ผู้ที่ชอบทำเป็นเท่มากที่สุดคือเฒ่าบอด และเขามักจะชอบโอ้อวดความสามารถทางวรรณศิลป์ด้วยบทกวี กระนั้นหลังจากที่คนแล่เนื้อเดินออกมาจากสภาวะคลุ้มคลั่งของเขา และฟื้นฟูประกายเจิดจ้าเพื่อโอ้อวดออกไป เฒ่าบอดก็กลายเป็นถูกเบียดตกเวที
เจตจำนงเป็นหนึ่งเดียวคือป้อมปราการไร้พ่าย แม้ว่าพวกเขาจะรักษาเมืองเทพยดาได้จำนวนน้อยนิดจากแรงกระแทก แต่ทุกๆ คนก็มีจิตวิญญาณอันฮึกเหิมขึ้นมาจากการฟังเสียงขับร้องอันโอ่อ่าห้าวหาญของฉินมู่และคนแล่เนื้อ ทักษะเทวะรอบตัวพวกเขาก็เหมือนกับเมืองเทพยดาที่ไม่มีวันแตกพ่าย
มุทราฟ้าและดินของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้แปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าและผืนดินของเมืองเทพยดา พร้อมกับกำแพงทั้งสี่ด้าน เทพเจ้าทั้งหลายคือแม่ทัพที่เสริมกำลังให้แก่กำแพง ขณะที่ฉินมู่และผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นคือไพร่พลอันยืนอยู่บนกำแพง ป้องกันการรุกรานของศัตรู
พวกเขาเชื่อมต่อปราณและโลหิต และทักษะเทวะของพวกเขาก็เชื่อมต่อกันและกันเพื่อป้องกันพลานุภาพอันร้ายกาจน่ากลัว
ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ปานเปรียบ บางคนก็เกิดเส้นเลือดในร่างกายระเบิดออกมา มีโลหิตหลั่งไหลออกจากทั่วร่างกลายเป็นมนุษย์โชกเลือด บ้างก็มีเส้นเอ็นฉีกและผิวหนังปริแตก บ้างก็กระดูกหัก แต่ทว่าไม่มีใครถอยไปเลยสักก้าว แม้ว่าสองแขนของพวกเขาจะหักไปก็ตาม เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังคงมีจิตวิญญาณดั้งเดิม ที่ใช้ขับเคลื่อนทักษะเทวะต่อได้
ในท้ายที่สุด แรงกระแทกระลอกแรกอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดก็ผ่านพ้นไป
ขาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันอ่อนยวบ และเขาสลบลงไป แขนมากมายคว้าตัวเขาไว้ไม่ให้ตกพื้น และวางเขาลงไปอย่างนุ่มนวล
แม้ว่าจะมีเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะมากมาย แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็แบกรับแรงกดดันมากกว่าเก้าในสิบส่วนเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา เขานั้นเป็นยอดฝีมือในขั้นแท่นประหารเทพ เหนือล้ำกว่าเทพเจ้าอื่นๆ ไปหลายขุม แม้ว่าทุกๆ คนจะรวมพลังกัน แต่ก็ยังด้อยกว่าเขามากนัก
ฉินมู่และนักปรุงยาก้าวเข้าไปเพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บและเยียวยาเขา ในเวลาเดียวกันนั้น เทพเจ้าอื่นๆ ก็เข้ามาล้อมรอบและต่อต้านแรงกระแทกระลอกอื่นที่ตามมา
ในตอนนี้ สวรรค์ไท่หวงเหมือนกับขุมนรกที่เต็มไปด้วยหินหลอมเหลว ลาวาร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับขี้เถ้าสีดำ และหินลุกโพลงที่มีขนาดเท่าภูเขา
ลมร้อนผ่าวพัดมาด้วยความเร็วร้อยเท่าเหนือเสียง เปลี่ยนลาวาให้กลายเป็นคลื่นกรรโชกอันกวาดซัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมัน
เมื่อแผ่นดินสั่นสะเทือน มันก็ทำให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาจากใต้ทะเลลาวา ปรากฏเป็นเสาเพลิงมากมายที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่าพันลี้
ท้องฟ้าแตกแยกจากกัน และชิ้นส่วนแตกหักของอวกาศที่ฉายส่องออกมาด้วยแสงสีรุ้ง ก็ไม่มีความหนาอีกต่อไป พวกมันล่องลอยบนท้องฟ้าด้วยแสงอันแปลกประหลาด บ้างก็ลอยไปด้วยความเร็วจี๋ราวกับว่ามันคือใบมีดคมกล้าอย่างถึงที่สุด อันอาจจะเฉือนตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่มันแล่นผ่าน
อากาศที่คนหายใจได้เกือบจะหมดไป และไอพิษอันกัดกร่อนปอดก็เริ่มเข้ามาเติมเต็มทุกลมหายใจด้วยอากาศเสีย แม้ว่าใครจะกลั้นหายใจเอาไว้ พิษเหล่านั้นก็ยังสามารถซึมซาบเข้าไปในผิวหนัง
ซิงอ้านเปิดหีบของเขา และนำเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งออกมา เขาเป่าเมล็ดพืชพวกนั้นเบาๆ ทำให้กอหญ้าและต้นหลิวงอกเงยไปรอบๆ พวกเขา แผ่นปฐพีเล็กๆ อันค่อนข้างสงบเงียบที่พวกเขาป้องกันอยู่นั้นมีรัศมีหกเจ็ดลี้ มันได้กลายเป็นหนึ่งในแดนบริสุทธิ์ไม่กี่แห่งในสวรรค์ไท่หวงที่ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นโลกแห่งหินหลอมเหลว นั่นก็เพราะว่าซิงอ้านสามารถใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อเพาะต้นหญ้าและต้นไม้ ฟอกอากาศในบริเวณ
ยูไลหม่าค่อยๆ แยกฝ่ามือออกจากกัน และแดนพิสุทธิ์นี้ก็ลอยขึ้นมา ต้นหญ้าและต้นไม้ลอยเข้าไปยังหลังศีรษะของเขา และเข้าไปอยู่ข้างในรูปเงาสวรรค์ยี่สิบชั้น เขาใช้รัศมีพุทธธรรมเพื่อหล่อเลี้ยงบำรุงพืชพรรณที่เหลือเหล่านี้
อากาศบริสุทธิ์เริ่มแพร่กระจายไปในบริเวณรอบๆ และทุกคนก็สูดลมหายใจอย่างละโมบ
“พวกเราทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้”
โดยการใช้รัศมีพุทธธรรม ยูไลหม่าและหลวงจีนคนอื่นๆ ก่อขึ้นมาเป็นม่านคุ้มกันขนาดใหญ่เพื่อปกป้องทุกๆ คน “แม้ว่าพวกเราจะใช้วิชาเสกสรร แต่ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน ท้องฟ้าจะมืดดับลงไปไม่ช้าก็เร็ว โดยปราศจากแสงสว่างและไม่มีพลังจิตวิญญาณ วรยุทธของพวกเราก็จะเสื่อมถอยลงไปตามเวลา และพวกเราก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกอยู่ที่นี่”
ซิงอ้านปิดหีบและกล่าวทันที “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าน่าจะมีวิธีการสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอีกเส้นใช่หรือไม่”
ฉินมู่และนักปรุงยากำลังร่วมมือกันเพื่อสะกดข่มอาการบาดเจ็บของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก “เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ข้ามีวัสดุมากพอ แต่แท่นสังเวยที่อยู่ในแดนโบราณวินาศก็แตกทำลายไปในเวลาเดียวกัน พลังจิตวิญญาณที่ถั่งโถมเข้ามาได้ทำลายสะพานทั้งสองไปในเวลาเดียวกัน และโดยปราศจากแท่นสังเวยในแดนโบราณวินาศ ข้าก็ไม่อาจก่อสร้างสะพานย้ายสลับ”
ซิงอ้านขมวดคิ้วและมองไปยังท้องฟ้าอันแตกหัก เขาส่ายหัวและกล่าว “เทพเจ้าทั้งหลายอาจจะมีชีวิตรอดได้ แต่พวกเขาจะค่อยๆ อ่อนแอลงไป แต่ทว่า ผู้ฝึกวิชาเทวะจะอยู่รอดไปได้ไม่นาน พวกเขาล้วนแต่เป็นภาระ ดังนั้นควรละทิ้งพวกเขาไปเถอะ”
ยังคงมีผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นอยู่ในบริเวณรอบๆ และหัวใจพวกเขาก็เย็นเฉียบเมื่อได้ยินถ้อยคำของเขา
ฉินมู่ยืดตัวตรง และสายตาของเขาตกลงไปที่ร่างของซิงอ้าน เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ข้าเคยไปยังสวรรค์ไท่หมิงมาก่อน มันอยู่บนท้องฟ้าเหนือสวรรค์ไท่หวง ที่นั่นมีเส้นทางอันสามารถนำไปยังแดนโบราณวินาศได้ สวรรค์ไท่หมิงและสวรรค์ไท่หวงนั้นเชื่อมต่อกัน ดังนั้นพวกเราสามารถไปที่นั่นจากที่นี่ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็ไปยังแดนโบราณวินาศต่อ และไม่มีใครที่จำเป็นจะต้องตาย”
ซิงอ้านกล่าว “แต่ทว่า หากพวกเรานำผู้คนเหล่านี้ไปด้วยก็มีแต่จะถ่วงให้ชักช้า ยิ่งไปกว่านั้น เทพเจ้าอย่างพวกเรายังต้องคอยปกป้องพวกเขาอีก ในโลกที่พินาศพังภินท์เช่นนี้ พวกเราก็มีแต่จะหมดเปลืองพลังไปเร็วขึ้นหากว่ามัวแต่ปกป้องผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลาย ข้าเสนอว่าให้พวกเราเดินทางแต่เบาตัว”
สายตาของเขากวาดไปยังทุกๆ คนและกล่าว “บางทีพวกเราอาจจะควรสังหารไปสักกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วเปลี่ยนให้เป็นเสบียงเนื้อแห้ง จากนั้นพวกเราก็จะฟื้นฟูพลังงานได้ยามหิวโหย”
ทุกคนขนหัวลุกเต็มเหยียด และไม่มีใครกล้าสบตาเขา
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “ซิงอ้าน ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นภาระเหมือนกัน หากว่าเจ้าไม่อยากเป็นภาระ ก็คิดให้เหมือนมนุษย์ธรรมดาเสียหน่อย ช่วยเมื่อเจ้าต้องช่วย และทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ใช่ผู้นำของพวกเรา ดังนั้นอย่าพยายามพูดเหมือนกับว่าเป็นผู้นำ”
ซิงอ้านขมวดคิ้ว
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมไอและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ซิงอ้าน เจ้าคงจะมีเนื้อแห้งมากมายในหีบ ใช่หรือไม่”
เฒ่าบอดลูบทวนเทวะหลงถัวไปมา และมังกรดำก็นุ่มเหมือนกับวิฬาร์ มันเลื้อยอยู่ใต้มืออันหยาบกร้านของเขาพลางส่งเสียงแกรกกราก ราวกับว่ากำลังรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง เฒ่าบอดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางทีพวกเราอาจจะเปลี่ยนพี่ที่นับถือซิงอ้านให้เป็นเนื้อแห้ง และเติมท้องพวกเราให้อิ่มไปในระหว่างทาง”
เฒ่าเป๋เต็มไปด้วยความกล้าหาญในคราวนี้ และหัวเราะคิกคัก “สับขาสองข้างของเขาออกมาก่อน!”
ซิงอ้านกล่าวอย่างเยือกเย็น “กระบี่เทวะเฒ่า แขนขาสี่ข้างของเจ้าไม่มีแล้ว และเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ต่อให้พี่ทางเต๋าผางอวี้ร่วมมือ และพวกเจ้าทุกคนก็รุมข้าพร้อมๆ กัน ข้าก็ไม่กลัว”
นักปรุงยาถามอย่างสนอกสนใจ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ”
หางตาของซิงอ้านกระตุก และผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวอย่างแช่มช้า “ข้าจะทำหน้าที่ของข้าในการเดินทาง”
ฉินมู่มองไปยังบรรพชนแรก อาการบาดเจ็บของเขาสาหัส เขาไม่อาจปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ทันที และในเมื่อร่างของเขาหนักอึ้ง ก็เลยต้องให้เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เป็นผู้แบก
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ สามารถเดินทางไปในทะเลลาวาได้ ในเมื่อการเหยียบลงไปบนลาวาไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา สิ่งเดียวที่เทพเจ้าต้องคอยระวังป้องกันให้ก็คือพายุหมุนอันร้ายกาจ และคลื่นหินหลอมเหลวที่ซัดมา!
พายุหมุนมีความเร็วร้อยเท่าของเสียงสามารถเป่าผู้ฝึกวิชาเทวะให้กระจุยไปได้อย่างง่ายๆ ไอพิษและหินเพลิงที่มีขนาดเท่าภูเขาก็สามารถทำให้พวกเขาบาดเจ็บ หรือแม้แต่ปลิดชีวิต
นี่จึงเป็นเหตุให้เทพเจ้าทั้งหลายต้องออกหน้าไปป้องกันในชั้นนอก
“ภูเขาไฟจะระเบิดจากใต้ทะเลลาวาเป็นระยะ นี่่ค่อนข้างจะยาก…”
ฉินมู่พึมพำกับตนเอง มันมีภูเขาไฟทุกหนแห่งภายใต้ทะเลลาวา และการปะทุของภูเขาไฟเหล่านี้ก็เทียบเท่าการโจมตีของเทพเจ้า เขาแทบไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าพลานุภาพอันร้ายกาจนี้ฟาดเข้าโดนผู้ฝึกวิชาเทวะ
“กระบี่เทวะและข้าจะรับมือกับภูเขาไฟ”
ซิงอ้านโพล่งขึ้นมา “เพลงกระบี่ของเขาและทักษะเทวะของข้าเพียงพอที่จะสยบภูเขาไฟเอาไว้”
ฉินมู่ผงกศีรษะและมอบหมายหน้าที่ให้กับทุกๆ คน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านที่นับถือทั้งหลาย สวรรค์ไท่หวงได้ถูกทำลายลงไปแล้ว การจากพรากดินแดนเกิดนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาชีวิตไว้นั้นสำคัญกว่า บางทีในอนาคต พวกเราอาจจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อปราบปรามภัยพิบัติ แต่ทว่า ในบัดนี้ พวกเราต้องจากไป!”
ซังฮวาก้มลงจูบพื้น เกลือกกลิ้งใบหน้าของนางลงกับดินอย่างแผ่วเบา ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงไปกับพื้น จูบและโอบกอดมัน
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มองไปที่พวกเขาอย่างเงียบเชียบ ความรักในมาตุภูมินั้นเป็นสิ่งที่ยากจะประสบในระหว่างวันเวลาแห่งสันติสุข มีก็แต่เสี้ยวเวลาของภัยพิบัติเท่านั้น ที่ความรักของผู้คนถูกกระตุ้นออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนกับเทพเจ้าที่อารักขารอบๆ พวกเขา แต่ละคนก็ขับเคลื่อนพลังวัตรอันยิ่งใหญ่เพื่อแช่แข็งภัยพิบัติ คนอื่นเหยียบลงไปบนทะเลลาวาที่สงบราบเรียบลง พยายามติดตามคนข้างหน้าไปให้ทัน
ทะเลลาวาร้อนจัด และอากาศก็ร้อนผ่าว แม้ด้วยรังสีพุทธธรรมของยูไลหม่า ก็ยากที่จะทำให้อากาศเย็นลง
“ปิดผนึกรูขุมขนของพวกเจ้าเอาไว้ และรักษาความชื้นในร่างกายเจ้า!”
ฉินมู่ตะโกน “พวกที่มีทักษะเทวะเหาะเหิน อย่าเหาะขึ้นไป รักษาปราณชีวิตเอาไว้บ้าง เพราะการเดินทางคราวนี้จะยาวนาน! ผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธสูง ปกป้องศิษย์น้องหญิงและชายของพวกเจ้าที่มีวรยุทธต่ำกว่า!”
เขาเดินไปรอบๆ และเฒ่าเป๋ก็นำเข็มทิศออกมา เข็มทิศนี้โบราณเป็นอย่างยิ่งและมีมุมองศามากมายอยู่บนนั้น มันน่าจะเป็นสมบัติวิเศษที่เฒ่าเป๋ขโมยมาจากที่ไหนสักแห่ง เขาเห็นเข็มบนหน้าปัดหมุนติ้วไปอย่างสุ่มๆ และมันจำแนกทิศทางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เฒ่าเป๋ถอนหายใจและเก็บเข็มทิศ เขาเหลียวมองสำรวจรอบๆ และที่ไหนๆ ก็มีแต่ทะเลลาวา สิ่งเดียวที่สามารถระบุทิศทางได้คือสวรรค์หลัวฟูอันตกลงมาปักอยู่ในสวรรค์ไท่หวง
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนและนักพรตเฒ่าจำนวนหนึ่ง พยายามที่จะใช้ดวงดาวระบุทิศทาง และทันใดนั้นนักพรตฉาก็พลันกล่าว “ไม่มีดวงดาวสักดวงในสวรรค์ไท่หวง พวกเราจะระบุทิศทางได้อย่างไร”
นักพรตหลินเสวียนและนักพรตเฒ่าคนอื่นๆ แตกตื่นและผิดหวัง
คนอื่นๆ ก็อยากที่จะระบุทิศทาง แต่ไม่มีดวงดาวในสวรรค์ไท่หวง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อขั้วแม่เหล็กของโลกทั้งสองเข้ามาชนกัน มันก็ทำให้สนามแม่เหล็กปั่นป่วนไปหมด ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะระบุทิศทางที่ถูกต้อง
ยังมีกิเลนมังกร กวางใหญ่ และสัตว์พิสดารตนอื่นๆ ที่อาศัยสนามแม่เหล็กระบุทิศทาง แต่ทว่าในตอนนี้ สนามแม่เหล็กที่สับสนทำให้พวกมันมึนงง
“ทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องทิศทาง”
ฉินมู่นำเอาโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาและไม้จากต้นขนนกพุทธมารดาออกมา เขากล่าวกับยูไลหม่าด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าหม่า ข้าต้องการช่างไม้ที่มือเที่ยงที่สุดในโลก”
ยูไลหม่าเผยยิ้มและกล่าว “คือข้า”
ฉินมู่มองไปยังเฒ่าใบ้ด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ใบ้ ข้าต้องการช่างตีเหล็กที่เปี่ยมฝีมือมากที่สุดด้วยเช่นกัน!”
เฒ่าใบ้ยิ้มแฉ่ง และลิ้นที่งอกกลับมาครึ่งหนึ่งของเขาก้แลบออกมาจากปาก “อา!”
ฉินมู่นำเอาพู่กันและกระดาษออกมา ทำการคำนวณอย่างดุเดือด เสาะหาความแม่นยำ ไม่นานนัก เขาก็วาดพิมพ์เขียวของรถม้าคันหนึ่งออกมา และส่งให้กับเฒ่าหม่าและเฒ่าใบ้ “เพื่อหลอมสร้างยานเข็มทิศนี้ ความแม่นยำจะต้องไปถึงหลักทศนิยมช่าน่า แบบนั้นพวกเราจึงจะเดินทางไปได้เป็นหมื่นลี้โดยไม่คลาดทิศ”
ยูไลหม่าและเฒ่าใบ้มองไปยังพิมพ์เขียวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และหลังจากนั้นยูไลหม่าก็กล่าว “พวกเราจะลองดู!”
ทั้งสองคนเริ่มง่วนกับงาน พวกเขาหลอมสร้างทุกชิ้นส่วนและผ่านไปสักพักก็ก่อสร้างยานเข็มทิศขึ้นมา มันเป็นมนุษย์ทองคำที่หลอมขึ้นมาจากโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาอันนั่งอยู่บนรถม้า ยกแขนขึ้นชี้ไปข้างหน้า บนศีรษะของมนุษย์ทองคำนี้เป็นคนตัวเล็กๆ อีกสามคน แต่ละคนถือตะบองไม้ และใจกลางนั้นคือกลองใบหนึ่ง
ฉินมู่มองไปยังสวรรค์หลัวฝูเพื่อกำหนดทิศทางก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นเขาก็ปรับแขนของมนุษย์ทองคำและเรียกกิเลนมังกรให้มาลากรถม้า พวกเขาพบว่าไม่ว่ากิเลนมังกรจะลากรถม้าไปที่ไหน แขนของมนุษย์ทองคำก็จะยังคงชี้ไปยังทิศทางเดิม
“เจ้าสำนักเต๋า ข้าเข้าใจหลักเหตุผลของยานเข็มทิศของจ้าวลัทธิฉิน มันอาศัยการหมุนไปของเฟือง เพลา และล้อกลไก เพื่อทำให้มนุษย์ทองคำชี้ไปยังทิศทางเดิมตลอดเวลา”
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปปรึกษากับเจ้าสำนักเต๋า “แต่ทว่า คนตัวเล็กๆ และกลองบนหัวของมนุษย์ทองคำนั้นเอาไว้ทำอะไร”
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ เงี่ยหูรับฟัง พวกเขาได้เรียนพีชคณิตมาเป็นเวลาสองปี และหลายคนก็ได้ไปเรียนจากนักพรตแห่งสำนักเต๋า ดังนั้นพวกเขาสนใจใคร่รู้ยานเข็มทิศของฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกล่าว “คนตัวเล็กๆ สามคนนั้นใช้คำนวณระยะทาง ทุกๆ ร้อยลี้คนตัวเล็กจะถูกเคลื่อนไปด้วยเฟืองและเคาะกลองหนึ่งที ตราบเท่าที่พวกเราคำนวณจังหวะกลอง พวกเราก็จะรู้ระยะทาง”
ทุกคนตกตะลึง “ทำไมพวกเราต้องคำนวณระยะทางด้วย”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกล่าว “จ้าวลัทธิฉินต้องการให้วิศวกรสวรรค์และยูไลหลอมสร้างอย่างแม่นยำจนถึงหลักทศนิยมช่าน่า แต่กระนั้น มันก็ยังคงมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย หลังจากที่ยานเข็มทิศเดินทางไปหมื่นลี้ ทิศทางที่มนุษย์ทองคำชี้ก็จะคลาดเคลื่อนไปเสี้ยวหนึ่ง ข้าคาดเดาว่าจ้าวลัทธิฉินจะปรับทิศทางแขนของมนุษย์ทองคำไปทางซ้ายเป็นค่าหลักทศนิยมซื่อ”
ทุกคนตกตะลึง และอวี่เหอก็พึมพำ “จำเป็นต้องแม่นยำขนาดนั้นเลยหรือ”
“จำเป็น”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนมีสีหน้าอบอุ่น “หากว่าคลาดเคลื่อนหนึ่งซื่อในทุกๆ หมื่นลี้ มันก็จะเกิดความคลาดเคลื่อนหนึ่งห่าวทุกๆ สิบหมื่นลี้ พวกเราก็จะอยู่คลาดเคลื่อนจากจุดที่ต้องการไปหนึ่งร้อยลี้ และความแตกต่างหลังจากร้อยลี้นี้ก็ไม่ใช่เล็กๆ จ้าวลัทธิฉินกระทำการใดล้วนแต่มุ่งแสวงความสมบูรณ์แบบ ตอนที่เขาไม่คุ้นตากับดวงตะวันดวงเดิมของสวรรค์ไท่หวง เขาก็ทุบมันทิ้งเสีย จากนั้นให้ราชครูสร้างดวงใหม่ขึ้นมา นี่คงจะเห็นได้ถึงนิสัยใจคอของเขา”
เขาตั้งใจทุบดวงตะวันจริงๆ ด้วย! เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ ผู้ซึ่งกำลังแบกกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไว้บนหลัง คิดอย่างโกรธขึ้ง
เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้ประมาณร้อยลี้ คนตัวเล็กๆ บนหัวมนุษย์ทองคำก็เคาะลงไปบนกลอง
ทุกคนโห่ร้อง “จริงๆ ด้วย!”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือเสน่ห์ของพีชคณิต! มันอาจจะดูไร้ประโยชน์ แต่มันอยู่ในทุกหนทุกแห่ง หากว่าใครต้องการเรียนพีชคณิตในเบื้องลึกมากกว่าที่สอนในโรงเรียนในสันตินิรันดร์ พวกเจ้าก็มาที่สำนักเต๋าได้!”
หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงปรายตามองเขาและคิดในใจ เจ้าสำนักเต๋าเรียนตัวอย่างไม่ดีมาจากฉินมู่ เขาเริ่มที่จะหลอกล่อผู้คนให้เข้าร่วมสำนักเต๋า ข้าจะต้องไปบอกยูไล เพื่อให้พวกเราไม่ถูกขโมยตัวสานุศิษย์ไป
ขณะที่พวกเขาเดินทางไปสิบหมื่นลี้ คนตัวเล็กๆ ก็เคาะกลองหนึ่งร้อยครั้ง และฉินมู่หยุด เขาเปิดท้องของมนุษย์ทองคำออกมาเพื่อปรับฟันเฟือง ก่อนที่จะเดินทางไปต่อ
ทุกคนยิ่งนับถือเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนมากกว่าเดิม