บนการเดินทางต่อไปข้างหน้า พวกเขาเดินทางไปห้าหกหมื่นลี้โดยปราศจากอันตราย พวกเขาได้เดินอ้อมสวรรค์หลัวฝูไปแล้ว แม้ว่าสวรรค์หลัวฝูจะกว้างใหญ่ไพศาล และตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวรรค์ไท่หวง แต่พวกเขาก็มองไม่เห็นมันอีกต่อไป ชั้นของคลื่นหินหลอมเหลวและลมดำอันอื้ออึงได้ปิดมันจากทัศนวิสัย มีก็แต่ยานเข็มทิศของฉินมู่ที่ยังคงระบุทิศทางได้
ทุกคนล้วนแต่เหนื่อยล้า และแม้แต่เทพเจ้าก็เริ่มจะอ่อนแรง ถ้าพวกเขาแค่ปกป้องตนเองก็ยังพอทำเนา แต่ประเด็นก็คือ พวกเขายังต้องคอยปกป้องผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นอีกด้วย ทำให้พวกเขาอ่อนล้าจนเกินไป และปราณชีวิตพวกเขาก็ร่อยหรอลงอย่างต่อเนื่อง
ท้องของพวกเขาหิวโหย และร่างกายก็เริ่มสูญเสียพละกำลัง
ซิงอ้านเปิดหีบของตนและนำเนื้อแห้งออกมาจำนวนหนึ่ง ยื่นส่งให้กับฉินมู่ “เจ้าเป็นผู้นำ ให้เจ้าเป็นผู้แจกจ่ายพวกมัน”
หางตาของฉินมู่กระตุก และเขาวางเนื้อแห้งลงไปในถุงเต๋าตี้ของเขา “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านปู่คนแล่เนื้อ มาที่นี่หน่อย”
เขาให้ผู้คนแห่งหมู่บ้านพิการชรายืนล้อมคนแล่เนื้อเอาไว้ ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาตัดเข้าไปในเนื้อและกล่าว “เด็กๆ อาจจะไม่สามารถย่อยเนื้อประเภทนี้ได้”
ฉินมู่กล่าว “เฉือนมันเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ทุกคนเพียงแต่ต้องการลูกเต๋าเนื้อที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยเท่านั้น เทพเจ้าสามารถกินได้มากกว่าอีกหน่อย ท่านปู่คนแล่เนื้อสามารถหั่นเต๋าพวกมันให้เป็นหลายหมื่นชิ้นได้หรือไม่”
“นี่ยากอยู่ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่กิน”
เพลงมีดของคนแล่เนื้อเพริศแพร้วพิสดาร และเขาก็เฉือนตัดเนื้อแห้งออกเป็นชิ้นๆ อย่างเท่ากัน ฉินมู่วางพวกมันลงไปในถาด ถาดของเนื้อตัดชิ้นเหล่านี้หนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง พวกมันเปล่งแสงออกมาสีสันต่างๆ กัน และแม้ด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งของเขา เขาก็ยังรู้สึกยากที่จะประคองถือมันเอาไว้ บางชิ้นเนื้อถึงกับอัดไว้ด้วยปราณมารอันเข้มข้น
“พวกที่ฝึกปรือมรรคาเทพสามารถกินลูกเต๋าเนื้อที่ส่องรังสีเทวะออกมา และทุกคนสามารถกินได้แค่หนึ่งชิ้นเล็กๆ เท่านั้น พวกที่ฝึกปรือมรรคามาร สามารถกินชิ้นที่เปล่งรังสีมารออกมา อย่ารับมากไปกว่านั้น”
เขาแจกจ่ายเนื้อแห้ง ซวีเซิงฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรับไปสองลูกเต๋า ส่งหนึ่งชิ้นให้กับจิงเอี้ยน
จิงเอี้ยนก็ลังเลและถามด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิ นี่มันเนื้ออะไร”
“ไม่ใช่เนื้อคน”
ฉินมู่อิดออดนิดหน่อยและกระซิบกลับไป “แต่มันก็ไม่ใช่ของดีเหมือนกัน มีแขนและขามากมายห้อยอยู่ในหีบของซิงอ้าน แม้กระทั่งศีรษะ นี่เป็นเนื้อของเทพเจ้า และมันไม่ได้อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพียงแต่มีอยู่ไม่มาก”
หลังจากที่เขาแจกจ่ายลูกเต๋าเนื้อออกไป นักปรุงยาก็เรียกตัวเขาอีกครั้ง ทั้งสองคนง่วนเต็มมือ หลอมปรุงยาวิญญาณอย่างไม่หยุดหย่อน ยายเฒ่าซีใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณ และสร้างยาวิญญาณหม้อหนึ่งเพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายได้ใช้ฟื้นฟูตนเอง
แม้กระนั้น พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะกิน ลำพังแค่ยาวิญญาณไม่อาจเติมท้องหรือดับกระหายได้
“ทักษะเทวะเสกสรรสามารถสร้างน้ำขึ้นมาได้ไหม” บางคนถามด้วยเสียงแผ่ว
อีกคนหนึ่งตอบไป “หยุดพูด จะได้ไม่หมดเปลืองน้ำในร่างของเจ้า”
ฉินมู่พลิกหาในถุงเต๋าตี้ และนำเอาน้ำที่เหลืออยู่แจกจ่ายให้กับทุกๆ คน เขาได้กินเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น
เขาเตรียมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินในสถานการณ์ผิดปกติ แต่เขาไม่มีน้ำในถุงเต๋าตี้มากนัก
กายเนื้อของผู้ฝึกวิชาเทวะล้วนแต่แข็งแกร่ง และพวกเขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้ว่าร่างจะขาดน้ำ เขาเพียงแต่ต้องทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะความชื้นในร่างกายมากพอ และรอดชีวิตไปจนกว่าจะถึงสวรรค์ไท่หมิง
“น้ำที่สร้างขึ้นมาด้วยทักษะเทวะเสกสรรนั้น จะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของสสาร นี่ต้องอาศัยความรู้อันท้าทายสวรรค์ในเชิงทักษะเทวะเสกสรร และผู้ที่อาจจะมีความสำเร็จระดับนี้ก็คือกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก แต่เขานั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส…”
ฉินมู่ห่อปากอันแห้งผากของเขาและมองไปข้างหน้า ทุกๆ คนรวมทั้งเทพเจ้า ล้วนแต่ขาดน้ำ มีแต่กิเลนมังกรที่ลากรถไปนั้นยังเต็มไปด้วยกำลังวังชา วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าอันเหยาะเบา
แม้แต่คู่แค้นของเขา กวางยักษ์ ก็หมดพลังงาน และกลายเป็นผอมซูบเหลือแต่กระดูก
มีก็แต่กิเลนมังกรที่ยังคึกคัก เขาสามารถควบคุมไฟได้โดยกำเนิด ดังนั้นตอนนี้นับได้ว่าเขาอยู่ในสถานที่อาศัยตามธรรมชาติ แม้แต่ความร้อนสูงก็ไม่ต่างอะไรจากการอาบน้ำอุ่นสำหรับเขา
“ถ้าไม่มีน้ำ พวกเราก็คงไปไม่ถึงสวรรค์ไท่หมิง…” คอของฉินมู่ร้อนเป็นไฟ เขากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก แต่ทว่า เขาไม่มีน้ำลายอีกต่อไป ดังนั้นจึงมีแต่เสียงเสียดสีแห้งๆ
ธาตุทั้งห้าก่อขึ้นมาเป็นทักษะเทวะในโลกหล้า แต่ทักษะเทวะธาตุน้ำใช้ไอน้ำที่ลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ เพื่อผนวกรวมเข้ากับปราณชีวิตธาตุน้ำ สร้างขึ้นมาเป็นรูปเงาของน้ำซัดท่วมทุกหนทุกแห่ง พวกมันไม่ใช่น้ำจริงๆ และเมื่อปราณชีวิตสลายไป ไอน้ำก็จะกระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว
การใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของสสารนั้นต้องใช้ความสำเร็จอันสูงลิ่ว มันเท่ากับว่าเสกสารบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ความสามารถเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทำไม่สำเร็จจริงๆ
พวกเขาเดินทางต่อไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก และไม่มีใครที่มีชีวิตชีวาภายใต้ความร้อนเข้มข้นขนาดนี้ พวกเขาได้แต่อาศัยเจตจำนงอันมุ่งมั่นเพื่อลากร่างกายอันอ่อนล้าต่อไปเท่านั้น
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตื่นขึ้นแล้ว แต่อาการบาดเจ็บของเขายังสาหัส เขาต้องให้เทพเที่ยงแท้ผางอวี้แบกเขาไป และฉินมู่ก็ได้แต่หวังว่านักปรุงยาจะช่วยเขาได้ มีก็แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่จะขับเคลื่อนวิชาเสกสรรน้ำขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ทันใดนั้น แสงสว่างก็ลงมาจากท้องฟ้า และทวยเทพที่กำลังป้องกันแรงปะทะก็เงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นบันทึกเป็นตายลอยเข้ามาอย่างรวดเร็ว บันทึกนี้สาดแสงเจิดจ้าเหนือทะเลลาวา
บันทึกเป็นตายกระจ่างใสดุจกระจกและเผยรายนามอันผันแปรไปอย่างเร็วจี๋!
บันทึกเป็นตาย!
ฉินมู่แตกตื่น สิ่งที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้านั้นคือบันทึกเป็นตาย หรือพูดให้ชัดก็คือ บันทึกเป็นตายที่อยู่ในเมืองของโหลอวิ๋นชวีและพรรคพวก!
โหลอวิ๋นชวีอาศัยพลานุภาพของบันทึกเป็นตายเพื่อรุกรานแท่นสังเวยแห่งสวรรค์หลัวฝู บูชายัญสวรรค์หลัวฝูเพื่อทำให้สองโลกมิติพุ่งเข้าชนกัน!
บันทึกเป็นตายได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ฉายแสงเจิดจ้าเหนือทะเลลาวาในสวรรค์ไท่หวง พวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่
หากว่าเพื่อจับตัวข้า เขาก็ไม่ต้องกระตุ้นการทำงานของบันทึกเป็นตาย ถ้าอย่างนี้ เขาคงจะต้องพยายามรวบจับทุกคนในร่างแห!
เมื่อฉินมู่มองไปรอบๆ เขาก็เห็นแต่ทหารเหนื่อยล้า ผู้คนที่ไม่อาจต่อสู้ได้ และแม้แต่เทพเจ้าที่หมดเรี่ยวแรง
สวรรค์ไท่หวงกำลังถูกทำลาย และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันร้ายกาจ โหลอวิ๋นชวีน่าจะสามารถทำได้แค่ปลุกโครงกระดูกเทพเจ้าขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง โชคยังดีว่าคงมีจำนวนไม่มากนัก…
ในจังหวะที่เขาคิดอยู่นั้น โครงกระดูกเทพเจ้ามหึมามากมายก็พลันลุกขึ้นจากทะเลลาวา กระดูกยังคงลอยอยู่ในหินหลอมเหลว ลาวาและเพลิงไฟบนโครงกระดูกดับไป และกะโหลกของพวกมันก็ว่างเปล่า ไม่เหลืออะไรนอกจากไฟผีสางที่ลอยอยู่ในเบ้าตา
โครงกระดูกเทพเจ้าลุกขึ้นมาจากทะเลลาวามากขึ้นทุกทีๆ หนึ่ง สอง สิบ หนึ่งร้อย…ตัวเลขเอาแต่เพิ่มมากขึ้น!
หางตาของฉินมู่กระตุก เขาอยากจะกล่าวบางอย่าง แต่เสียงของเขาแหบพร่า “เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ พวกเจ้ายังสามารถต่อสู้ได้หรือไม่?”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และคนอื่นๆ มีสีหน้าอันซูบเซียว ริมฝีปากของพวกเขาแห้งผาก ทำให้โลหิตหลั่งไหลจากรอยแยกปากที่แตก ผู้คนจากหมู่บ้านพิการชราก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีไปกว่ากัน เพื่อปกป้องผู้คนนับหมื่น พวกเขาได้รับมือกับภัยพิบัติอันโถมซัดเข้ามาจากทุกสารทิศ และพวกเขาก็แห้งเหือดเรี่ยวแรง
ฉินมู่มองไปยังซิงอ้านที่กำลังเปิดหีบอยู่ และนำแขนและขาจำนวนหนึ่งออกมา เขาเปลี่ยนแขนและขาของตนเอง
เขาเปลี่ยนลำตัว นำเอาโลหิตเทวะจำนวนหนึ่งออกมาเปลี่ยนแทนของเดิม
“ข้าสามารถสู้ได้”
หลังจากซิงอ้านเปลี่ยนถ่ายโลหิต เขาก็กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “มีโครงกระดูกเทพเจ้ามากเกินไป ดังนั้นข้าไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้นานนัก ชิ้นส่วนร่างกายในหีบของข้ามีจำกัด ดังนั้น ข้าจึงมีเงื่อนไข”
เขามองไปที่นักปรุงยาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ให้ราชาพิษหน้าหยก แก้อาการป่วยไข้แฝงเร้นในร่างของข้าโดยสิ้นเชิง! หากว่าพวกเจ้าไม่ตกลง ข้าจะสะบัดหน้าจากไป!”
นักปรุงยากล่าว “หากว่าข้าไม่ตกลง เจ้าจะไปที่ไหนได้ เจ้าออกไปจากสวรรค์ไท่หวงไม่ได้ และเจ้าก็กลับไปที่สันตินิรันดร์ไม่ได้!”
ฉินมู่ถอนหายใจและกล่าว “เขาสามารถออกไปได้ ยานเข็มทิศได้ชี้เส้นทางไปยังสวรรค์ไท่หมิงให้แก่เขาเรียบร้อยแล้ว ซิงอ้านเฉลียวฉลาด ดังนั้นเขาจะต้องตระหนักเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ซิงอ้านเผยรอยยิ้ม “มีแต่ข้าที่ช่วยชีวิตพวกเจ้าได้ในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้น ราชาพิษ เจ้าตกลงรับเงื่อนไขของข้าหรือไม่”
“ก็ได้”
นักปรุงยากล่าวโดยไม่ลังเล “ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้แก่เจ้า แต่เจ้าจะต้องต่อสู้จนตัวตาย!”
ซิงอ้านส่ายศีรษะ “ข้าทำไม่ได้ หากว่าชีวิตข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็จะจากไปทันที และไม่มาสละชีพอยู่ที่นี่”
นักปรุงยายิ้มหยัน “หากว่าเจ้าไม่สู้จนตัวตาย มีเจ้าอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร!”
ซิงอ้านประกายตาลุกวาบ และโครงกระดูกเทพเจ้าเหมือนจะได้รับคำสั่ง พวกมันพุ่งเข้ามา
ซิงอ้านจากไปทันที แต่เสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ “ได้เวลาที่พวกเจ้าจะต้องวิงวอนขอร้องข้าแล้ว!”
เขาเหาะจากไปและละทิ้งทุกๆ คน
คนแล่เนื้อชักมีดของเขาออกมาและตะโกนด้วยเสียงกึกก้อง “สู้จนตัวตาย!”
แสงมีดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และเทพเจ้าอื่นๆ ก็นำเทพศาสตราของตนออกมา พวกเขากัดฟันกรอดและจ้องเขม็งไปยังโครงกระดูกเทพเจ้าอันกำลังกรูเข้ามา
แม้ว่าพวกเขาจะสิ้นไร้เรี่ยวแรง แต่ชีวิตของผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นแบกอยู่บนบ่าของพวกเขา พวกเขาจะต้องยอมละทิ้งสิทธิกำหนดความเป็นความตายของตนเอง
โครงกระดูกเทพเจ้าปรากฏตัวมากขึ้นทุกที และเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทุกขณะจิต โครงกระดูกมหึมา เหยียบเดินบนทะเลลาวา วิ่งด้วยความเร็วดุจเหินบิน ฝีเท้าของพวกมันสร้างคลื่นอันน่าแตกตื่น และบรรยากาศก็น่าสยดสยอง
เทพซังเย่พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ผางอวี้ หากว่าผู้เยาว์เหล่านี้สามารถรอดชีวิตไปได้ ก็คงจะมีพวกเขามากมายที่สามารถฝึกปรือถึงเขตขั้นเทวะ ข้าพูดถูกไหม”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กำลังแบกบรรพชนแรกอยู่บนหลัง และเขาแย้มยิ้ม “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ผู้เยาว์กลุ่มนี้เฉลียวฉลาดกว่าพวกเรา และพวกเขาก็ยังมีความสามารถต่างๆ มากมาย พวกที่สามารถฝึกปรือถึงเขตขั้นเทวะก็จะไม่มีทางด้อยไปกว่าบรรพชน และพวกเขาก็จะบรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งเกินกว่าที่พวกเราจะสามารถไปถึง”
เทพทั้งหลายแย้มยิ้มและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น หากว่าพวกเราสู้จนตัวตายเพื่อพวกเขา มันก็คุ้มค่า!”
คนแล่เนื้อหัวเราะด้วยเสียงอันดังและตะโกน “ผู้ใหญ่บ้าน ยายเฒ่า พวกเจ้าจงส่งพวกเขาไปก่อน ข้าจะรั้งอยู่ข้างหลังและฟันพวกมันทิ้งให้หมด พวกเจ้าทั้งสองมั่นใจเผชิญอันตรายข้างหน้าหรือไม่”
ยายเฒ่าซีกลายเป็นเคร่งขรึมและกล่าวอย่างหนักแน่น “จนกว่าความตายจะสิ้นสุดข้า!”
“ตกลง!”
เทพเจ้าทั้งหลายตะโกนออกไปเมื่อพวกเขาพุ่งไปยังโครงกระดูกเทพเจ้าด้วยเสียงคำรามอันสะท้านโลก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเราไปกันเถอะ! ข้าจะใช้วรยุทธทั้งหมดของข้าเพื่อกรุยทางให้กับพวกเจ้า!”
ขณะที่ถ้อยคำของเขาตกมาในหูของคนทั้งหลายนั่นเอง ทะเลลาวาก็พลันเดือดพล่าน เมื่อไอร้อนมากมายผุดเป็นฟองขึ้นมา ผู้ใหญ่บ้านตื่นตระหนกและปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแขนขาทั้งสี่ เขากดลงไปที่กระบี่ของตน และจ้องไปยังการเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของทะเลลาวา
ฟู่
ลาวาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และมังกรโครงกระดูกใหญ่มหึมาที่สวมใส่เกราะผุพังก็พุ่งทะยานออก ข้างหลังมังกรกระดูกคือโครงกระดูกเทพเจ้าในชุดเกราะมากมายที่กำลังวิ่งตะบึงมาอย่างเกรี้ยวกราด พวกเขาที่กระโจนออกมาจากทะเลลาวามีจำนวนเกือบพันตน!
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านกลายเป็นซีดเผือด และฝ่ามือปราณชีวิตของเขาที่กุมกระบี่อยู่ก็เริ่มสั่นเทิ้ม
บนหน้าผากของมังกรกระดูกนั้น โครงกระดูกเทพเจ้าที่สวมใส่ผ้าคลุมหลังผุพัง พร้อมด้วยขวานศึกอันเก่ากร่อนในมือของเขา เหวี่ยงขวานศึกรอบหนึ่ง เขาหัวเราะด้วยเสียงอันดังและบัญชาการ “ทหารแห่งกองพันเจ็ดดาวสวรรค์ทักษิณ กวาดล้างสัตว์ประหลาดพวกนี้ให้แก่ข้า!”
ฟิ้ววว โครงกระดูกเทพเจ้านับไม่ถ้วนกระโดดข้ามผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ไป เพื่อมุ่งไปปะทะกับพวกโครงกระดูกที่คนแล่เนื้อ ผางอวี้ และคณะกำลังต่อสู้อยู่
ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าเหม่องงเมื่อเขาเหลียวกลับไปมองเห็นกองทัพโครงกระดูกต่อสู้กับกองทัพโครงกระดูก ทันใดนั้น กระดูกแตกหักก็ปลิวว่อนไปทั่วทิศทาง!
โครงกระดูกที่พุ่งทะยานผ่านพวกเขาไปนั้น ดูเหมือนจะเป็นหน่วยรบที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พยุหะกระบวนทัพที่พวกเขาใช้ทำให้พวกเขาสามารถบุกทะลวงไปข้างหน้าราวกับกำลังเฉือนแตงอ่อน บดขยี้กองทัพศัตรูให้กลายเป็นจุณ!
ทุกคนแตกตื่นกับการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันนี้ ผู้ใหญ่บ้านหันกลับไปข้างหลัง และเห็นมังกรกระดูกก้มศีรษะลงมา แม่ทัพโครงกระดูกบนกะโหลกมังกรวางขวานศึกของเขาลงไปและโค้งคารวะ “ผู้บัญชาการแคว้นสวรรค์ไท่หวง กองพันเจ็ดดาวสวรรค์ใต้ แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง นามเว่ยเหลียว น้อมคารวะผู้มีพระคุณต่อพวกเรา! ยากนักที่ได้พบผู้มีพระคุณอีกครา และข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นนี้”
แม้ว่าเขาจะเป็นโครงกระดูก แต่เขาก็มีตัวตนอันเหนือธรรมดาและจิตวิญญาณอันห้าวหาญ เพียงแค่ฟังเสียงของเขา ใครก็นึกภาพออกว่าในสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น จะเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งยงน่าเกรงขามสักเพียงใด!
ผู้คนนับหมื่นงุนงง และพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งจากฝูงชน “ผู้บัญชาการแคว้นเว่ยเหลียวสุภาพเกินไปแล้ว โปรดลุกขึ้นเถิด”
ทุกคนมองไปยังที่มาของเสียง และพวกเขาก็เห็นฉินมู่เดินออกมาจากกลุ่มชน จ้าวลัทธิหนุ่มผู้นี้ค้อมศีรษะเล็กน้อย และยกมือขึ้น