บทที่ 210 แอบฟัง

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยเลิกเรียนและกำลังเก็บของ ฟางจิ่นผิงก็เดินเข้ามาพูดกับนางว่า “ช่วงนี้เจ้าขาดเรียนบ่อยนะ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

หมิงเวยยิ้ม “ไม่มีอะไร ที่จวนยุ่งๆ นิดหน่อยน่ะ”

ฟางจิ่นผิงไม่ได้สนใจอะไร นางทำเพียงถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าเว่ยเสี่ยวอันจะเป็นอย่างไรบ้าง ชั่วชีวิตนี้จะได้พบนางอีกครั้งหรือไม่…” หมิงเวยเงยหน้าขึ้น

ดวงตาของฟางจิ่นผิงแดงก่ำเล็กน้อย “วันก่อนข้าไปที่จวนตระกูลเว่ย มารดาของนางล้มป่วย คนรับใช้ในเรือนก็ออกตามหานางทุกวัน แต่กลับไม่ได้ข่าวอะไรเลย…”

หมิงเวยปลอบนาง “อย่ากังวลไปเลย ได้ยินว่าช่วงนี้ทางการได้ทำลายรังโจรของกลุ่มยาจกไปหลายที่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้เบาะแสของนางเร็วๆ นี้ก็เป็นได้”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”

ทั้งสองเดินออกจากสถานศึกษา ฟางจิ่นผิงขึ้นรถม้าจวนของตนเอง หมิงเวยปฏิเสธอีกฝ่ายที่บอกว่าจะไปส่งและเดินกลับบ้านช้าๆ เพียงลำพัง

เดิมทีนางแค่อยากเดินผ่อนคลาย ผู้ใดจะไปคิดว่าเดินไปเดินมาจะรู้สึกถึง ‘ชี่’ ที่คุ้นเคยจากข้างกาย หมิงเวยชะงักนางหันกลับไปก็พบว่าเป็นบุรุษรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง

เขาคือจวินโม่หลี ศิษย์จากเสวียนตูกวันที่พบในเทศกาลซีซี

แม้เสวียนตูกวันจะอยู่ในเมืองหลวง แต่พวกเขาแทบไม่ปรากฏต่อสายตาของผู้คนในเมืองหลวงเลย อย่างเช่นวัดฉางเชิงที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง เสวียนตูกวันจะเปิดประตูพระราชวังในวันสำคัญเท่านั้น

ทุกคนต่างรู้ดีว่าภายในเสวียนตูกวันนั้นมีเซียนอยู่ ซึ่งไม่มีโอกาสให้ติดต่อกันมากนัก จวินโม่หลีไม่ได้สวมชุดนักพรต เขาเหมือนคุณชายธรรมดาทั่วไปที่มาเดินเล่นบนท้องถนน

หมิงเวยครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเดินตามเขาไป จวินโม่หลีเดินไปตามท้องถนนอยู่หลายสายและในที่สุดก็เข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

หมิงเวยมองเขาขึ้นชั้นบนแล้วเดินตามเข้าไป จากนั้นก็มีคนในร้านเดินเข้ามาต้อนรับ “เชิญทางนี้ขอรับ คุณหนูมาคนเดียวหรือ ท่านมาทานอาหารหรือจองโต๊ะขอรับ”

หมิงเวยตอบ “ข้าพลัดหลงกับครอบครัวน่ะเลยนัดมาพบกันที่นี่ ท่านช่วยหาห้องส่วนตัวให้ข้าพักผ่อนหน่อยได้หรือไม่” พูดแล้วนางก็เดินมาหยุดอยู่ข้างห้องที่จวินโม่หลีเข้าไป “ห้องนี้มีคนหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ” พนักงานร้านเปิดประตูให้ “เชิญขอรับ”

หมิงเวยพยักหน้า “ขอชากับของว่างก็พอ หากมีหนังสือภาพก็เอามาด้วย ข้าอยากอ่านฆ่าเวลาน่ะ”

พนักงานร้านรับคำไม่นานเขาก็นำของทั้งหมดมาให้อย่างกระตือรือร้น

เมื่อพนักงานร้านออกไปแล้วหมิงเวยสัมผัสความหนาของกระดาษในหนังสือภาพ จากนั้นก็ฉีกออกแล้วพับทำเป็นถ้วยกระดาษแล้วแนบกับผนังห้องเพื่อแอบฟัง

ในร้านอาหารแบบนี้ผนังกั้นระหว่างห้องส่วนใหญ่เป็นเพียงไม้กระดานเท่านั้น หากตั้งใจฟังจริงๆ ก็จะได้ยินการเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ ได้อย่างง่ายดาย

“…ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้” เป็นเสียงของจวินโม่หลี

หลังจากเงียบไปสักพักก็มีเสียงดังขึ้นว่า “กลับมาตอนนี้ไม่ดีงั้นหรือ”

หมิงเวยรู้สึกชาที่หู น้ำเสียงนุ่มทุ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน สง่างามราวกับเสียงกู่ฉินซึ่งไม่สามารถบรรยายออกมาได้

จวินโม่หลีพูด “ช้าเกินไปแล้ว! ตอนนี้คนในสำนักถูกอวี้หยางซื้อใจไปหมดแล้ว เจ้านั่นทำตัวเหมือนจะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป น่ารังเกียจจริง!” หมิงเวยชะงัก

อวี้หยางน่าจะเป็นนามแฝงของนักพรต ศิษย์ในเสวียนตูกวันมีการแยกระหว่างผู้ออกบวชกับฆราวาส ผู้ออกบวชจะมีนามแฝง ส่วนผู้ที่ไม่ได้ออกบวชนั้นจะเหมือนกับจวินโม่หลียังคงใช้ชื่อแซ่ที่บิดามารดาตั้งให้

ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างนักบวชกับฆราวาส มีเพียงเรื่องเดียวคือเจ้าสำนักต้องเป็นนักบวช นางจำได้ว่าเจ้าสำนักคนต่อไปไม่ได้มีนามว่าอวี้หยาง

คนผู้นั้นหัวเราะเบาๆ “เขาชอบเช่นนั้นเจ้าจะไปยุ่งอะไรด้วย”

“ข้าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนศิษย์พี่ไม่ได้หรือ ตอนที่ท่านอาจารย์ยังอยู่ คนที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดก็คือศิษย์พี่ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกอาวุโสได้ส่งท่านไปออกไปพเนจรเพื่อให้ท่านได้เพิ่มพูนความรู้ และกลับมารับช่วงต่อในฐานะเจ้าสำนัก ตอนนี้ท่านอาจารย์จากไปก่อนอวี้หยางกลับมาวางมาดว่าเขาเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ศิษย์พี่กลับมาแล้วคงไม่รู้ว่าเขากำลังทำให้ท่านตกที่นั่งลำบาก”

อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ หากเรียงตามลำดับแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักก็ควรส่งต่อให้เขา”

จวินโม่หลีหัวเราะเยาะ “เสวียนตูกวันของพวกเราล้วนมองผู้ที่มีความสามารถมาโดยตลอด ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็นเจ้าสำนักไม่มีการรับสืบทอดตามลำดับลูกศิษย์”

“ใช่ ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็นเจ้าสำนัก เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่เก่งไปกว่าเขางั้นหรือ”

“ศิษย์พี่! ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” จวินโม่หลีร้อนรน “ข้าหมายถึง ท่านจากเสวียนตูกวันไปนาน คนพวกนั้นจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านแข็งแกร่งที่สุด”

อีกฝ่ายพูดอย่างเฉยเมยว่า “รีบร้อนไปทำไม ควรเป็นของใครก็เป็นของคนนั้นอยู่วันยังค่ำ เอาล่ะ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน แสดงให้ข้าเห็นหน่อยว่าหลายปีมานี้เจ้าก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้ว”

จากนั้นก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเคล็ดวิชา หมิงเวยฟังอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงเก็บข้าวของและออกจากห้องไป

พนักงานร้านถาม “ครอบครัวของคุณหนูยังไม่มาหรือขอรับ”

“บางทีพวกเขาคงกลับจวนไปก่อนแล้ว” หมิงเวยยิ้มแล้วจ่ายเงิน นางยกหนังสือภาพในมือขึ้น “เป็นหนังสือที่ดีมากข้าซื้อเล่มนี้ไปด้วยแล้วกัน”

แน่นอนว่าพนักงานร้านเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขามองนางเดินออกจากร้านไป

ผ่านไปสักพักบุรุษทั้งสองก็ออกมาจากห้องส่วนตัว

หนึ่งในนั้นคือจวินโม่หลี ส่วนอีกคนดูมีอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย คิ้วเรียวยาวสวย บุคลิกสง่างาม   หลังจากที่ทั้งสองจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายคนนั้นก็ถามออกไปว่า “ก่อนหน้านี้ห้องส่วนตัวฝั่งซ้ายมีแขกหรือ”

พนักงานร้านยิ้ม “ขอรับ เป็นคุณหนูท่านหนึ่ง!”

“ไม่มีคนอื่นด้วยหรือ”

“ขอรับ เป็นคุณหนูที่มานั่งรอคนมารับ มีแค่นางคนเดียวขอรับ” เขาพยักหน้าแล้วเดินออกจากร้านอาหาร

“ทำไมหรือ” จวินโม่หลีไม่เข้าใจ “มีปัญหาอะไรหรือ”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ข้าคงคิดมากไป”

ผู้ฝึกวรยุทธ์มักมีการตอบสนองที่ไวกว่าปกติ เมื่อผู้อื่นไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับตน เขาก็แค่เดินผ่านไปไม่ได้สนใจอะไร แต่ถ้าหากมีคนจับตาดูตนเองอยู่ เขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยทันที มันคือสิ่งที่เรียกว่าจิตสังหารอะไรประมาณนั้น

เมื่อครู่ดูเหมือนว่ามีใครบางคนคอยจับตาดูพวกเขาอยู่ แต่เพราะไม่มีจิตสังหารเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยชัดเจนนัก ร้านอาหารแห่งนี้ไม่เก็บเสียงอาจเป็นเพียงหญิงสาวที่ได้ยินเสียงเลยอยากรู้อยากเห็นหรือว่า…

เขาตบไหล่จวินโม่หลีเบาๆ “กลับไปฝึกฝนให้ดีกว่านี้ เจ้าหละหลวมไปหน่อยนะ”

………….

เว่ยเสี่ยวอันนั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้องพยายามทำให้คนอื่นไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของตน นางถูกลักพาตัวมาหลายวันแล้ว นางยังจำคืนนั้นในวันเทศกาลซีซีได้ดี นางออกจากร้านเจ๋อกุ้ยโหลว จากนั้นก็ถูกฝูงชนทำให้พลัดพรากจากคนอื่นๆ แล้วตนก็ถูกต้อนเข้ามุม

นางรู้ถึงความเสี่ยงของการถูกเหยียบดีจึงไม่กล้าขยับตัวและหดตัวอยู่ที่มุมเพื่อรอให้สาวใช้เดินมารับ ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่มาหานางนั้นไม่ใช่สาวใช้จากตระกูลเว่ย แต่เป็นหญิงแปลกหน้า

หญิงสาวทั้งสองคนรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงมาก พวกนางต้อนตนให้มาอยู่ตรงกลางแล้วผลักตนเข้าไปในตรอกเล็กๆ เว่ยเสี่ยวอันตกใจเมื่อรู้ว่าตนได้เจอกับโจรลักพาตัวเข้าก็พยายามที่จะหนี

น่าเสียดายที่หญิงสาวทั้งสองคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป และตอนนั้นที่ถนนกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย พอตนจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกพวกนางจับไว้แล้วลากเข้าไปในตรอก จากนั้นนางก็ถูกจับใส่กระสอบและถูกส่งมาที่นี่

ที่นี่มีเด็กสาวประมาณสิบคน บางคนถูกจับตัวมาเหมือนกับนาง พวกนางตะโกนร้องแต่สุดท้ายก็ถูกทุบตีและไม่รู้ว่าถูกลากไปที่ไหน

เว่ยเสี่ยวอันไม่กล้าตะโกนร้องเพราะกลัวว่าจะตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกันจึงจัดผมให้ยุ่งทำเสื้อผ้าให้สกปรกเพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจ

และวิธีนี้ได้ผลมากเพราะมันทำให้นางอยู่รอดปลอดภัยจนถึงตอนนี้

แต่นางก็รู้ดีว่าวิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้ตลอดจึงทำได้เพียงภาวนาในใจอยู่เงียบๆ ขอให้ตนเองโชคดีขอให้เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลา…

…………