ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่ที่นี่ นี่คือแดนลางร้ายหรอกหรือ”
“ใช่แล้ว ที่นี่คือแดนลางร้าย แต่สถานที่นี้ก็ได้กลายเป็นทะเลลาวาไปด้วยเช่นกัน แดนลางร้ายไม่มีอยู่อีกต่อไป พวกเราหมายที่จะปกป้องแดนลางร้ายและฝังตัวจมลงไปในทะเลลาวา แต่ทว่าพวกเราถูกปลุกขึ้นมาด้วยบันทึกเป็นตาย และรู้ทันทีว่าผู้มีพระคุณตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นพวกเราจึงต้องมาเพื่อช่วยสนับสนุน”
สายตาของเว่ยเหลียวมองผ่านพวกเขาไป มองที่สนามรบด้วยรอยยิ้ม “แค่พวกกเฬวรากไม่มีทางทำอะไรกองพันเจ็ดดาวสวรรค์ทักษิณของข้าได้! ผู้มีพระคุณไม่ต้องกังวล พวกเราเพียงแต่ต้องใช้เวลาสักครู่ และก็จะสามารถทลายฝ่าไปได้!”
ฉินมู่กล่าวแก่ผู้ใหญ่บ้าน “นี่คือเทพครองดาวเจ็ดสังหารแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ผู้บัญชาการแคว้นแห่งสวรรค์ไท่หวง เขาได้ตายไปที่นี่เมื่อเผ่ามารรุกรานเข้ามา”
ผู้ใหญ่บ้านผงกศีรษะอย่างเบาๆ และดูเหมือนจะเหน็บชาไปเล็กน้อย “ผู้บัญชาการแคว้นแห่งสวรรค์ไท่หวง และยังเป็นเทพครองดาวเจ็ดสังหาร…พวกเจ้าไปเจอกันได้อย่างไร”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ และกล่าว “ข้าถูกฟู่ยื่อลัวจับตัวเอาไว้ได้ และเมื่อข้าหลบหนีมา ข้าก็ผ่านทางสถานที่นี้และปลุกเขาขึ้น จากนั้นพวกเราก็กลายเป็นคนรู้จักกัน”
“แค่นั้นน่ะหรือ” ผู้ใหญ่บ้านร้องออกมาด้วยความแตกตื่น ตาโตเท่าไข่ห่าน
ผู้บัญชาการแคว้นสวรรค์ไท่หวง ถึงอย่างไรก็เป็นผู้บัญชาการแคว้น เขาจะมาคบหาเป็นคนรู้จักเพียงแค่พบเจอคนผ่านทางเท่านั้นเองหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยเมื่อเห็นฉินมู่ตกอยู่ในอันตราย คนรู้จักกันธรรมดาจะมีมิตรไมตรีลึกซึ้งขนาดนั้นเชียวหรือ
ผู้ใหญ่บ้านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ฉินมู่กล่าวอย่างสัตย์ชื่อ “แบบนั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น กองทัพโครงกระดูกเทพเจ้าเหล่านี้…”
“ข้าปลุกพวกเขาขึ้นมาหลังจากปลุกเขา”
ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง “แค่นั้นหรือ?”
ฉินมู่ตอบไปอย่างสังเขป “แบบนั้นแหละ แต่ทว่า ผู้นำทางความตายเกือบจะนำตัวข้าไปที่แดนใต้พิภพเพื่อพิพากษาความผิดของข้า โชคยังดี เทพครองดาวเว่ยเหลียวได้ยับยั้งเขาเอาไว้”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจและกล่าวอย่างแห้งแล้ง “ข้าไม่น่าเสียเวลาในยมโลกมากมาย ข้าได้พลาดเรื่องน่าสนใจไปตั้งหลายเรื่องราว คราวหน้าถ้ามีเรื่องน่าตื่นเต้นอีก ก็อย่าลืมเรียกข้าด้วย”
ฉินมู่ผงกหัว “คราวหน้าถ้าข้าโดนจับตัวไป ข้าจะพาผู้ใหญ่บ้านไปด้วยอย่างแน่นอน!”
กองทัพโครงกระดูกของเว่ยเหลียวบดขยี้ศัตรูทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และโครงกระดูกกลุ่มนี้ก็กรูกลับมาด้วยความตื่นเต้น เว่ยเหลียวตะโกนไป และโครงกระดูกก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม พวกเขารีบจัดเรียงกันเป็นแถวเป็นตอน
คนแล่เนื้อ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และเทพเจ้าอื่นๆ ที่เหลือเดินเข้ามา พวกเขายังมึนงงสับสน และฉงนฉงายว่ามันเกิดอะไรขึ้น ระหว่างที่มองโครงกระดูกขาวเหล่านี้ขึ้นๆ ลงๆ
โหลอวิ๋นชวีได้อัญเชิญเทพเจ้าที่ตายลงไปแห่งสวรรค์ไท่หวงมาต่อสู้แทนเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะมีกองทัพกระดูกขาวเช่นนี้มาช่วยเหลือ
หากมิใช่เพราะเว่ยเหลียวเร่งรุดมาทันเวลา พร้อมกับกองพันเจ็ดดาวของเขา พวกเขาก็คงจะบาดเจ็บล้มตาย
แต่ทว่า การยืนอยู่กับโครงกระดูกเทพเจ้ามากมาย ทำให้พวกเขากระสับกระส่าย
เว่ยเหลียวหัวเราะและกล่าว “แม้ว่าภัยพิบัติล้างโลกนี้จะเป็นอันตรายกับพวกเจ้า แต่มันไม่เป็นอันตรายกับคนตายเลยแม้แต่น้อย ผู้มีพระคุณ ให้พวกข้าอารักขาท่านออกไป”
ฉินมู่รีบกล่าว “ศัตรูของข้าครอบครองบันทึกเป็นตาย และมันสามารถปลุกชีวิตคนตายได้ ในเมื่อมันสามารถปลุกชีวิตคนตาย มันก็ย่อมทำให้ผู้มีชีวิตกลับไปตายได้ พวกเจ้าทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในแดนลางร้ายต่อจะดีที่สุด…”
ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น บันทึกเป็นตายก็พลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และแผ่นกระดาษดุจกระจกของมันก็ส่องแสงเจิดจ้า ลำแสงมากมายยิงลงมายังพวกเขา
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบนำกระจกจำนวนหนึ่งออกมา เขาถ่ายเทปราณชีวิตเข้าไปในกระจก และพวกมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ลอยอยู่เหนือศีรษะของเว่ยเหลียวและโครงกระดูกเทพเจ้าทั้งหลายเพื่อป้องกันแสงเอาไว้
“ท่านปู่นักปรุงยา กระจกของท่านอยู่ที่ไหน”
ฉินมู่ตะโกน “ทุกคน กระตุ้นกระจกของพวกเจ้าและขัดขวางแสงของบันทึกเป็นตาย!”
นักปรุงยารีบกระตุ้นขยายกระจกสิบกว่าบาน ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ ก็พลันสำเหนียกขึ้นมา ทันใดนั้น ก็มีกระจกนับหมื่นบานทุกขนาดที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันปิดกั้นท้องฟ้าไว้จนมิด ไม่ปล่อยให้มีแสงใดผ่านเข้ามาได้
แสงจากบันทึกเป็นตายกระจัดกระจายหายไปเมื่อมันถูกสะท้อนกลับด้วยกระจก ป้องกันไม่ให้แสงส่องลงไปยังเว่ยเหลียวและคณะ
ผู้ฝึกวิชาเทวะสี่ในสิบส่วนเป็นสตรี และแม้ว่าพวกนางจะเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ แต่ก็ยังต้องการที่จะดูสะสวย พวกนางมักจะมีกระจกหนึ่งหรือสองบานติดตัว แม้ว่าผู้ที่มีกระจกมากที่สุดจะยังคงเป็นนักปรุงยาก็ตาม
ผู้ฝึกวิชาเทวะบางคนได้ฝึกปรือเวทมนตร์เฉพาะทาง ดังนั้นพวกเขาต้องใช้กระจกเป็นอาวุธวิญญาณ หลังจากที่ถูกขัดเกลาเป็นอาวุธวิญญาณแล้ว กระจกสามารถขยายไปมีขนาดเป็นไร่ๆ และนั่นก็เป็นภาพอันตระการตายิ่ง
ฉินมู่เห็นแสงสว่างจากบันทึกเป็นตายส่องมาไม่ถึง แต่เขาก็ยังไม่กล้าจะวางใจ “บันทึกเป็นตายเหาะเหินได้รวดเร็วนัก มันยังคงส่องโดยตัวพวกเจ้าได้อยู่ดี ผู้บัญชาการเแคว้น พวกเจ้าซ่อนตัวไปจะดีที่สุด”
เว่ยเหลียวคว้าจับขวานศึกของเขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บันทึกเป็นตายสามารถฉายทะลุทะลวงถึงน้ำพุเหลือง พวกเราจะไปซ่อนที่ไหนได้ ฮี่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้พวกแดนบาดาลพวกนี้เป็นคู่แค้นของเจ็ดดาวสวรรค์ทักษิณของพวกเรา! พวกเราได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง นับประสาอะไรกับที่จะต้องตายไปอีกหน”
ฉินมู่ขมวดคิ้วและกล่าว “ผู้บัญชาการแคว้นเว่ยเหลียว หากว่าโหลอวิ๋นชวีส่งพวกเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ ข้ายังคงมีหนทางลากพวกเจ้ากลับมา แต่ทว่า หากเขาส่งพวกเจ้าไปยังแดนบาดาล ข้าก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น รักษาขุนเขาไว้ย่อมไม่ไร้ฟืนไฟ โปรดไตร่ตรองอีกสามครา!”
ในตอนนั้นเอง ทุกคนก็เห็นแสงสว่างแปรเปลี่ยนไปอย่างฉวัดเฉวียน เห็นได้ชัดว่าบันทึกเป็นตายกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วยิ่งยวด ดูเหมือนว่าโหลอวิ๋นชวีกับคณะจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของมัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าพลานุภาพของบันทึกเป็นตายถูกกระจกสะท้อนออกไป
“ไม่มีที่ให้ถอยหนี ไฉนจะต้องถอยหนี”
เว่ยเหลียวนั้นกำลังจะพุ่งออกไปจากการคุ้มกันของกระจก แต่ทันใดนั้น เสียงอันคุ้นเคยก็ดังมา
“ผู้บัญชาการแคว้นไม่จำเป็นต้องสละชีพ จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็มีบันทึกเป็นตายไม่ใช่หรือ หากว่าเจ้าขับเคลื่อนบันทึกเป็นตาย ไม่ใช่ว่าก็จะสามารถหักล้างกับพลานุภาพของบันทึกเป็นตายของศัตรูหรอกหรือ”
ฉินมู่ลิงโลดยินดี และหันไปมองราชครูสันตินิรันดร์ที่เดินตรงมายังเขา เขานั้นดูเรียบง่ายสบายๆ ราวกับว่ากำลังวางแผนการรบในกระโจมทัพ
“ศิษย์น้องออกมาจากการเก็บตัวฝึกวิชาแล้วหรือ เจ้าไม่ได้ตายในสวรรค์หลัวฝูหรือ”
หัวใจว้าวุ่นของฉินมู่สงบลงเมื่อเห็นเขา เขารีบนำเอาบันทึกเป็นตายออกมาและถาม “อาจารย์อยู่ที่ไหน ทำไมเขาไม่ปรากฏมาพร้อมกับเจ้า หากว่าอาจารย์อยู่ที่นี่ เขาก็จะสามารถขับเคลื่อนพลานุภาพของบันทึกเป็นตาย…”
ราชครูสันตินิรันดร์รับบันทึกเป็นตายมา พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อาจารย์ยังคงมีเรื่องอื่นที่ต้องกระทำ แต่ทว่า ข้าก็รู้วิธีขับเคลื่อนบันทึกเป็นตาย”
พลังวัตรของเขาแผ่พุ่งไป และบันทึกเป็นตายก็คลี่ออก จอแสงสว่างไสวสาดส่องลงบนเว่ยเหลียวและโครงกระดูกเทพเจ้าทั้งหลายจากเบื้องบน “ศิษย์น้องสามารถเอากระจกออกได้แล้ว”
ฉินมู่ทั้งกระวนกระวายและเชื่อครึ่ง แต่เขาก็ยังให้ทุกคนนำกระจกลงมา เขาเห็นบันทึกเป็นตายอีกแผ่นพุ่งเข้ามา และก็มีแสงสาดส่องจากเบื้องบน แต่ทว่า เว่ยเหลียวและกองทัพปลอดภัยไร้อันตราย
ราชครูสันตินิรันดร์ได้ขับเคลื่อนพลานุภาพของบันทึกเป็นตาย สกัดขัดขวางพลานุภาพบันทึกเป็นตายของศัตรู!
บันทึกเป็นตายเป็นสมบัติวิเศษที่จักรพรรดิดำแดนบาดาลสร้างขึ้นมา ขนาดฉินมู่ก็ยังไม่สามารถใช้สอยพลานุภาพของมันได้มากมายนัก แต่หากว่าเขาต้องการจะทำ เขาก็จะต้องมีความเข้าใจอันลึกล้ำต่อวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของแดนบาดาล ฉินมู่นั้นไม่เคยเรียนทักษะเทวะและวิชาฝึกปรือของแดนบาดาลมาก่อน ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
เมื่อไหร่กันที่ราชครูสันตินิรันดร์ได้ไปเรียนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะแห่งแดนบาดาล
“ความรู้ของอาจารย์ลึกล้ำ และเขารู้วิธีควบคุมบันทึก”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าได้เรียนวิชาความรู้ทุกชนิด และติดตามเขาเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะเป็นเวลาสองปี ข้าสามารถตรึกตรองเข้าใจร้อยจากหนึ่ง และเชี่ยวชาญหนึ่งร้อยจากเชี่ยวชาญหนึ่ง การควบคุมบันทึกเป็นตายไม่ใช่เรื่องยาก”
บนท้องฟ้า มือใหญ่มหึมาหนึ่งพลันปรากฏและคว้าจับบันทึกเป็นตาย!
ฝ่ามือนั้นแกว่งไป ความมืดก็ก่อกำเนิด ห่อหุ้มบันทึกเป็นตาย ราวกับว่าบันทึกเป็นตายได้หลุดเข้าไปในอีกห้วงมิติหนึ่ง และไปยังกาลและอวกาศอื่น
ฉินมู่แตกตื่น “โหลอวิ๋นชวีได้ลงมือแล้ว พวกเขาหมายจะชิงบันทึกเป็นตายแผ่นนี้”
ฟิ้ววว
ราชครูสันตินิรันดร์แทงออกไป และแสงกระบี่เจิดจ้าก็แทงทะลวงเข้าไปในความมืด ฉินมู่กำลังอ้าปากจะพูดอะไร แต่ทันใดเขาก็เห็นแสงกระบี่เจิดจ้าแทงทะลุมือในความมืด แสงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์พลันสะบั้นนิ้วขาดไปหลายนิ้ว
มือมหึมาคว้าจับบันทึกเป็นตาย แต่ว่ามันไม่มีนิ้วอีกต่อไป จึงคว้าจับไม่ได้ ได้แต่รั้งกลับไปด้วยความเจ็บปวด
ราชครูสันตินิรันดร์เก็บกระบี่เข้าไปในฝัก และดูราวกับว่าเขามิได้ทำอะไรสักสิ่ง เขากล่าวต่อ “หากว่าเจ้ามองทะลุเวทมนตร์แห่งแดนใต้พิภพ เจ้าก็จะสามารถมองทะลุเวทมนตร์แห่งแดนบาล และแห่งยมโลกได้ เวทมนตร์ทั้งหมดมีทฤษฎีรากฐานของมันที่เรียกกันว่าเต๋า เมื่อเจ้าเข้าใจเต๋าภายใน และมองไปยังบันทึกเป็นตายอีกครั้ง ทุกอย่างก็จะกลายเป็นกระจ่างแจ้ง มันก็จะใช้สอยไม่ยากอีกต่อไป”
ฉินมู่ทึ่งใจอย่างไม่รู้จบ เป็นไปไม่ได้ที่กระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์จะแทงโดนฝ่ามืออันซ่อนอยู่ในแดนบาดาล แดนบาดาลอันห่อหุ้มไปด้วยปราณมารความมืดที่ฝ่ามือถูกตัดลงไป
เมื่อฉินมู่และศิษย์น้องของโหลอวิ๋นชวีต่อสู้กัน เขาก็ได้ค้นพบความพิลึกประหลาดของเวทมนตร์จากแดนบาดาลแล้ว โหลเชียนจ้งได้เอาชนะซวีเซิงฮวาด้วยวิธีนี้ ฉินมู่สามารถสังหารโหลเชียนจ้งได้ก็เพราะว่าเขาถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และสามารถเข้าไปในห้วงมิติแดนบาดาลที่ก่อขึ้นมาจากปราณมารของโหลเชียนจ้ง
กระบี่จากราชครูสันตินิรันดร์ไม่ใช่เวทมนตร์แดนใต้พิภพ แต่มันก็ยังสามารถแทงโดนฝ่ามือนั้น ดูท่าว่าสิ่งที่เขากล่าวจะเป็นเรื่องจริง และเขาก็ได้เข้าใจเต๋าภายในแล้ว เวทมนตร์แดนบาดาลจึงไม่ใช่เรื่องลี้ลับสำหรับเขาอีกต่อไป!
“ปฏิภาณความเข้าใจของเจ้าสูงขึ้นมาขนาดนี้ภายในเวลาเพียงแค่สองปี…”
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยความชื่นชมและพึมพำ “อาจารย์จะต้องมีความรู้มากมายแค่ไหนนะ ถึงทำให้เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ได้”
ผู้ใหญ่บ้านลอยเข้ามาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ราชครู ความสำเร็จเชิงกระบี่ของเจ้าได้เหนือล้ำกว่าข้าไปแล้ว”
ราชครูคารวะทักทาย “ท่านชมเกินไปแล้ว ศิษย์พี่”
ปราณชีวิตของผู้ใหญ่บ้านแปรเปลี่ยนเป็นแขนขาทั้งสี่ และเขาคารวะตอบไป “ศิษย์พี่”
ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาด้วยความตะลึงเกลื่อนไปหมด อันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นและกว้างขึ้น ในไม่ช้าก็กลายเป็นเสียงหัวเราะที่สุดจิตสุดใจเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ
ผู้ใหญ่บ้านก็หัวร่อด้วยเสียงอันดังด้วย
เสียงหัวเราะของกระบี่เทวะทั้งสองคนกึกก้องไปในวันสิ้นโลก เดินทางไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าของฟู่เอี๋ยนชีมืดคล้ำ และเขาชักมืออันเลอะเลือดของเขากลับมา จากนิ้วทั้งห้าของเขา เหลือเพียงนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น เมื่อครู่นี้ไม่ใช่โหลอวิ๋นชีที่ควบคุมบันทึกเป็นตาย แต่เป็นเขา
ทั้งสามคนได้รับการสั่งสอนจากจักรพรรดิดำมาคนละส่วน โหลอวิ๋นชวีสามารถกระตุ้นการทำงานของบันทึกเป็นตายเพื่อปลุกชีพให้กับคนตาย ต่อให้ภูติบดีคร่าดวงวิญญาณของพวกเขาไป เขาก็ยังสามารถแย่งชิงกลับมาด้วยกำลังด้วยบันทึกเป็นตายนี้
ในทางตรงข้าม ขุยชิงเผยสามารถควบคุมพลานุภาพการสังเวยโลหิตในบันทึกเป็นตาย สลายกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งหลายได้โดยตรง
ส่วนฟู่เอี๋ยนชีนั้น เขาสามารถควบคุมบันทึกเป็นตาย ให้เผาผลาญชีวิตของสิ่งเป็น ส่งพวกเขาเข้าไปในแดนบาดาล
แต่ทว่า เขาได้เผชิญกับราชครู ผู้ซึ่งลบล้างพลังนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงกะที่จะแย่งชิงบันทึกเป็นตายของฉินมู่มา เขาไม่คาดคิดเลยว่าทักษะเทวะของเขาจะถูกทำลาย และสูญเสียนิ้วไปสี่ข้างในท้ายที่สุด
ข้างๆ นั้น โหลอวิ๋นชวีรีบคว้าจับบันทึกเป็นตายแห่งแดนบาดาล ฉายส่องไปยังราชครูสันตินิรันดร์ หัวใจเขาสะท้านหวั่นไหวเล็กน้อย และกล่าวด้วยเสียงเบา “”ผู้นำการปฏิรูปสันตินิรันดร์ได้ปรากฏตัวแล้ว!
ฟู่เอี๋ยนชิงกัดฟันข่มความเจ็บ และมองไปที่บันทึกเป็นตาย เห็นชื่อหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้น