ตอนที่ 213 พิงถิงเลือกคู่ครอง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พี่สะใภ้…” พิงถิงมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูอุ้ยอ้ายขึ้นทุกวันก็ร้องเรียกเสียงเบา หลังกลับมาจากจือหยาง บางครั้งนางก็มักจะเข้ามาพูดคุยเล่นกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์บ่อยๆ แต่นางก็รู้ว่าฐานะของตนก็ค่อนข้างที่จะอึดอัดเช่นกัน ในยามที่มาล้วนจะเลือกเวลาตอนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน ตระหนักได้ว่าต้องหลบเลี่ยงจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและอนุภรรยาหวัง

“อื้ม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย ช่วงนี้การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลซั่งกวน นอกจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว ก็มีพิงถิงเนี่ยเหละ

เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับวันก็ยิ่งมีน้ำมีนวลขึ้น ไม่ว่าเห็นอะไรก็อยากกิน กินอิ่มนอนหลับ หากไม่ใช่ว่าเพื่อลูก ทั้งมีวิชานั้นของซินหรัน นางก็คงจะห้ามไม่ให้ตัวเองกินนู้นกินนี่ไปแล้ว แต่พิงถิงไม่เหมือนกัน นางเปลี่ยนเป็นคนจิตใจดีขึ้นทุกวัน ในยามปกติใบหน้าก็มักจะแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างสุขใจ แววตาก็ดูอบอุ่นและใจกว้าง การปฏิบัติตัวก็ดีขึ้นมาก ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและ ซั่งกวนฮ่าวล้วนรู้สึกพึงพอใจ

“ไม่กี่วันมานี้ริมทะเลสาบมีดอกเบญจมาศบานสะพรั่งอยู่เต็มไปหมด งดงามเป็นอย่างมาก พี่สะใภ้สามารถไปเดินเล่นดูได้!” พิงถิงกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพิ่งให้พวกสาวใช้ไปเด็ดมา มอบให้เซียงชุ่ยแล้ว หากใส่ลงในแกงไก่ ไม่เพียงแต่จะสุขตาสบายใจ แต่รสชาติก็จะดีไม่น้อยเช่นกัน!” พิงถิงเผยยิ้มนั่งอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ตอนเย็นยังดิ้นมากหรือไม่?”

ช่วงนี้เด็กตัวน้อยในครรภ์กลับไม่เลือกกิน กินอะไรก็ชอบทั้งนั้น แต่กลับชอบดิ้นซน ตอนกลางวันยังดี ในยามที่นอนตอนบ่ายก็ยังไม่ดื้อ แต่พอตอนเย็นก็เริ่มอาละวาดไปทั่ว เดิมทีเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สัมผัสไวเพียงแค่เขาเริ่มดิ้นก็จะตกใจตื่นทันที ซั่งกวนเจวี๋ยกลับมีความสุขกับเรื่องนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกทำให้ตื่น เขาก็ไม่นอนแล้วเช่นกัน ดึงหมอนลงมาข้างล่าง ก่อนจะเริ่มพูดกับลูกในท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่หยุดไม่หย่อนทันที จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างสนุกเช่นกัน เด็กตัวน้อยคล้ายกับได้ยินเสียงของซั่งกวนเจวี๋ย ขอเพียงแค่ได้ยินซั่งกวนเจวี๋ยพูดกับเขา ก็จะหยุดดิ้นไม่ซนแต่โดยดี เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สามารถล่วงสู่นิทราลงในน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน และซั่งกวนเจวี๋ยก็มักจะเอาแต่พูดอยู่อย่างนั้น นอนแนบหน้ากับท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จนถึงกระทั่งฟ้าสาง

“ไม่เคยทำตัวดีๆ เลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลูบหน้าท้อง ส่ายหน้าทั้งยิ้มๆ คนรอบกายล้วนพูดว่าไม่เคยเห็นเด็กที่ดื้อซนดิ้นแรงถึงขนาดนี้มาก่อน ช่วงนี้ซั่งกวนเจวี๋ยก็นอนไม่ค่อยพอ แม้จะพูดว่าวรยุทธ์ของเขาสูงล้ำ สูญเสียเวลานอนไปนิดหน่อยจะนับว่าเป็นอันใด อารมณ์จิตใจก็ดี พลังกำลังยังคงเหลือเฟือ แต่ก็ไม่อาจห้ามร่องรอยดำคล้ำที่ปรากฏใต้ขอบตาอย่างเลือนรางได้ ทำให้คนของตระกูลซั่งกวนที่พบเขาล้วนอดหยอกล้อออกมาไม่ได้ มี่เอ๋อร์ให้เขากลับเรือนไร้เดี่ยวไปพักผ่อน เขาก็กลับไปแต่โดยดี ผลปรากฏว่านอนพลิกไปพลิกมาก็นอนไม่หลับยิ่งกว่า ดึกดื่นผ่านไปกว่าค่อนคืนจึงย้อนกลับมาอีกครั้ง

“แต่ข้ากลับเห็นพี่สะใภ้นับวันก็ยิ่งชอบยิ้มมากขึ้น ทั้งยิ้มหวานขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย!” พิงถิงนวดขาให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งรอยยิ้ม นางเติบโตมากับทั่วป๋าซู่เยวี่ย ตั้งแต่เล็กก็เรียนรู้ที่จะประจบประแจงทั่วป๋าซู่เยวี่ย เรื่องบีบนวดขาก็นับว่าทำจนชินแล้ว

“ข้าว่าเจ้าก็เช่นกัน ช่วงนี้สีหน้าและท่าทีล้วนดีขึ้นมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ “ช่วงนี้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ของเจ้ากำลังดูข้อมูลของลูกหลานแต่ละตระกูลอยู่บ้าง เจ้าไม่มีคนที่ถูกใจ หรือชอบบ้างจริงๆ หรือ?”

“พี่สะใภ้…” พิงถิงร้องอย่างกระเง้ากระงอด “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ตัวเองตัดสินใจได้ที่ไหนกัน ข้าเคยพูดแล้วว่าการจัดการทั้งหมดของท่านพ่อล้วนมาจากใจ ข้าย่อมไม่มีความคิดอันใดแล้วจริงๆ”

“เจ้าไม่กังวลว่าคนที่พวกเขาถูกใจจะไม่ใช่คนที่ตัวเองชอบหรอกหรือ?” จุดนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดไม่ตกเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดซั่งกวนฮ่าวเปิดทางถึงเพียงนี้ แต่พิงถิงกลับเลือกถอย หรือนางไม่อยากหาคนที่ตัวเองชอบอย่างนั้นหรือ?

“ข้าไม่มีคนที่ชอบเสียหน่อย ไม่ต้องกังวลปัญหานี้หรอก!” พิงถิงคลี่ยิ้มบาง “ท่านพ่อและพี่ใหญ่ทำเรื่องอันใดล้วนหนักแน่นและรอบคอบ หากพวกเขาเลือกให้ข้าก็ย่อมพิจารณาจากด้านตระกูล ชาติกำเนิด ลักษณะนิสัย ความสามารถ และรูปร่างหน้าตา หากเป็นข้าเลือกเอง ย่อมที่จะถูกรูปลักษณ์ภายนอกล่อลวงโดยง่าย ตรงกันข้ามกลับจะเกิดปัญหาได้ง่ายกว่า”

“เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะให้เจ้าแต่งกับคนอัปลักษณ์หรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับนับวันก็ยิ่งชอบพิงถิงมากขึ้น นางคุ้นชินที่จะหยั่งเชิงจิตใจคน หากมีจุดยืนเป็นศัตรูย่อมเกลียดเป็นอย่างมาก แต่ในยามนี้ไม่เห็นเป็นศัตรูอะไรแล้ว ก็รู้สึกว่านางเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

“ตั้งแต่สมัยโบราณก็มีคำกล่าวที่ว่าชายหนุ่มมากความสามารถกับหญิงสาวหน้าตางดงามจึงจะนับว่าเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก สิ่งที่ชายหนุ่มพึงมีคือความสามารถและความรอบรู้ แต่ไม่ใช่รูปลักษณ์ ข้ายอมที่จะแต่งกับคนที่หน้าตาขี้เหร่แต่มีความสามารถ ดีกว่าต้องแต่งกับคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย” พิงถิงไม่กังวลปัญหานี้แม้แต่น้อย กล่าวด้วยยิ้มระรื่น “อีกอย่าง หากเป็นประเภทที่น่าเกลียดจนแทบมองไม่ได้จริงๆ กระนั้นกลับมีความสามารถ ก็ใช่ว่าจะเป็นเจ้าบ่าวที่ไม่เหมาะสมเสมอไป พูดยากว่าอาจจะดีกว่าเสียอีก!”

“คิดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่านางจะมีความคิดเช่นนี้ หญิงแรกรุ่นก็ชมชอบหนุ่มรูปงามกันทั้งนั้น มีรูปลักษณ์ที่ดีอย่างไรก็นับเป็นความได้เปรียบอยู่วันยังค่ำ

“พี่สะใภ้ ท่านลองคิดดู ชายหนุ่มที่รูปงามทั้งมีความสามารถย่อมดึงดูดผู้คนให้มาชื่นชอบโดยง่าย แม้ว่าเขาจะไม่เป็นฝ่ายออกตัวก่อน แต่คนอื่นก็จะไล่ตามมาถึงหน้าประตูอยู่ดี ท่านพี่ก็ไม่ใช่เช่นนี้หรือ? เพียงแค่พูดคำสองคำ ก็มีคนยอมทิ้งศักดิ์ ศรีมาไล่ตามถึงหน้าประตู แต่ชายหนุ่มที่มีความสามารถ หน้าตาธรรมดากลับนับว่าปลอดภัยอยู่บ้าง ข้าไม่ต้องการคนที่วันหนึ่งก็เอาแต่ดึงดูดผู้คนมาไม่หยุดไม่หย่อน!” พิงถิงกลับมองทะลุปรุโปร่ง การไปจือหยางครั้งนี้ ลูกหลานตระกูลใหญ่รูปงามล้วนเห็นมาไม่น้อย แต่ส่วนมากก็มีความสามารถในการดึงดูดผู้คนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่ชอบ

“มีความต้องการอันใดเป็นพิเศษหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม ระยะนี้ซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยล้วนแต่รู้สึกปวดหัวเพราะเรื่องนี้ นางพูดเช่นนี้ก็เพราะอยากหยั่งเชิงความชอบของพิงถิง จำกัดตัวเลือกให้แคบลงเท่านั้น

“ขอเพียงแค่ไม่เหมือนอวี่ไข่ก็พอแล้ว!” ครึ่งปีก่อนพิงถิงยังอาจจะคิดว่าอวี่ไข่เป็นต้นแบบในการหาคู่คนหนึ่ง แต่เมื่อมองในยามนี้ กลับไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่ชอบ จึงใช้ต้นแบบตรงข้ามกับอวี่ไข่ให้รู้แล้วรู้รอดไป

“ทำไมล่ะ? เจ้าเกลียดชังอวี่ไข่ถึงขนาดนี้เลยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แม้ว่าพี่น้องทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่ปกติมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็มีมารดาคนเดียวกัน ย่อมรู้สึกใกล้ชิดกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่ยามนี้ไฉนกลับแตกต่างถึงเพียงนี้?

“ข้าไม่อยากแต่งกับคนที่เอาแต่คิดอยากจะแต่งกับภรรยาที่มีชาติตระกูลดีทั้งวัน จากนั้นก็จะเปลี่ยนฐานะของตนเองได้!” พิงถิงนับว่ารู้ไส้รู้พุงอวี่ไข่ นางเปลี่ยนจากนวดเป็นบีบแทน บีบน่องให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยแรงที่พอดี “แต่ไหนแต่ไรอวี่ไข่ก็คิดว่าตัวเองนั้นดีที่สุด เพียงแต่ชะตาดีสู้คนอื่นไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เขาคิดไม่ใช่การพยายามพึ่งตัวเองเพื่อเปลี่ยนตัวเอง แต่คิดที่จะอาศัยคนอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากเขาต้องการ คนผู้นั้นสามารถมอบให้เขาได้ เขาก็จะยิ่งโลภมากไม่รู้จักพอ แต่หากคนผู้นั้นไม่สามารถให้เขาได้ เขาก็จะเอาความซวยและความผิดทั้งหมดผลักไปให้คนอื่น หากแต่งกับคนที่เหมือนกับเขา ชั่วชีวิตนี้ก็ย่อมเป็นดั่งทั่วป๋าฉินซินที่น่าสงสาร ไม่อาจจะมีความสุขได้ วันเวลาดีๆ ของนางในที่สุดก็มาถึงจุดจบแล้ว”

“เจ้าไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับงานแต่งของอวี่ไข่และฉินซินหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามด้วยยิ้มบาง เอ่ยต่อว่า “อวี่ไข่จะแต่งกับหญิงสาวตระกูลสูงส่ง ทั่วป๋าฉินซินก็แต่งเข้ามาในตระกูลซั่งกวน แม้ระหว่างทางจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาแต่ก็นับได้ว่า

สมใจปรารถนาแล้ว!”

“พวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่สำหรับคนอื่นคือกิ่งทองใบหยก แต่พวกเขากลับเป็นเหมือนหม้อบุบที่คู่กับเตาเบี้ยว ภายหลังก็ย่อมมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!” พิงถิงเบ้ปาก “พี่สะใภ้ ข้ากล้าพนันกับท่าน พวกเขาทั้งสองแต่ง งานครบหนึ่งเดือนก็คงจะทะเลาะกันแล้ว ครึ่งปีก็ย่อมจะลงไม้ลงมือกันแน่ จะเดิมพันกับข้าหรือไม่?”

“มั่นใจถึงขนาดนี้เชียว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เชื่ออยู่บ้าง แม้สองคนนั้นจะไร้สมองไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้จักหนักเบาไปเสียหมด แม้ว่าพวกเขาแปดถึงเก้าส่วนจะนับว่าเป็นคู่เวรคู่กรรม แต่ว่าช่วงข้าวใหม่ปลามัน ก็คงยังประคองรักษาท่าทีปรองดองกันได้อยู่กระมัง

“ไม่ไกลกว่านี้มากแน่!” ในที่สุดพิงถิงก็หยุดมือลง หยัดกายขึ้นล้างไม้ล้างมือ “ทั่วป๋าฉินซินดูแคลนพวกเราอยู่ลึกๆ ในใจ นางคิดว่าในกายของพวกเรามีสายเลือดต่ำต้อยไหลเวียนอยู่ ดังนั้นแววตาที่นางใช้มองอวี่ไข่ย่อมเป็นการมองเหยียดจากที่สูงลงมาที่ต่ำ และอวี่ไข่ก็ไม่อาจสนใจสิ่งนี้ สิ่งที่เขาสนใจคือสามารถหาผลประโยชน์อะไรจากทั่วป๋าฉินซินได้บ้าง…แต่ว่าพี่ สะใภ้ อย่าพูดเลยว่าชื่อเสียงของทั่วป๋าฉินซินมาถึงขั้นที่เสื่อมเสียจนไม่รู้จะเสื่อมเสียอย่างไรแล้ว แต่แม้ว่านางยังคงเป็นคุณหนูตระกูลทั่วป๋าที่ถูกทุกคนพะเน้าพะนอ ตระกูลทั่วป๋าก็ย่อมไม่เห็นความสำคัญของอวี่ไข่อยู่ดี อวี่ไข่เป็นลูกอนุภรรยา สำหรับตระกูลทั่วป๋านับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่มีคุณค่าอันใด วางเดิมพันกับเขา ก็เหมือนกับการทำเงินตกลงไปในน้ำ นอกจากทำน้ำกระเซ็นแล้ว ก็ไม่มีผลลัพธ์อย่างอื่นอีก อวี่ไข่ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความอดทน เมื่อพบว่าขาดทุน ย่อมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลานั้นจะทะเลาะหรือถึงกระทั่งลงไม้ลงมือก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น ข้าย่อมไม่อาจแต่งกับคนที่เหมือนอวี่ไข่ได้ นั่นจึงนับว่าเป็นการเริ่มต้นของฝันร้าย!”

“ข้ารู้แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดไม่ถึงว่านางจะมองอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ กล่าวทั้งคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าชอบอยู่ที่ไหนกัน? ลี่โจว ใกล้ๆ กับลี่โจวอย่างเช่นจิ้นหยาง ไหลหยาง หยวนโจว หรือที่ๆ ไกลกว่านั้นอีกหน่อย?”

“ใกล้ๆ ก็ดี!” พิงถิงยิ้มอย่างราบเรียบ “หากอยู่ในลี่โจวก็จะอยู่ในหูตาของพวกท่าน ทำอะไรไม่เหมาะสม ทางบ้านสามียังไม่ทันพูดอะไร ก็คงจะถูกเรียกกลับมาสั่งสอนแล้ว เสียเปรียบจะตายไป! หากว่าไกลมากไป ยามที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมคิดอยากกลับมา ยังไม่ทันกลับถึงบ้าน ความน้อยใจที่สุมอกก็คงสลายหายไปกลางทางแล้ว ก็ไม่ดีเช่นกัน ไม่ไกลไปไม่ใกล้ไปจะดีที่สุด บางครั้งก็สามารถกลับมาเยี่ยมเยียนได้ ส่งจดหมายไปมาก็สะดวก อย่างไรอย่าได้ไกลเกินไปจะดีกว่า!”

“เช่นนั้นก็ยิ่งง่ายไปใหญ่ ข้าจะบอกให้พวกเขาดูตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ เป็นพิเศษหน่อย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าพิงถิงฉลาดมากจริงๆ โดยเฉพาะการเลือกคู่ครองยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ นางอาจจะไม่เหมือนหลิงหลงที่ทำตามใจตัวเองได้ แต่ย่อมต้องมีความสุขมากได้อย่างแน่นอน

“ยังมีเงื่อนไขอีกอย่าง!” พิงถิงหัวเราะร่า “คนผู้นั้นจะต้องผ่านด่านของพี่สะใภ้ หากพี่สะใภ้ไม่ถูกใจข้าก็ไม่แต่ง!”

“เด็กเจ้าเล่ห์!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิกแก้มนาง นางพูดมาเช่นนี้ ซั่งกวนฮ่าวนั้นไม่ว่า แต่ซั่งกวนเจวี๋ยย่อมจะเป็นห่วงเรื่องนี้ หากคนแล้วคนเล่าก็ยังทำให้ตัวเองไม่พอใจ เขายังจะมีหน้าตาอะไรอีก!

“นั่นก็เพราะว่าเชื่อมั่นในสายตาของพี่สะใภ้เถิด” พิงถิงนั้นคุ้นชินที่จะอ้อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียแล้ว นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเก่งกาจ ทั้งยังสามารถวางแผนได้ แต่ขอแค่เพียงไม่เป็นฝ่ายไปเย้าแหย่อะไรนางก่อน นางก็ย่อมไม่มีความคิดจะสร้างความลำบากอะไรให้ หากให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง นางก็จะตอบแทนดูแลกลับ ไม่เหมือนกับบางคน ทำดีก็ไม่อะไร แต่พอทำไม่ดีก็คิดถือโกรธทันที

“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเจ้าปากหวาน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม “พวกเราไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบกันเถิด ข้าอยากเห็นดอกเบญจมาศที่เจ้าบอกว่าสวยเป็นอย่างมาก!”

“เอาเสื้อคลุมมาด้วย!” พิงถิงกล่าวกับจื่อหลัวอย่างใส่ใจ “หลายวันมานี้ริมทะเลสาบลมแรง อากาศก็เย็นอยู่บ้าง เอาเสื้อคลุมไปด้วยจะดีกว่า!”

จื่อหลัวไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งรอยยิ้ม จากนั้นพิงถิงก็พยุงนางด้านหนึ่ง จื่อหลัวพยุงอีกด้าน ค่อยๆ ลงจากบันไดอย่างระมัดระวังไปยังริมทะเลสาบ…