“เสียงเบาหน่อยเถอะ!” เหยาเหยียนเอินยกนิ้วมือเคาะโต๊ะด้วยความน่าขบขัน “ใครก็ไม่ได้บอกว่าจะให้น้องสาวไปรักษาเขานี่”
“นี่เรียกว่าคนก่อกรรมชั่วย่อมโดนกรรมตามสนอง” เหยาเหยียนอี้พูดอย่างเกรี้ยวกราด
หวางฮูหยินได้ยินซ่งเหยียนชิงป่วยเป็นโรคประเภทนี้ ความไม่สบอารมณ์ภายในใจก็จางหายไปบ้าง จึงจิบชาพลางยิ้มอ่อนพลางเอ่ยถาม “ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนที่เจรจาต่อรองง่าย เหตุใดพอมาเจอเรื่องของน้องรองเข้าเจ้ากลับหงุดหงิดได้ง่ายเพียงนี้เล่า”
เหยาเหยียนอี้ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ทักษะการแพทย์ของน้องรองแม้กระทั่งฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาสั่งคนไปแปรรูปตำรับยาของน้องสาว เป็นการสร้างความสุขสันต์ให้ทั่วพิภพ ท่านแม่ลองคิดดูสิ หากน้องสาวเกิดอะไรขึ้นมา ฮ่องเต้กับองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจะคิดอย่างไร”
การเก็บรักษาเรื่องตำรับยาสูตรลับทางการทหารของฮ่องเต้และปิดบังยาวิเศษที่ลบเลือนรอยแผลเป็นที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาอยากให้แปรรูปออกมาก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป คนอื่นอาจไม่รู้ว่าตำรับยานี้มาจากแห่งใด ทว่าตระกูลเหยาต่างก็รู้กันหมดทุกคน
หวางฮูหยินเปรยขึ้น “วันนี้น้องรองกลายเป็นหัวแก้วหัวแหวนในจวนแล้ว ต้องปกป้องดูแลนางเป็นอย่างดี ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เด็ดขาด”
“ทว่าท่านย่ายังไม่เข้าใจถึงจุดๆ นี้” เหยาเหยียนเอินถอนหายใจอย่างประหม่า
“เชวี่ยหวาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เหยาเหยียนอี้เพิ่งจะถามถึงเรื่องของเหยาเชวี่ยหวา
“จะเป็นอย่างไรไปได้ นางสติวิปลาส เอาแต่พูดจาเหลวไหลน่ะสิ” หนิงซื่อเปรยอย่างประหม่า
“ไม่มีเรื่องอื่นใดใช่หรือไม่” เหยาเหยียนอี้ยังคงไม่ไว้วางใจ
“จะมีเรื่องอะไรได้เล่า วางใจเถอะ พวกเราไปตามหมอมาดูอาการแล้ว หมอบอกว่านางตื่นตกใจเกินไปทำให้อารมณ์ไม่คงที่ ผ่านไปสักพักก็จะดีขึ้นเอง” หนิงซื่อพูดด้วยเสียงเรียบ
“อย่างไรนางก็ยังเล็ก อบรมสั่งสอนไปอีกไม่กี่ปีค่อยว่ากันใหม่เถอะ” เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางพูด
“พอพูดถึงเรื่องนี้ น้องรองก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว แม่นางอายุสิบเจ็ด ต่อให้ไม่รีบออกเรือนก็ควรเลือกคู่ครองไว้ก่อนแล้ว” หนิงซื่อพูดเช่นนี้ออกมาทุกคนต่างก็มองเหยาเหยียนอี้
เหยาเหยียนอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามองข้าทำไมกัน งานสมรสของน้องรองย่อมต้องมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศอยู่แล้ว พวกเราไม่ต้องกังวลหรอก”
“เจ้าพูดอะไร” หวางฮูหยินยืดตัวตรงแล้วมองเหยาเหยียนอี้ด้วยความตกตะลึงทันที
“ท่านแม่ ฮ่องเต้คงจะต้องสนพระทัยงานสมรสของน้องรองอยู่แล้ว” เหยาเหยียนอี้พูดด้วยรอยยิ้ม
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร” หวางฮูหยินรู้สึกตกตะลึง ก็แค่รู้ทักษะทางการแพทย์เท่านั้น ถึงกับต้องทำให้ฮ่องเต้มีใจพะวงกับงานสมรสของนางด้วยหรือ นี่เป็นเกียรติที่เหล่าจวิ้นจู่องค์หญิงหรือว่าผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์อันสูงส่งในราชสำนักถึงจะมีได้ ตระกูลเหยาแม้นจะมีฐานันดรศักดิ์ที่ไม่ต่ำต้อย ทว่าหากเทียบกับราชวงศ์และเหล่าญาติมิตรในเมืองหลวงก็ถือว่าแตกต่างกันมาก
“ท่านแม่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจะกล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร ช่วงนี้น้องรองต้องอยู่ในจวนดีๆ ห้ามไปไหนเด็ดขาด พวกเราไม่ควรปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ อีก” เหยาเหยียนอี้พูดไปก็หันไปมองประตู ภายในใจกำลังคิดว่า เหตุใดบิดาถึงยังไม่มาอีก ตนยังมีเรื่องงานสมรสของเยี่ยนอวี่จะคุยกับเขา
ทว่าไหนๆเ ว่ยจางก็กราบทูลฮ่องเต้พระราชทานงานสมรส บิดาต้องไม่มีความเห็นอื่นใดแน่นอน
หลายวันต่อจากนี้ บรรยากาศในจวนข้าหลวงใหญ่ก็น่ากระวนกระวายใจยิ่งนัก
คุณหนูทั้งสองคนในจวนป่วยพร้อมกัน คุณหนูรองตากฝนจนหนาวสะท้านจึงนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง คุณหนูสามก็ตกใจจนเสียขวัญ ทำให้อารมณ์ยังไม่คงที่เลยต้องการการรักษา ใต้เท้าเหยาและคุณชายทั้งสองยุ่งกับงานทางราชการจนไม่มีเวลาอยู่ในจวน ส่วนหวางซื่อเองก็ปวดกระเพาะจนต้องกินยาทุกวัน
สะใภ้ใหญ่เจียงซื่อกลับไปทำธุระที่บ้านเกิด งานเรือนจึงต้องมอบหมายให้หนิงซื่อจัดการแทนชั่วคราว นางต้องลอบพูดคุยกับหมอทุกวัน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่อยู่ในเรือนหนิงรุ่ยก็ไม่ได้รู้สึกรื่นเริงมานานแล้ว
เรื่องของบุตรชายคนโตของจิ้นหนานปั๋วป่วยเป็นโรคติดต่อจากการเสพสังวาสก็ถูกร่ำลือกันไปทั่วอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเด็นที่อึกกระทึกครึกโครมในเมืองเจียงหนิง
วันนี้เว่ยจางและเซียวหลินนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงพูดถึงเรื่องของซ่งเหยียนชิง เซียวหลินจึงเปรยขึ้น “ฟ้าถือว่ามีตาให้ไอ้เลวร้ายนั่นถูกกรรมตามสนองแล้ว”
เว่ยจางกลับหรี่ตาลงแล้วแค่นเสียงต่ำ “อาจจะไม่ใช่กรรมตามสนองก็ได้”
“อ้อ?” เซียวหลินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “เหตุใดถึงคิดเช่นนี้ล่ะ”
“เขาป่วยตั้งแต่วันใด”
“เหมือนจะ…ตั้งแต่วันที่สองหลังจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขา?” เซียวหลินครุ่นคิดแล้วยิ้ม “ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ใช่ว่าได้เจอเขาที่อู่ฟางไจหรอกหรือ ไอ้สารเลวยังกล้าพูดจาเหลวไหลกับคุณหนูที่เจ้าหมายปองอีก”
“อืม ที่กล่าวก็ถูก” เว่ยจางแค่นเสียงเบา ดังนั้นข้าจึงบอกว่าอาจจะไม่ใช่กรรมตามสนองก็ได้
การไปผิดใจกับยัยหนูคนนั้นต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน พอนึกถึงเช่นนี้ เว่ยจางก็รู้สึกว่าไม่ได้จัดการกับเจ้าเลวร้ายนั่นด้วยตนเอง ภายในใจมักจะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง ดังนั้นจึงยกจอกชาพลางดื่มหมดเพียงหนึ่งอึก
“เหตุใดเจ้ายังรู้สึกไม่สบายใจอีกหรือ” เซียวหลินเหมือนอ่านใจเว่ยจางออก
“อืม” เว่ยจางปิดบังความรู้สึกของตนเองต่อหน้าเซียวหลินไม่ได้จึงขมวดคิ้วพูดขึ้น “เดิมทีข้าคิดจะหาเวลาไปสั่งสอนเขาเสียหน่อย วันนี้กลับดียิ่งนัก ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
“เจ้าสารเลวอย่างนี้ เหตุใดถึงต้องจัดการด้วยตัวเองแล้วทำให้มือต้องสกปรกเล่า” เซียวหลินยิ้มพลางรินเหล้าให้เว่ยจาง
ทว่ากลับแปดเปื้อนมือของยัยหนูคนนั้น มือคู่นั้นที่ใช้ในการรักษาโรคเพื่อช่วยชีวิตผู้คน! กลับต้องมาเสียเพราะเจ้าสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้…
เว่ยจางยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ จึงอยากจะดึงไอ้สัตว์เดรัจฉานคนนั้นมาเฆี่ยนตีสักพันสองพันทีจวนใจจะขาด เฆี่ยนหนังถลอกจนเละเหมือนโคลนให้สิ้นเรื่อง
“นี่ได้ยินมาว่าคุณหนูเหยาป่วย?” เซียวหลินเห็นเว่ยจางขุ่นเคืองใจ ทำได้เพียงเปลี่ยนประเด็นเสวนา
“อืม” เว่ยจางพยักหน้า
“ป่วยเป็นอะไร” แน่นอนว่าเซียวหลินรู้ว่าคุณหนูเหยาไม่แกล้งป่วยไม่ได้ และก็ไม่ได้ป่วยอย่างที่คิดจริงๆ
“ได้ยินว่านางตากฝนแล้วทำให้สะท้านหนาว?” ดวงหน้าของเว่ยจางมีรอยยิ้มปรากฏออกมาทันที เขาก็รู้ว่ายัยหนูคนนี้หาข้ออ้างหลบอยู่แต่ในจวน
“จะหายเมื่อใดกัน” เซียวหลินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอย่างชื่นบาน
“ใกล้แล้วแหละ” ยิ้มในแววตาของเว่ยจางลึกลับกว่าเดิม วันที่ประกาศพระราชโองการนางก็คงจะดีขึ้นเอง
พอคำนวนระยะทาง หากขี่ม้าเร็วโดยไม่เว้นเดินทางแม้แต่ตอนกลางคืน สาส์นกราบทูลของเว่ยจางคงจะถูกส่งเข้าเมืองหลวงในสี่ห้าวันนี้ ส่วนพระราชโองการของฮ่องเต้จะถึงเจียงหนานอีกทีเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาเจ็ดแปดวัน พอคำนวณเวลาทั้งไปและกลับ ก็ราวๆ ครึ่งค่อนเดือน
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ที่สะท้านหนาวเพราะตากฝนกลับไม่อาจนอนอยู่ในเรือนถึงครึ่งเดือน
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งใช้ไม้เท้าเดินไปเยี่ยมไข้ถึงเรือน พอเข้าประตูไปก็ได้กลิ่นยาต้ม ด้วยเหตุนี้จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “หมอคนไหนมารักษายัยหนูรองรึ นานเช่นนี้ยังไม่ได้เรื่องอะไรอีก”
หนิงซื่อพลันตอบกลับ “เป็นหมอเจียงที่โด่งดังที่สุดในเมืองเจ้าค่ะ”
“แค่ตากฝนหน่อยเดียวก็เท่านั้น เหตุใดถึงได้หายยากหายเย็นเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสีหน้าอึมครึม พอเข้าเรือนก็บังเอิญเจอเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังพิงบนหัวเตียงเพื่อดื่มยาต้ม
เฝิงหมัวมัวและเหล่าสาวใช้เห็นฮูหยินผู้เฒ่ามาเยือนจึงรีบค้อมตัวน้อมทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งตำหนิด้วยสีหน้าที่มัวหมอง “พวกเจ้าล้วนเป็นของไร้ประโยชน์ แม้กระทั่งนายหญิงยังปรนนิบัติดูแลได้ไม่ดี แล้วจะให้พวกเจ้าทำอะไรอีก ไม่เช่นนั้นก็ไล่พวกเจ้าออกกันหมดเลยดีไหม แล้วค่อยซื้อบ่าวที่ได้การได้งานเข้ามาในจวน”
เฝิงหมัวมัวและคนอื่นๆ ต่างก็ก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอะไร
เหยาเยี่ยนอวี่พลันลุกขึ้นจากเตียงแล้วน้อมทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า “ร่างกายของหลานไม่ได้เรื่องเอง ท่านย่าอย่าถือโทษโกรธพวกนางเลยเจ้าค่ะ”