีความสำคัญมากในนิกายมารแดง ดูเหมือนเพราะมีไฟอัศจรรย์อะไรแต่กำเนิด” อวิ๋นจือเอ่ย

 

 

“ไฟอัศจรรย์?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที

 

 

อวิ๋นจือพยักหน้าอย่างแรง “ถูกต้อง ดูเหมือนชื่ออะไร…ใช่แล้ว เพลิงลี้ลับจันทรา!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าดูไม่ดีเล็กน้อยว่า “พี่อวิ๋นจือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพลิงลี้ลับจันทรามีความอัศจรรย์อะไร?”

 

 

อวิ๋นจือส่ายหน้าว่า “อวิ๋นจือไร้สามารถ ที่รู้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินตบมือของอวิ๋นจือว่า “พี่อวิ๋นจือ เจ้าบอกชิงเฉินมากมายแล้ว ขอบคุณมาก”

 

 

สีหน้าอวิ๋นจือมืดมนยิ่งขึ้น “คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้ อวิ๋นจือก็เป็นคนตระกูลมั่ว ยิ่งเป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูท่าน ความแค้นใหญ่หลวงเช่นนี้ไม่ได้สืบให้แน่ชัด ต่อให้ตายก็ตายตาไม่หลับ เดิมอวิ๋นจือนึกว่าคำพูดพวกนี้ต้องพกเข้าโลงไปเสียแล้ว ไม่คิดว่าสวรรค์เห็นใจ กลับยังได้พบคุณหนูท่านอีก…” พูดถึงตรงนี้ก็หน้าถอดสี เอ่ยอย่างรีบร้อนว่า “คุณหนู ท่าน ไยท่านถึงอยู่ในจวนฮวาได้!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าประหลาดเล็กน้อยว่า “ฮวาเชียนซู่ช่วยข้ากลับมา”

 

 

“ฮวาเชียนซู่? คุณหนู เขารู้ฐานะของท่านแล้วหรือเจ้าคะ?” อวิ๋นจือสีหน้าตกตะลึง

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “น่าจะไม่รู้ พี่อวิ๋นจือเจ้ารู้หรือไม่ วันนี้ไม่คิดว่าฮวาเชียนซู่ จะขอให้ข้าวิวาห์กับเขา”

 

 

“อะไรนะ!” อวิ๋นจือลุกขึ้นยืนทันที “คุณหนู ท่าน ท่านรับปากแล้วหรือเจ้าคะ?”

 

 

ฮวาเชียนซู่โฉมดั่งชาวสวรรค์ หากคุณหนูใจหวั่นไหวจริงก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลงว่า “ข้ามั่วชิงเฉินหากวิวาห์กับศัตรูที่ฆ่าล้างตระกูลข้า เช่นนั้นมิแม้แต่เดรัจฉานก็ไม่ปานหรือ?”

 

 

อวิ๋นจือรู้ตัวว่าพูดผิด รีบเอ่ยว่า “คุณหนู ท่านอย่าโกรธ เพราะอวิ๋นจือตกใจเกินไป”

 

 

“พี่อวิ๋นจือ เจ้าดูหน้าตาในยามนี้ของข้าเป็นเช่นไร?” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เอ่ยขึ้น

 

 

อวิ๋นจือเพ่งพิศมั่วชิงเฉินทั้งตัวปราดหนึ่ง จะพูดแต่ก็หยุดไว้อีก

 

 

“ไม่เป็นไร เจ้าพูดตามตรง”

 

 

อวิ๋นจือกัดปากว่า “คุณหนูโฉมหน้างามหยดย้อยไม่มีใครเทียมได้ เพียงแต่ผ่ายผอมเกินไปทำลายรูปโฉม”

 

 

“หึๆ เช่นนั้นฮวาเชียนซู่เห็นความสำคัญอะไรในตัวข้านะ?” มั่วชิงเฉินเยาะเย้ยตนเองว่า

 

 

อวิ๋นจือคิดๆ ดูแล้ว กลับก็คิดไม่เข้าใจว่า “คุณหนูท่านไม่ทราบ หลายปีมานี้หญิงสาวที่ตามขอความรักฮวาเชียนซู่มีนับไม่ถ้วน เขากลับไม่เคยใกล้ชิดกับใครมาก่อน ผ่านมาหลายปีเช่นนี้อย่าว่าแต่อนุเลย แม้แต่สาวใช้ใกล้ตัวสักคนก็ไม่มี”

 

 

สายตามั่วชิงเฉินตกลงบนพระพุทธรูปที่ตั้งบูชาอยู่กลางโถง เอ่ยช้าๆ ว่า “พี่อวิ๋นจือ ปกติพวกเจ้าออกจากจวนฮวาได้ตามใจหรือไม่? จวนฮวานี่มีข้อห้ามอะไรที่คนอื่นไม่รู้หรือไม่?”

 

 

อวิ๋นจือส่ายหน้าว่า “อวิ๋นจือไม่ได้ก้าวออกจากจวนฮวานานหลายปีแล้ว ทว่าที่นี่ดูเหมือนไม่ได้ห้ามคนเข้าออก”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่าสิ่งที่อวิ๋นจือรู้เกรงว่าก็คงมีเพียงเท่านี้แล้ว จึงลุกขึ้นว่า “พี่อวิ๋นจือ เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนแล้ว ระยะนี้เกรงว่าจะไม่เข้ามาอีก ต่อไป ต่อไปหากสามารถจากไปได้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย น้ำผึ้งวิญญาณดอกท้อขวดนี้เจ้ากินวันละช้อน มันช่วยบำรุงร่างกาย” พูดพลางยัดขวดกระเบื้องขาวใบหนึ่งเข้ามืออวิ๋นจือ

 

 

อวิ๋นจือตัวสั่น อ้าปากแล้วอ้าปากอีกแล้วถึงเอ่ยว่า “คุณหนู ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

 

 

“พี่อวิ๋นจือ ข้าไปแล้ว” มั่วชิงเฉินมองใบหน้าเฒ่าชราของอวิ๋นจืออีกปราดหนึ่ง แล้วหันหลังไป

 

 

“คุณหนู…”

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับมา ก็เห็นอวิ๋นจือยิ้ม “คุณหนู ท่านต้องรักษาตัวนะเจ้าคะ”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินพยักหน้า แล้วย้อนกลับที่พักเงียบๆ

 

 

หยิบขวดน้ำเต้าขึ้นกรอกสุราอึกหนึ่ง มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้อง ลองดูดีๆ ถึงรู้ว่าที่แท้คือหุ่นเชิดไม้ที่ฝีมือประณีตตัวหนึ่ง

 

 

“วั่งชวน ไม่พบกันนานเลยนะ” มั่วชิงเฉินยกขวดน้ำเต้าสุราใส่วั่งชวน “เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้ข้าพบอวิ๋นจือแล้ว นางแก่แล้ว ไม่เหมือนเจ้า เป็นเช่นนี้มาตลอด…”

 

 

วั่งชวนยืนอยู่เงียบๆ

 

 

“วั่งชวน ท่านปู่ไม่อยู่แล้ว พี่อวิ๋นจือแก่แล้ว เจ้าว่าต่อไปคนที่อยู่เป็นเพื่อนข้าได้ มีแต่เจ้าแล้วใช่หรือไม่?” ได้พบอวิ๋นจือเดิมเป็นเรื่องน่าดีใจ ทว่าในใจมั่วชิงเฉินกลับรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

 

 

มั่วชิงเฉินแหงนหน้าดื่มสุราอีกสองสามอึก สมองกลับยิ่งตื่นตัวขึ้นมา นิ้วมือวาดอยู่บนโต๊ะ “ฮวาเชียนซู่ เพลิงลี้ลับจันทรา เพลิงลี้ลับจันทรา…”

 

 

นิ้วมือสะดุด โบกมือเก็บวั่งชวนกลับไป หรือว่า ฮวาเชียนซู่พบเพลิงแก้วใจกระจ่างของตนแล้ว?

 

 

สามไฟอัศจรรย์ต่างมีประสิทธิภาพต่างกัน ยังมีความลับบางอย่างที่ไม่ค่อยมีคนรู้ เขาอาศัยประสิทธิภาพบางอย่างของเพลิงลี้ลับจันทรารับรู้ถึงความลับของตนใช่หรือไม่นะ?

 

 

นึกถึงตรงนี้จู่ๆ นึกถึงเยี่ยเทียนหยวนขึ้นมา ทุกครั้งที่ทั้งสองคนเข้าใกล้กันก็จะดึงดูดกันอย่างประหลาด ตัวเขาก็มีไฟอัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งใช่หรือไม่…เพลิงวาสนาตะวัน?

 

 

มั่วชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งแน่ใจ สามไฟอัศจรรย์นี้ ต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้แน่นอน

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริงละก็ เช่นนั้นฮวาเชียนซู่ต้องไม่ยอมรามือแน่แล้ว บัดนี้เขาอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์พอดี ห่างจากระดับก่อแก่นปราณเพียงก้าวเดียว!

 

 

ฟ้ามืดแล้ว มั่วชิงเฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เปิดหน้าต่างพลิกตัวออกไป ตามเส้นทางที่แอบจำไว้ยามกลางวันมาถึงใต้กำแพงบุปผาที่หนึ่งเงียบๆ แหงนหน้ามองๆ แล้ว ฮึดบินขึ้นไป

 

 

ฮวาเชียนซู่ ก็ขอข้าดูสักหน่อยเถอะ ว่าตกลงเจ้าเล่นตุกติกอะไรไว้

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากอมยิ้มเยาะ ร่อนลงบนพื้นนอกจวนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง จากนั้นแตะปลายเท้าบินออกไปข้างนอก

 

 

ใจเต้นอย่างแรงทีหนึ่ง ดังตึกๆ ราวกับจะกระโดดออกจากช่องอก มั่วชิงเฉินจับหน้าอกไว้เดินหน้าอีกก้าวหนึ่ง ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

 

 

ฮวาเชียนซู่ เจ้าเล่นตุกติกไว้จริงๆ!

 

 

มั่วชิงเฉินแอบด่าในใจ กลับยิ้มนิ่งเรียบอีกทีหนึ่ง เจ็บทะลวงหัวใจ ไม่ใช่ตนจะทนไม่ไหวเสียหน่อย!

 

 

อยู่ในแดนไท่ไป๋ไม่กล้าขี่อาวุธเวทเหินหาว มั่วชิงเฉินกัดฟันปลายเท้าแตะเบาๆ บินอยู่บนยอดต้นไม้และพุ่มดอกไม้ หากถูกคนเห็นเข้า ต้องนึกว่าเป็นวิญญาณภูตผีหยอกล้อกันในคืนมืดเป็นแน่

 

 

“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินร่อนลงมา จับหน้าอกไอสองสามที ไม่คิดว่ายิ่งห่างจากจวนฮวา ความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรง

 

 

จู่ๆ รู้สึกว่าข้างหน้าผิดปกติ มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นทันที คุณชายชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลออกไป ถือขลุ่ยอมยิ้ม

 

 

“แม่นางกู้ เชียนซู่เคยบอกแล้ว เจ้าอยู่ข้างนอกเพียงลำพังมีอันตรายมากมาย เชียนซู่ไม่อาจอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนได้ทำใจไม่ได้เช่นกันมิใช่หรือ พวกเรากลับกันเถอะ” ฮวาเชียนซู่เดินเข้ามา จับมือของมั่วชิงเฉินไว้แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวล

 

 

มั่วชิงเฉินดิ้นหลุดจากมือเขาเบาๆ

 

 

ฮวาเชียนซู่หน้าไม่เปลี่ยนสี ยิ้มว่า “หากแม่นางกู้อยู่ในจวนรู้สึกเบื่อ เชียนซู่เดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

“คุณชายฮวา เจ้าทำตุกติกอะไรไว้บนตัวข้า?” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงบ

 

 

ฮวาเชียนซู่ส่ายหน้า “แม่นางกู้เข้าใจผิดแล้ว เชียนซู่ไม่มีใจคิดร้ายเจ้าเด็ดขาด เพียงแต่ไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไปเท่านั้น”

 

 

“คุณชายฮวา ไยต้องพูดเช่นนี้ด้วย เราต่างเป็นคนบำเพ็ญเพียร เจ้าไม่สู้พูดให้รู้เรื่อง ข้าก็จะได้คิดให้ชัดเจนเป็นการดีกว่ามิใช่หรือ”

 

 

ฮวาเชียนซู่มองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จู่ๆ เดินหน้าก้าวหนึ่ง ก้มหน้าไปข้างหูมั่วชิงเฉินว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหนอนมากรักชนิดหนึ่งหรือไม่นะ ชิงเฉินน้อย?”