บทที่ 136 บ้าไปแล้ว

บัญชามังกรเดือด

บทที่ 136 บ้าไปแล้ว
สมาชิกโล่ฟ้าที่อยู่ห่างไกล ต่างอึ้งกันไปหมด

พวกเขาคิดไม่ถึง บนโลกใบนี้ ยังมีคนกล้าเตะก้นเฉินเอ้อร์กั่วลูกพี่ใหญ่ของพวกเขา

ยิ่งแปลกไปกว่านี้คือ หลังจากที่ลูกพี่ใหญ่ของพวกเขาโดนเตะ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ยังนวดก้นอย่างดีอกดีใจ เหมือนกับว่าได้กินน้ำผึ้ง

นี่ ยังเป็นพี่กั่วผู้นั้นที่มือเหี้ยมไร้ความเมตตา โกรธแตกคอไม่ใจอ่อนอยู่เหรอ?

“ฉินเทียน พวกคุณ รู้จักกันเหรอ?” ซูซูก็อึ้งเช่นกัน

เฉินเอ้อร์กั่วรีบเอ่ย “สวัสดีพี่สะใภ้!”

“ฉันชื่อเฉินเอ้อร์กั่ว เป็น……เอ่อ ลูกน้อง ของพี่เทียน”

ซูซูพูดด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย “คุณเหมือนกับว่า อืม อายุเยอะกว่าฉินเทียนสินะ ไม่ต้องเรียกพี่สะใภ้”

เฉินเอ้อร์กั่วขมวดคิ้ว พูดว่า “พี่สะใภ้ คุณหมายถึง ฉันดูแก่ไปเหรอ?”

“ไม่ใช่ๆ คุณอย่าสงสัยนะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น……”

เฉินเอ้อร์กั่วถอนหายใจ พูดว่า “ความจริงแล้ว อายุฉันมากกว่าหลายปี”

“ใครให้ไอคนพาลนี่เก่งกว่าฉันละ? เขาเป็นลูกพี่ใหญ่ฉัน คุณก็เป็นพี่สะใภ้ของฉัน”

“ใช่แล้วพี่สะใภ้ คนสวยอย่างคุณแบบนี้ เพื่อนสนิทรอบข้าง ก็คงไม่แย่แน่นอนสินะ?”

“มีคนที่ยังโสดอยู่บ้างมั้ย?”

ซูซูเม้มปากยิ้ม เธอรู้สึกว่าเฉินเอ้อร์กั่วคนนี้ก็สนุกสนานเหมือนกันนะเนี่ย

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระแล้ว”

“ไปเถอะ เปลี่ยนสถานที่คุยกัน” ฉินเทียนพูดอย่างไม่พอใจ

“รับทราบ!” ทันใดนั้นเฉินเอ้อร์กั่วก็ยืนตัวตรง พูดด้วยเสียงอันดัง “เหล่าพวกลูกน้อง ต้อนรับพี่เทียนพี่สะใภ้!”

“ต้อนรับพี่เทียนและพี่สะใภ้!”

แถวสี่เหลี่ยมนับร้อยคนที่โกนด้วยทรงสกินเฮดสวมด้วยชุดราชปะแตนสีดำ ตะโกนอย่างพร้อมเพียง เหลิ่งเฟิงและสมาชิกเหล่านั้นของเขา เสียงดังฟังชัดเป็นพิเศษ

เหลิ่งเฟิงถึงกับอยากจะร้องไห้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเขากำลังตื่นเต้นกับอะไร

ตอนนี้ เขาทายได้สักทีกับฐานะของฉินเทียน

เขานึกถึงคนๆหนึ่ง นั่นก็คือ หัวหน้าของวิหารเทพ!

เหลิ่งเฟิงทราบว่า ความปลอดภัยโล่ฟ้าที่เขากำลังอยู่ๆนั้น ถึงแม้จะโด่งดังมากในนานาชาติ กำลังองอาจห้าวหาญ แต่ว่า เป็นเพียงแค่หนึ่งในสมาชิกของวิหารเทพ

พี่กั่วของพวกเขา คือกำลังภาระทำหน้าที่ให้กับหัวหน้าของวิหารเทพ

แต่ว่า เขาคาดไม่ถึงเลย หัวหน้าผู้ที่ลึกลับอยู่เบื้องหลังผู้นั้น ดันอายุน้อยแบบนี้

ก่อนที่จะถึงตอนนี้ รวมถึงเขาอยู่ข้างใน อีกหลายคนที่ยังไม่เคยเห็นฉินเทียน ต่างก็คิดว่า เขาคงเป็นเฒ่าแก่ที่มีอายุเจ็ดแปดสิบแล้ว

มาถึงปลายทางโล่ฟ้าสำนักงานที่ก่อตั้งใหม่ในเมืองหลาน

ดึกมากแล้ว หลังจากที่ฉินเทียนปลอบซูซู ก็ส่งเธอไปพักผ่อนที่ห้องนอนห้องข้างๆด้วยตัวเอง

ห้องธุรการท่านประธาน เฉินเอ้อร์กั่ววางถั่วลิสงจานหนึ่งลง จากด้านล่างใต้โต๊ะ เอาเหล้าขาวที่มีดีกรีสูงออกมาหนึ่งขวด เอ่ยพร้อมหัวเราะ “ลูกพี่ใหญ่ สักสองคำ?”

ฉินเทียนหัวเราะ

อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำอันน่าจดจำเมื่อช่วงเวลาหลายปีก่อน

คุกความลับอันพิเศษในการกักขังวิหารพญายมเถ้าแก่ใหญ่ เขาฝึกความสามารถจากตาเฒ่า

ที่ผนึก การฝึกซ้อมอันยากลำบากที่คนธรรมดายากที่จะจินตนาการ ช่วงเวลาที่ว่างๆอันท้ายสุดของเขา คนหนึ่งคือใช้โทรศัพท์รุ่นเก่าเล่นเกมส์เตตริส

อีกคนหนึ่ง ก็คือกินถั่วลิสงหนึ่งจานกับเฉินเอ้อร์กั่ว แบ่งเหล้าขาวด้วยกันหนึ่งขวด

เฉินเอ้อร์กั่วรู้จักเถ้าแก่ใหญ่ก่อนหน้านี้ฉินเทียน

เขาและผู้ควบคุมแก๊งมังกรเนี่ยชิงหลงเทพมังกรเป็นเพื่อนร่วมรบ ตอนปีนั้น ออกจากป่าไม้อเมซอนด้วยกัน พุ่งออกมาเป็นราชาแห่งทหาร

หลังจากกลับประเทศ ทั้งสองคนเลือกเส้นทางการขยายเติบโตที่แตกต่างกัน

เนี่ยชิงหลงเข้าร่วมแก๊งเขี้ยวมังกร ต่อมาภายใต้การช่วยเหลือของฉินเทียน เขาสร้างคุณูปการให้แก่ทีมเยอะมาก ๆ จนได้ควบคุมดูแลแก๊งเขี้ยวมังกร

ส่วนเฉินเอ้อร์กั่วนั้นค่อนข้างขี้งก เขาเป็นฝ่ายอาสาขอไปปฏิบัติภารกิจที่สถานที่ที่ห่างไกลความเจริญนั่น เป็นพัสดีเล็ก ๆ คนหนึ่ง

ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือตีสนิทเถ้าแก่ใหญ่

หากมีเวลาว่างไอ้หมอนั่นก็จะเอาไก่อบและเหล้าขาวไปคุยเล่นกับตาแก่นั่น เมื่อตาแก่ดื่นจนเริ่มรู้สึกเมา อารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมาชั่วขณะ ก็จะชี้แนะทักษะวิชาให้เขาบ้าง

เมื่อดูจากมุมมองนี้ ฉินเทียนและเฉินเอ้อร์กั่วถือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันอยู่

แต่ทว่าสำหรับเฉินเอ้อร์กั่วนั้น เถ้าแก่ใหญ่แค่อบรมสั่งสอนเขาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้รับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด อีกทั้งสิ่งที่สอนเขาก็มีจำกัดด้วย

ฉินเทียนและเฉินเอ้อร์กั่วผูกมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน ต่อมาเมื่อก่อตั้งวิหารเทพสำเร็จ จึงชักชวนให้เฉินเอ้อร์กั่วเข้าร่วม

สถาปนาเป็นราชาหมา

โล่ฟ้าบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ราชาหมาเฉินเอ้อร์กั่วควบคุมดูแล เป็นยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนระดับสากล

นอกเหนือจากปกป้องรักษาธุรกิจที่อยู่ภายใต้การบริหารของวิหารเทพแล้ว ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รับงานรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ เช่นกัน

พูดได้เลยว่ากองกำลังของเฉินเอ้อร์กั่ว เคียงบ่าเคียงไหล่กับราชาเสือเซียวโผหู่ ราชามังกรเนี่ยชิงหลง ถือเป็นสามคนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาสิบสองราชาที่เป็นเบื้องล่างของฉินเทียน

“เอ้อร์กั่ว ทำไมจู่ ๆ นายถึงหนีมาประเทศยี่เนี่ย?”

“ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้ธุรกิจของเรายังแผ่ขยายไม่ถึงตรงนี้หรือเปล่า?”ฉินเทียนบีบถั่วลิสงหนึ่งเม็ด แล้วถามออกมาทันที

เฉินเอ้อร์กั่วดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มยิงฟันแล้วพูด: “ครั้งนี้ในที่สุดก็เจอช่องโหว่แล้ว”

“คุณรู้จักมหกรรมความงามนานาชาติอยู่ใช่ไหมครับ? ครั้งนี้พวกเราเป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานรักษาความปลอดภัยไว้เอง”

“พูดแล้วผมก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ขยายธุรกิจมาถึงที่นี่เพราะพวกคนในเกาะซิซิลีไม่ยอม และที่นี่เป็นฐานที่มั่นของพวกเขา ผมก็ใช้ไม้แข็งไม่ได้”

“ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเราจะประมูลงานรักษาความปลอดภัยในมหกรรมความงามนานาชาติ มาเฟียถึงกับยอมอ่อนข้อให้เองอัตโนมัติ”

“ลูกพี่ คุณว่าพวกเขากำลังแสดงความเป็นมิตรต่อพวกเราอยู่หรือเปล่า?”

ฉินเทียนยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

เขาต้องรู้อยู่แล้วว่านั่นเป็นเพราะอะไร เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งรักษาโรคให้แก่เถ้าแก่รองในมาเฟียมา

ฝ่ายตรงข้ามกำลังตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน

“ใช้โอกาสนี้ขยายธุรกิจเข้ามาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”

“แล้วต่อจากนี้ ยังมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า?”

เฉินเอ้อร์กั่วตอบกลับเสียงต่ำ: “ผมกำลังเจรจาต่อรองกับสี่ตระกูลใหญ่ในประเทศยี่อยู่ อย่างไรเสียนอกเหนือจากมาเฟียแล้ว ก็มีแค่สี่ตระกูลใหญ่เก่าแก่นี้นี่แหละ ที่ยึดกลุ่มตลาดส่วนมากของประเทศยี่”

ฉินเทียนถามออกมาในทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก: “เหรอ แล้วเจรจาได้เป็นยังไงบ้าง?”

เฉินเอ้อร์กั่วอดไม่ได้ที่จะสบถคำว่าแม่งเอ๊ย: “พวกแก่ ๆ ในตระกูลเหล่านี้ ไม่มีใครที่ต่อกรง่ายเลย ชักช้าอืดอาดกับกูอยู่นั่นแหละ ไม่ตอบตกลงทำงานร่วมกันโดยตรง แต่ก็ไม่ปฏิเสธด้วย”

“กูรู้ว่าพวกมันกำลังรอให้กูเสนอผลประโยชน์ที่มากกว่านี้”

“แต่กูดันจะไม่ทำตามสิ่งที่พวกมันหวัง!”

ฉินเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า: “เอ้อร์กั่ว นายรู้หรือเปล่าว่าที่นี่มีตระกูลของคาร์โล คอนติ?”

เฉินเอ้อร์กั่วตอบกลับในทันที: “รู้ครับ”

“พวกเขาถือเป็นรุ่นใหม่ที่โดดเด่นเป็นเยี่ยมเลย และค่อนข้างมีศักยภาพความสามารถ เล่ากันว่าพวกเขาอยู่ในฐานะที่เป็นภัยคุกคามต่อสี่ตระกูลใหญ่แล้ว”

“แต่ว่าภูมิฐานของสี่ตระกูลใหญ่ลึกซึ้ง ถ้าเกิดลงไม้ลงมือกันจริง ๆ คาร์โล คอนติต้องรีบคุกเข่าเรียกพ่อเลยแหละ”

“ใช่สิลูกพี่ ผมยังไม่ได้ถามคุณเลย ทำไมพวกเหยี่ยวล่านกถึงต้องลงมือต่อคุณด้วยล่ะครับ?”

“หรือว่ามีความเกี่ยวข้องกับคาร์โล คอนติ? แต่ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นละก็ ขอแค่คุณพูดคำเดียว ผมจะรีบไปกวาดล้างสุสานบรรพบุรุษของพวกมันให้เรียบเลย”

ฉินเทียนหัวเราะพลางพูดว่า: “เหยี่ยวล่านกมีความเกี่ยวข้องกับคาร์โล คอนติอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันละมั้ง เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”

เมื่อนึกถึงตระกูลพาน ฉินเทียนจึงโยนถั่วลิสงหนึ่งกำมือเข้าไปในปาก มีรอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏในแววตา

เฉินเอ้อร์กั่วไม่ได้ถามอะไรอีก เขารู้อยู่ว่าหากฉินเทียนลงมือ โลกใบนี้จะไร้ซึ่งผู้ที่ต้านทานเขาได้

เขาหัวเราะดังลั่น: “คุณรู้หรือเปล่าว่าตอนที่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเหลิ่งเฟิงนั่นโทรมาหาผม ผมถึงกับตะลึงงันไปเลย!”

“ตอนนั้นผมกำลังเจรจาต่อรองกับตัวแทนของตระกูลเหม่ยฉีอยู่ หลังจากได้รับข่าว ผมแม่งก็ไม่เจรจาอะไรต่ออีกแล้ว”

“รีบเดินทางมาที่นี่เลย!”

“ผมตื่นเต้นไม่ไหวแล้วครับ!”

“ลูกพี่ ชน!”

ทั้งสองพูดคุยเฮฮาพลางดื่มเหล้ากัน จากนั้นท้องฟ้าก็สว่างโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซูซูมาเคาะประตูพลางพูดอย่างตื่นตระหนก: “ฉินเทียน เกิดเรื่องแล้ว”

“คาร์ลโทรมาบอกให้พวกเรารีบไปสถานทูตให้เร็วที่สุด และออกจากประเทศยี่ภายใต้การคุ้มครองจากสถานทูต”

“เขาบอกว่าคาร์โล คอนติเป็นบ้าไปแล้ว กำลังประกาศจับพวกเราทั่วทั้งเมือง!”

“เหมือนคาร์ลก็ถูกมันจับไปแล้วเหมือนกัน”