บทที่ 216

พวกเฟิงกัดฟันต่อต้านผู้รุกรานไม่หยุดหย่อนจนเริ่มเหนื่อยล้าและพึ่งพาแรงใจในการต่อสู้ เช่นเดียวกับพวกหนิงเองที่กำลังจะหมดพลังแล้วเหมือนกัน ด้วยการต่อสู้ประชิดตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาขยาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เคยเจอการต่อต้านแรงกล้าแบบนี้มาก่อน

ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายเริ่มตีโต้กันไปมาโดยไม่แม้แต่จะขยับตัวให้มากความ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เพราะขี้เกียจแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะแรงกายที่หายไปหมดสิ้นแล้วต่างหาก !

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวถังหยินเองก็เกือบจะหมดแรงอยู่แล้ว ! ดังนั้นเขาจึงไม่คิดฝืนต่อไป หันกลับไปบอกทหารของตนว่าถอยทัพ ! จนทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเฟิงลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าพวกเฟิงกำลังจะถอยหนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่ทัพที่เป็นเสาหลักของกองทัพที่เป็นผู้ประกาศด้วยตัวเอง มันก็ยิ่งทำให้พวกหนิงมีแรงฮึด พากันวิ่งตีทะลวงแนวป้องกันของพวกเฟิงเข้ามาเรื่อย ๆ!

ทางด้านถังหยิน ตอนนี้เขาก็กำลังนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ไม่มีเกราะปราณ และแม้แต่เคียวของเขาก็ได้กลายเป็นดาบธรรมดาไปแล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะใช้ช่วงเวลาที่ว่ามองไปรอบ ๆ จนพบว่าไม่มีทหารคนไหนที่ลุกขึ้นยืนได้เลยสักนาย

การต่อสู้นี้ทำให้ถังหยินหมดแรงจนต้องถอยหนี และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้ ที่ได้แต่หอบหายใจแรง พร้อมกับปล่อยให้เม็ดเหงื่อไหลท่วมตัว

ทว่าในเวลานี้เอง ก็ได้มีเสียงเรียกตะโกนดังออกมา “นายท่านได้รับบาดเจ็บหรือ ?” เมื่อมองไปตามเสียง ชายหนุ่มก็พบกับหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ตน นางก็คือหมอที่เขาเจอในวันก่อนนั่นเอง

เขาไม่เหลือแรงที่จะพูดแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มให้

เมื่อเห็นเช่นนั้น หมอหญิงก็ทำการสังเกตเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่นางจะพบว่าชายหนุ่มนั้นไม่มีแม้แต่บาดแผลใด ๆ แม้แต่เกราะก็ยังไม่มีรอยเลือด

ทำให้นางต้องถามออกมาด้วยความสงสัย “ถ้านายท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ งั้นแล้วท่านก็ควรที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพวกทหารนะ !”

ชายหนุ่มรู้ว่านางเข้าใจผิดแต่ก็หมดแรงที่จะพูด ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากออกไป ก่อนจะหลับตาแล้วรวมพลังขึ้นมาใหม่เพื่อเรียกให้หมอกสีดำออกมา ซึ่งหมอกที่ว่ามันก็ได้ก่อตัวเป็นรูปร่างของถังหยินในชั่วพริบตา !

เขาเหนื่อยมากก็จริง หากแต่พลังปราณก็ยังเหลืออยู่ ดังนั้นต่อให้เขาไม่ไหว ร่างแยกของเขาก็ยังไหวอยู่ !

หมอหญิงตะลึงกับภาพตรงหน้า เผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ก่อนใช้สายตาจ้องมองถังหยินด้วยความตะลึง

ร่างแยกไม่ใช่ตัวจริง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อแต่อย่างใด และด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีข้อจำกัดด้านพลังกายแต่อย่างใด …ขอแค่ร่างจริงไม่ถูกทำลาย มันก็สามารถออกรบได้ตลอดเวลา !

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยืนถอนห่างออกไป แล้วจึงหัวเราะออกมา “บางครั้งข้าก็สงสัยนะว่าเจ้าเป็นหมอจริง ๆ หรือเปล่า เพราะปากของเจ้ามันช่างดึงดูดภัยอันตรายเสียเหลือเกิน”

หมอหญิงตะลึงกับคำพูดนั่น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโกรธอย่างรวดเร็ว

ร่างแยกไม่ได้พูดอะไรสักคำหลังออกมา เดินผ่านนางไปและตรงกลับเข้าไปยังบริเวณที่มีการต่อสู้ ก่อนที่ร่างเงาจะเรียกดาบออกมา “พวกเจ้า หลีกทางไป !”

เมื่อเสียงคุ้นหูดังออกมา พวกทหารและแม่ทัพก็มีขวัญกำลังใจขึ้นมาทันที “นายท่านกลับมาแล้ว !”

ออร่าของถังหยินทำให้พวกเฟิงคึกคักกันอีกครั้ง พวกเขาเริ่มมีกำลังใจในการต่อสู้ขึ้นมาทันที พร้อม ๆ กันกับความมั่นใจที่กลับมาอย่างรวดเร็ว ถ้ามองในฐานะของแม่ทัพแล้ว มันก็นับได้ว่าถังหยินทำได้ถูกต้อง !

ชายหนุ่มกลับมาในสนามรบด้วยท่าทีที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูมีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม ทั้งยังพุ่งเข้าใส่พวกหนิงโดยที่ไม่มีแม้แต่เกราะปราณแล้วเหวี่ยงดาบที่มีไฟสีดำไล่สังหารพวกศัตรูในทันที

ทำให้กำลังใจที่เพิ่งได้มาของพวกหนิงเริ่มพังทลายลง เมื่อพวกเขาเห็นถังหยินกลับมาในสมรภูมิอีกครั้ง

เมื่อชายหนุ่มทำการสวนกลับอย่างรุนแรง มันก็ทำให้พวกหนิงต้องล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จ้านอู่ตี้ได้แต่ยืนงุนงงอยู่เช่นนั้นด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเฟิงถึงได้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

จริง ๆ แล้วจ้านอู่ตี้ยังมีกองทัพระดับสูงอยู่ด้านล่างกำแพงอยู่อีกมากมายที่กำลังรอให้พวกเฟิงอ่อนล้าเพื่อเข้ามาซ้ำ …แต่มันก็ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว

และถึงมันจะไม่เป็นไปตามแผน หากแต่จ้านอู่ตี้ก็ไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป อ้าปากร้องสั่งให้กองทัพของเขาพุ่งเข้ามาช่วยในการรบทันที !

ภายใต้คำสั่งนั้น มันก็ทำให้ทหารหนิงกว่า 2 หมื่นนายพากันปีนบันไดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

กองทัพเฟิงที่เคยได้เปรียบอยู่นั้น มาตอนนี้เมื่อได้เจอกับศัตรูละลอกใหม่ที่เขามา มันก็ได้ทำให้สถานการณ์รบเปลี่ยนไปอีกครั้ง

ทั้งสองฝ่ายเริ่มเข้าต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง และครั้งนี้มันก็ไม่มีการตรึงกำลังกันอีกต่อไป

พวกเขาสู้กันด้วยพละกำลังทั้งหมด ซึ่งสำหรับพวกเฟิงที่อ่อนล้ามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขานั้นก็ไม่อาจต่อกรกับพวกหนิงอีก 2 หมื่นนายที่ถูกส่งเข้ามาได้เลย

และเมื่อถังหยินสังเกตเห็นถึงความเสียเปรียบนี้ เขาก็ทำท่าครุ่นคิดบางอย่าง ด้วยในใจกำลังลังเลว่าตนนั้นควรจะเรียกกำลังเสริมจากกำแพงด้านอื่นมาดีหรือไม่ ?

แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงชายหนุ่มก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง ด้วยเขารู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องเพิ่มกำลังพล และถ้าหากเขาจะเอาตัวรอดให้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ งั้นแล้วก็ต้องมีแต่เข้าสังหารแม่ทัพใหญ่ของพวกหนิงเท่านั้น !

ว่าแล้วเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหอคอย ใช้สายตามองไปที่จ้านอู่ตี้ที่กำลังอยู่ท่ามกลางกองทัพหนิง และเมื่อเห็นเป้าหมายแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าอีกต่อไป รีบพุ่งเข้าไปด้วยวิชาสับเปลี่ยนเงาทันที !

เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาอยู่ข้าง ๆ จ้านอู่ตี้แล้ว

ทหารหนิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งพวกเขาหันมามอง และได้ตกตะลึงกับดาบในมือของถังหยินที่กำลังแทงทะลุแขนของจ้านอู่ตี้ทั้งซ้ายและขวาพร้อมกัน

ตอนแรกจ้านอู่ตี้ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขามีสีหน้างงงวยก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีดาบพุ่งเข้าเสียบแทงที่แขนทั้งสองข้างของตน ซึ่งภายในเสี่ยววินาทีนั้นเอง ตัวของจ้านอู่ตี้ก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนจริง ๆ หากแต่เป็นร่างแยก “เจ้าไม่กล้าเผยร่างจริงออกมา แต่เลือกที่จะใช้ตัวตายตัวแทนสินะ ?”

ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ ดาบของถังหยินก็ได้เข้ามาใกล้คอของจ้านอู่ตี้แล้ว หากแต่เขาก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด ยกดาบขึ้นปัดป้องกันเอาไว้ได้ทันเวลา

เมื่อเห็นร่างเงาของชายหนุ่มอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรู หยวนยู่ที่เห็นแบบนั้นก็เข้าใจในทันทีเลยว่าถังหยินเหนื่อยจากการต่อสู้มากจนต้องใช้วิธีการนี้แทน แต่ถึงจะเห็นเช่นนั้น หากแต่เขาเองก็เหนื่อยเหมือนกัน จึงไม่อาจเข้าร่วมการสังหารจ้านอู่ตี้ได้ !

การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างจ้านอู่ตี้กับถังหยินเริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งมันก็รวดเร็วและดุเดือดเสียจนพวกแม่ทัพหนิงรอบ ๆ ไม่อาจเข้ามาช่วยได้เลย แล้วอันที่จริงมันก็ไม่ใช่แค่เพราะเหตุผลนั้น หากแต่มันก็เป็นเพราะแม่ทัพหนิงรอบ ๆ นั่นต้องหันไปรับมือกับหยวนยู่ที่กำลังก่อกวนอยู่ด้านหน้าของพวกเขาด้วย !

การต่อสู้ในครั้งนี้มันรุนแรงยิ่ง ทำเอาพลังกายของหยวนยู่เกือบจะหมดอยู่แล้ว หากแต่เขาจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ! ว่าแล้วชายเลือดร้อนก็พลันยกชูดาบขึ้นฟ้า ก่อนอ้าปากร้องตะโกนออกมาพร้อมกับแสงที่สาดกระจายออกมาจากใบดาบ !