ตอนที่ 290 หนอนมากรักคู่ผัวตัวเมีย

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินถอยหลังก้าวหนึ่ง ฝืนกดคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งในใจลงไปว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”

 

 

ฮวาเชียนซู่ยิ้มอย่างไม่แยแสว่า “ชิงเฉินน้อย เจ้าสิบหก เจ้ารู้หรือไม่ เชียนซู่หาเจ้ามานานมากแล้ว”

 

 

เสียงเบามาก ก็เหมือนกับคนรักพึมพำอยู่ข้างหู มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกใจหล่นลงไปในหลุมน้ำแข็ง กัดฟันถามว่า “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร?”

 

 

“ชิงเฉินน้อย ไม่ได้เร็วเช่นที่เจ้าคิด วันนี้ข้าย้อนกลับสำนักถึงได้รู้” รอยยิ้มของฮวาเชียนซู่อ่านความหมายไม่ออก “ข้าเลอะเลือนแล้ว ควรจะนึกได้เร็วกว่านี้ว่าเป็นเจ้าถึงจะถูก เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าจะกลายเป็นศิษย์ของกู้เหอกวง”

 

 

ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หน้าถอดสี “อาจารย์…”

 

 

“เจ้าอย่าใจร้อน กู้เหอกวงดวงแข็งยิ่งนัก หลิวซางเจินจวินเหยียบขึ้นแดนไท่ไป๋มาหาด้วยตนเองเชียวนะ แม้สุดท้ายหาไม่พบ กลับพบศพของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักชื่อจู๋ ร่องรอยบนศพเกิดจากเคล็ดวิชากระบี่วิญญาณสลายอันเลื่องชื่อของกู้เหอกวง” ฮวาเชียนซู่เอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

 

 

สีหน้ามั่วชิงเฉินยังคงดูไม่ดี ชื่อจู๋เป็นใครนางไม่รู้ คิดว่าเป็นคนที่พบยามที่ตนหมดสติ ในเมื่ออาจารย์ให้เขาน้อยแบกตนจากมา เช่นนั้นอีกฝ่ายต้องเป็นศัตรูฝีมือร้ายกาจแน่นอน แม้ฮวาเชียนซู่บอกว่าอาจารย์ฆ่าชื่อจู๋แล้ว ทว่ากลับเหลือศพไว้ นี่หมายถึงอะไร?

 

 

หากคนอื่นได้ยินว่ากู้หลีฆ่าศัตรูอาจรู้สึกดีใจ ทว่ามั่วชิงเฉินกลับนึกถึงในพริบตาว่า หากกู้หลีไม่ทันแม้แต่จัดการศพของอีกฝ่ายละก็ สถานการณ์ในยามนั้นต้องย่ำแย่มากแน่!

 

 

“ชิงเฉินน้อย เกรงว่าเจ้าจะไม่รู้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของเต๋ามารทั้งสองฝ่ายเหยียบขึ้นดินแดนของฝ่ายตรงข้าม ในรอบหลายร้อยปีมานี้ เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายหลิวซางเจินจวินเข้าแดนไท่ไป๋หากู้เหอกวง บัดนี้รู้กันไปทั่วแดนไท่ไป๋แล้ว ส่วนกู้เหอกวงมาทำอะไรที่แดนไท่ไป๋ ชิงเฉินน้อย เจ้าคงไม่ใช่ไม่รู้หรอกกระมัง?” ฮวาเชียนซู่เข้าใกล้ก้าวหนึ่ง

 

 

“เจ้าจึงรู้เพราะเรื่องนี้หรือ?” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าลิขิตสวรรค์กลั่นแกล้ง

 

 

“ลือกันว่า กู้เหอกวงที่ความสามารถน่าตกใจมีศิษย์ที่ความสามารถน่าตกใจเช่นกันคนหนึ่ง อายุยี่สิบสองสร้างรากฐาน บัดนี้เพียงอายุสี่สิบกว่าก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว เป็นหนึ่งใน ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ชื่อดังของพรรคเหยากวง หลังจากถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารอูเย่ว์จับตัวไปกู้เหอกวงบุกแดนไท่ไป๋เพียงลำพัง ก็เพื่อช่วยลูกศิษย์สุดที่รักของเขากลับมา แม่นางกู้ เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?” ฮวาเชียนซู่ยักคิ้ว

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ขนตาสั่นว่า “เช่นนั้นก่อนหน้านี้ล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดี ไยเจ้าถึงพาข้ากลับมา? หนอนมากรักของเจ้า ไม่ได้เพิ่งใส่แค่วันสองวันกระมัง?”

 

 

“เชียนซู่พึงใจต่อแม่นางตั้งแต่แรกพบ อีกทั้งกลัวแม่นางไม่ยอมจำนน ทำเพราะความจำใจเท่านั้น” ฮวาเชียนซู่พูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

 

 

มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป ถ่มน้ำลายทีหนึ่งว่า “ฮวาเชียนซู่ หากไม่เพราะเรื่องในปีนั้น ข้าต้องเรียกเจ้าว่าท่านอา! พูดได้ดีนี่ทำเพราะความจำใจ หึๆ เช่นนั้นปีนั้นเจ้านำโจรนอกฆ่าล้างตระกูลมั่วข้า ก็ทำเพราะความจำใจเช่นนั้นหรือ? ในเมื่อวันนี้พูดเปิดอกแล้ว เจ้ายังไม่สู้บอกแผนการของตนออกมาอย่างชัดเจนดีกว่า การตีหน้าซื่อเช่นนี้ ทำให้คนคลื่นไส้เปล่าๆ!”

 

 

นิ่งเงียบไปพักใหญ่

 

 

จู่ๆ ฮวาเชียนซู่ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “ชิงเฉิน เจ้าโตแล้วจริงๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากไว้แน่น มองฮวาเชียนซู่อย่างเย็นชา

 

 

ฮวาเชียนซู่เดินเข้าใกล้อีกก้าวหนึ่ง จับมือของมั่วชิงเฉินขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินอยากดิ้นให้หลุดโดยจิตใต้สำนึก กลับอดทนไว้ นางจะลองดูว่าเขาคิดจะทำอะไร

 

 

ฮวาเชียนซู่จับมือของมั่วชิงเฉินไว้กดไปที่หน้าอกของตนเองว่า “ชิงเฉิน เจ้าฟังสิ ในใจข้ามีหนอนมากรักอาศัยอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน เป็นคู่ผัวตัวเมียกับตัวที่อยู่ที่เจ้านั่น”

 

 

มั่วชิงเฉินขนลุกซู่ แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

ฮวาเชียนซู่ยิ้มสดใสเหมือนฟ้าหลังฝน หากเป็นคนที่ไม่รู้ความ ต้องนึกว่าเขาเป็นเซียนที่หลุดจากโลกิยะเป็นแน่

 

 

“ชิงเฉิน เราต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ หลังจากวิวาห์ ก่อแก่นปราณพร้อมกันก็เป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่งมิใช่หรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังโดยพลัน พูดเสียงหลงว่า “เจ้า เจ้ารู้แล้วหรือ!”

 

 

ฮวาเชียนซู่ดึงมั่วชิงเฉินมาข้างหน้า ปากเขยิบไปข้างหูนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “เพลิงแก้วใจกระจ่าง ชิงเฉินน้อย ให้เราได้พบกันในเวลานี้ สวรรค์กำหนดให้เจ้าเป็นของข้า!”

 

 

“เจ้าฝันไปเถอะ!” มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเคียดแค้น ยื่นมือออก กระบี่ชิงมู่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ

 

 

ฮวาเชียนซู่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ จู่ๆ ยื่นมือออกจับกระบี่ชิงมู่เล็งหัวใจตนไว้ว่า “ชิงเฉินน้อย หากแค้นข้าถึงเพียงนั้นจริง ไม่สู้เจ้าลองแทงเข้ามาดู?”

 

 

“เจ้านึกว่าข้าไม่กล้า? หึๆ หนอนคู่ผัวตัวเมียแล้วเป็นเช่นไร เจ้าตายแล้วข้าก็ไม่รอดหรือ? หากเป็นเช่นนั้นละก็ ข้าก็ไม่ขาดทุน!” มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยว่า

 

 

“จริงหรือ หากเจ้าตามข้าไปแล้ว คนอื่นจะนึกว่าเราตายเพราะความรักนะ” ฮวาเชียนซู่ยิ้ม

 

 

ในโลกนี้ไยถึงมีคนหน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้!

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าดำ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไรหลังจากตายไปก็คือความว่างเปล่า คนอื่นจะมองเช่นไรจะเป็นอะไรไป?”

 

 

ฮวาเชียนซู่มุมปากอมยิ้ม ส่ายศีรษะว่า “คนอื่นมองเช่นไรไม่เป็นไรก็จริง ทว่านักพรตลั่วหยางผู้นั้น เกรงว่าต้องเสียใจแล้ว!”

 

 

“เจ้าหมายความว่าเช่นไร?” มั่วชิงเฉินกังวลขึ้นมา

 

 

ฮวาเชียนซู่หลุบตายิ้มว่า “ไม่มีความหมายอะไร เพียงแต่ศิษย์น้องในสำนักคนหนึ่งหลงบุกเข้าแดนลี้ลับแห่งหนึ่ง แล้วเก็บผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับก่อแก่นปราณที่บังเอิญธาตุไฟเข้าแทรกยามบำเพ็ญเพียรกลับมาได้คนหนึ่งเท่านั้น”

 

 

“เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อหรือ?” มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะว่า วันนั้นอูเย่ว์ก็ใช้เยี่ยเทียนหยวนขู่ตน ผลสุดท้ายกลับเพียงแค่เสกวิชาบังตาเท่านั้น

 

 

“เจ้าตามข้ามา” ฮวาเชียนซู่จับมือของมั่วชิงเฉินไว้ อัญเชิญกระบี่ออกเล่มหนึ่งแล้วกระโดดขึ้นไป

 

 

มั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า อาวุธเวทเหินหาวบินในแดนไท่ไป๋สะดุดตาเกินไป เกรงว่าจะก่อปัญหาขึ้นโดยไม่จำเป็น ส่วนอาวุธเวทเหินหาวของฮวาเชียนซู่กลับเป็นรองเท้า จึงได้แต่หยิบกระบี่บินสำรองออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินสลัดมือฮวาเชียนซู่หลุด ขึ้นไปยืนด้านหลังกระบี่บินโดยไม่พูดอะไรสักคำ นางจะดูว่าเขาจะพาตนไปไหน

 

 

บินไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ฮวาเชียนซู่ก็ร่อนลงมา ใช้คาถาเปิดเขตอาคมประตูสำนัก พามั่วชิงเฉินมาถึงที่พำนักของตน และมาถึงลานบ้านที่มิดชิดที่สุดอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง หายแวบเข้าไป

 

 

“ใคร!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น จากนั้นคือเสียงเรียกอย่างประหลาดใจ “ศิษย์พี่ฮวา เจ้ากลับมาแล้ว?”

 

 

“ศิษย์น้องหาน ลำบากเจ้าแล้ว” ฮวาเชียนซู่เอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

เสียงของหญิงสาวเผยให้เห็นความยินดีอย่างมากล้น “ศิษย์พี่ฮวาเกรงใจไปแล้ว ลำบากที่ไหนกัน”

 

 

“คนผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง คงไม่มีใครพบอะไรเข้านะ?” ฮวาเชียนซู่ถาม

 

 

“ไม่มี ศิษย์น้องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด อีกอย่างที่พำนักของศิษย์พี่ฮวา คนอื่นกล้าเข้ามาส่งเดชที่ไหน” หญิงสาวยิ้มเสียงนุ่มนวล

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ศิษย์น้องหานกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ วันหลังศิษย์พี่เชิญเจ้าดื่มน้ำชา”

 

 

“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ฮวา ศิษย์น้องขอตัวก่อนแล้ว ไว้พบกันใหม่” หน้าตาหญิงสาวเต็มไปด้วยความปีติ ก้าวย่างอย่างอ่อนโยนจากไปแล้ว

 

 

“ออกมาเถอะ” ฮวาเชียนซู่เอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินปรากฏตัวออกมา

 

 

ฮวาเชียนซู่ชี้ไปบนเตียงว่า “ชิงเฉินน้อย เจ้าไม่สู้ไปดูสักหน่อยว่ารู้จักหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดปาก เดินเข้าไปเงียบๆ

 

 

ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง หลับตาสนิท มือเท้าล้วนถูกพันไว้ด้วยเชือกมัดวิญญาณ จะเป็นใครไปได้นอกจากเยี่ยเทียนหยวน!

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลไม่แน่ใจ ฮวาเชียนซู่กลับพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวน “ชิงเฉินน้อย เจ้ามีเพลิงแก้วใจกระจ่างมิใช่หรือ สัมผัสเขาสักที ลองดูว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ก็รู้แล้วมิใช่หรือ อย่างอื่นแอบอ้างได้ ไฟต่างกันดึงดูดกัน คงปลอมกันไม่ได้กระมัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินหมุนตัวมาทันที มองฮวาเชียนซู่ด้วยสีหน้าซีดเซียว

 

 

ฮวาเชียนซู่ดีดนิ้ว เปลวไฟสีดำช่อหนึ่งกระโดดออกมา “ไม่ต้องตกใจ เพียงเพราะมีเพลิงลี้ลับจันทรา จึงบังเอิญเข้าใจสามไฟอัศจรรย์มากสักหน่อยเท่านั้น”

 

 

วันนั้นระหว่างทางกลับสำนักบังเอิญเจอศิษย์น้องหานพาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่หมดสติคนหนึ่ง หลังจากไต่ถามถึงรู้ว่าพบที่แดนลี้ลับ เห็นเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าระดับก่อแก่นปราณ สงสัยว่าปรากฏตัวที่แดนไท่ไป๋มีจุดประสงค์อะไร ถึงคิดพากลับมาให้ทางสำนักตัดสินใจ

 

 

เดิมทีฮวาเชียนซู่ไม่ใส่ใจ ทว่ายามที่เข้าใกล้จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรง ชั่วแวบหนึ่งจึงนึกถึงเพลิงวาสนาตะวันที่ตรงข้ามกับตนโดยสิ้นเชิงขึ้นมาได้

 

 

ไม่คิดว่าสามไฟอัศจรรย์จะปรากฏขึ้นพร้อมกัน ช่างน่าสนใจจริงๆ เขาจึงแอบพาเยี่ยเทียนหยวนกลับที่พำนักทันที โชคดีที่ศิษย์น้องผู้นั้นมีใจให้ตนมานานแล้ว พูดอะไรก็เชื่อฟัง

 

 

ท่ามกลางสายตาจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของฮวาเชียนซู่ มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับมา มองใบหน้าซีดเผือดของเยี่ยเทียนหยวนอย่างเลื่อนลอย ผ่านไปเนิ่นนาน สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ยื่นนิ้วมือเย็นเฉียบไปจับมือของเขา

 

 

มือของเขาอุ่นกว่าที่ตนคิดค่อนข้างมาก ทว่าปราณวิญญาณในร่างวุ่นวาย ชีพจรได้รับบาดเจ็บสาหัส เห็นชัดว่าเป็นผลกระทบหลังธาตุไฟเข้าแทรก

 

 

และตามพลังวิญญาณที่นางยื่นเข้าไป เพลิงวาสนาตะวันในกายเยี่ยเทียนหยวนพุ่งสูงขึ้น พุ่งมาถึงปลายนิ้วตามพลังวิญญาณสายนี้มาอย่างไม่คาดคิด กลับทุกข์ที่หาทางออกไม่ได้

 

 

พูดไม่ถูกว่าบุญมาปัญญาเกิด หรือว่ายากจะควบคุมตนเอง เพลิงแก้วใจกระจ่างในกายมั่วชิงเฉินพุ่งไปที่ปลายนิ้วในยามเดียวกัน รีบร้อนอยากเข้าสู่ร่างกายอีกฝ่าย

 

 

ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนั้นทำให้มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อ กลับไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น แอบถ่ายเพลิงแก้วใจกระจ่างช่อหนึ่งเข้าในกายเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ในชั่วอึดใจ มั่วชิงเฉินสังเกตเห็นว่าเพลิงแก้วใจกระจ่างและเพลิงวาสนาตะวันพัวพันเข้าด้วยกัน พลังวิญญาณที่รุนแรงที่อยู่รอบๆ เปลวไฟทั้งสองชนิดว่าง่ายขึ้นมา

 

 

“ชิงเฉินน้อย จู๋จี๋กับชายอื่นต่อให้เชียนซู่ตลอดเวลา เชียนซู่จะหึงนะ” เสียงของฮวาเชียนซู่ลอยมาอย่างเอ้อระเหย

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตา แล้วลุกขึ้นยืน หมุนตัวมองฮวาเชียนซู่อย่างเย็นชา

 

 

ฮวาเชียนซู่กลับไม่พูด หันหลังแล้วก็เดินออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน มองเยี่ยเทียนหยวนอย่างลึกซึ้งอีกปราดหนึ่ง แล้วตามขึ้นไป

 

 

ที่ฮวาเชียนซู่ไม่ได้สังเกตคือ รอหลังจากทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว ผึ้งวิญญาณสีมรกตตัวหนึ่งจู่ๆ ก็มุดออกจากฝ่ามือเยี่ยเทียนหยวน บินไปหยุดที่มุมปากเยี่ยเทียนหยวนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง จากนั้นน้ำผึ้งวิญญาณสีชมพูอ่อนสายหนึ่งค่อยๆ ไหลเข้าปากของเขา

 

 

“ฮวาเชียนซู่ นี่เจ้าจะทำอะไร?” มองดูสาวใช้ยกผ้าไหมแพรพรรณ เครื่องใช้ทองหยกเข้ามาทีละคนคนไม่ขาดสาย มั่วชิงเฉินมองฮวาเชียนซู่ที่เดินตามหลังเข้ามาอย่างเย็นชาแล้วถามขึ้น

 

 

ฮวาเชียนซู่ตบมือ สาวใช้พวกนั้นรีบวางของลงแล้วโค้งตัวถอยออกไป ทำให้มั่วชิงเฉินโกรธจนปากสั่นก็คือ สาวใช้ที่ออกไปคนสุดท้ายยังติดมือปิดประตูขึ้นด้วย!

 

 

“ชิงเฉินน้อย พักฟื้นให้ดี สามวันให้หลังเราไหว้ฟ้าดินวิวาห์กัน!” พูดจบ ฮวาเชียนซู่ยื่นมือลูบไล้เส้นผมของมั่วชิงเฉิน แล้วหันหลังจากไป

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าซีดแล้วซีดอีก สุดท้ายนั่งกลับลงบนเตียงอย่างเงียบๆ

 

 

สามวันให้หลัง จวนฮวาประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นสิริมงคล

 

 

ทั้งเมืองไป๋ซิงอึกทึกขึ้นมา คุณชายตระกูลฮวาที่รูปหล่อสง่างามผู้นั้น ไม่คิดว่าจะวิวาห์แล้ว!