EP.198 เพลิงสวรรค์
ร่มมีขนาดไม่ใหญ่นัก ถังเสี่ยวซีจึงต้องเดินเบียดหลินมู่อวี่ เขาดูให้แน่ใจว่าร่มส่วนใหญ่อยู่ด้านเสี่ยวซี ดังนั้นอีกไม่นานเสื้อผ้าเขาคงต้องเปียกหมด
พื้นที่ภูเขารังอินทรีมีลักษณะดั่งชื่อของมัน มีหน้าผานับพัน และมียอดเขาที่ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา มันมีภูมิศาสตร์ที่คล้ายกับภูเขาหลงหยานของทหารรับจ้างมังกรผงาดมาก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือภูเขาหลงหยานมีบริเวณกว้างกว่าและจุคนได้มากกว่า
เสียงฟ้าคำรามดังมาแต่ไกลพร้อมเม็ดฝนที่ตกโปรยปราย
หลินมู่อวี่เอื้อมมือโอบไหล่ถังเสี่ยวซีอย่างแนบเนียน ทั้งสองเดินไปยังหน้าผาด้านข้างภูเขารังอินทรีและเหม่อมองออกไปด้านนอก เมืองหลันเยี่ยนสว่างไสวไปด้วยสายฟ้าพาดผ่าน และกลายเป็นภาพเบลอพลิ้วไหวไปตามแรงลมและสายฝน ถังเสี่ยวซีหันมองหลินมู่อวี่พร้อมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือที่โอบเธอไว้ก่อนจะหน้าแดงก่ำ ลักยิ้มปรากฏขึ้นขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่คิดเหมือนกันไหมว่า…บรรยากาศในตอนนี้มันดีมากเลย?”
“บรรยากาศดี?”
หลินมู่อวี่อดยิ้มไม่ได้ “สายฟ้าฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน อำนาจแห่งสวรรค์มิใช่เรื่องเล็ก ภูเขารังอินทรีเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นมีโอกาสบ่อยครั้งที่จะโดนฟ้าผ่า ซึ่งไม่ได้บรรยากาศดีแม้แต่น้อย…”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอ่านสถานการณ์ไม่เป็นจริงๆ…”
“หืม อะไรเหรอ?”
“เปล่า เจ้าจะไปตรวจค่ายหรือไม่?”
“ไม่ไป…ในเมื่อมีเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และเหล่าทหารยาม อีกทั้งหน้าผาที่นี่ก็ไม่ง่ายที่จะปีนขึ้นมา วางใจเถิด รังอินทรีนั้นปลอดภัย ทุกคนที่นี่ต่างอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คนจากจวนเสินโหวในรังอินทรีถูกข้าไล่ไปหมดแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ข้าจะยอมรับทหารที่รับใช้คนอื่นในสถานที่ของข้าได้อย่างไร? ข้ามิได้เหมือนกับฝ่าบาทที่สามารถอดทนกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”
ถังเสี่ยวซีตกตะลึงก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “ความจริงแล้ว…”
“ความจริงแล้วอะไรหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
ถังเสี่ยวซีไม่ได้กล่าวสิ่งใด เธอพลันเอื้อมมือโอบรอบเอวหลินมู่อวี่ก่อนจะซุกตัวในอ้อมแขนเขา ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกหนาวหรือด้วยสาเหตุใด ทว่าร่างกายของเธอสั่นเทิ้ม “ความจริงแล้วฝ่าบาทมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถนำออกมาเปิดเผยได้ เจ้ารู้หรือไม่อาอวี่? ราชาผู้ส่องแสงฉินจิ้น ที่มาของชื่อก็เนื่องจากฝ่าบาทปราบปรามการก่อกบฏ โดยสังหารศัตรูสามแสนคนทางเหนือ และอีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคนทางใต้จนเป็นที่รู้จักกันในนามราชาผู้ส่องแสง ทว่าแม่ทัพที่แท้จริงในการทำศึกเหล่านั้นคือเจิ้งอี้ฝาน…หรือที่รู้จักกันในนามเสินโหว!”
พูดจบเสี่ยวซีก็เม้มริมฝีปากและมองสายฟ้าแปลบปลาบในระยะไกล “เจิ้งอี้ฝานได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมพลถึงสองครั้ง และกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของทหารจักรวรรดิอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หลายปีมานี้องค์จักรพรรดิลดอำนาจของเจิ้งอี้ฝานจนก่อเกิดสถานการณ์ขัดแย้งในปัจจุบันนี้ จากเจ็ดหัวเมืองหลัก สามเมืองในนั้นคือ เมืองหลันเยี่ยน เมืองชีไห่ และเมืองหยาดสายัณห์นั้นขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ทว่าทหารจากอีกสี่เมืองสนับสนุนเจิ้งอี้ฝาน…และจากสิบสองเมืองรอง ห้าเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของเมืองหลวง ส่วนที่เหลือปกครองตนเอง ฝ่าบาทฉินจิ้นมีความเห็นไม่ตรงกับเจิ้งอี้ฝาน แต่ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านเขา!”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าเอือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวซีรู้มากกว่าที่ข้ารู้อีก…”
ถังเสี่ยวซีเผยยิ้ม “ข้าเติบโตในเมืองชีไห่และเคยได้ยินมาหลายเรื่องราว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะรู้มากกว่าเจ้า? กระนั้นสถานะของมู่มู่ก็แตกต่างจากตอนที่อยู่เมืองหยินซาน ตอนนี้เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามผู้บังคับบัญชาองครักษ์อวี้หลิน อีกทั้งเป็นผู้บัญชาการระดับสูงที่มีพลังอำนาจ เช่นนั้นคงมีบางสิ่งที่ต้องรู้ไว้ จริงสิ…ข้าจะให้แผนที่การกระจายอำนาจของกำลังทหารในสิบสองแผ่นดิน ไม่ช้าก็เร็วเจ้าควรเรียนรู้สิ่งนี้…”
“อื้ม ขอบคุณมากเสี่ยวซี”
หลินมู่เผยยิ้ม “น่าเสียดายที่สถานะของเสี่ยวซีนั้นสูงเกินไป มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าอยู่เคียงข้างในฐานะนายทหารนำทัพ”
เสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สถานะหรือ? ข้า…มิได้อยู่ในตำแหน่งสูงเลย ตราบใดที่มู่มู่ต้องการ ข้าจะอยู่ที่รังอินทรีกับเจ้าเอง จวนชีไห่นั้นน่าเบื่อมาก…หากพูดถึงสถานะแล้ว เสี่ยวอินมีสถานะที่สูงยิ่งกว่า และคงมาเป็นนายทหารนำทัพให้เจ้าไม่ได้”
“ใช่…”
หลินมู่อวี่พลันนึกถึงฉินอิน เธอเติบโตมาในตำหนักเจ๋อเทียน บางทีเธอคงรู้เรื่องความกดดันในแผ่นดินนี้ดียิ่งกว่าถังเสี่ยวซี เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินมู่อวี่ก็รีบเอ่ยถาม “เสี่ยวซี กองทหารของเมืองชีไห่อยู่ภายใต้การควบคุมของปู่ของเจ้าหรือก็คือชางหลานกง เช่นนั้นแล้ว…หากชางหลานกงเสียชีวิต ใครจะเป็นผู้ควบคุมกองทหารเหล่านั้นเหรอ? เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
ถังเสี่ยวซีส่ายหัว “ถึงกระนั้นข้าก็เป็นธิดา หากพวกเขามีทางเลือกอื่น ข้าก็คงไม่ได้ควบคุมกองทหาร อีกทั้งข้ามีเหล่าพี่ชายที่มีตำแหน่งสูงกว่า เช่นนั้นแล้วข้าจะควบคุมกองทหารได้อย่างไร…และข้าก็ไม่ได้สนใจมันนัก หรือว่าเจ้ากำลังบอกว่า…”
ดวงตาของเสี่ยวซีเบิกกว้าง “เจ้ากำลังบอกให้ข้าควบคุมเมืองชีไห่ใช่หรือไม่? เมื่อเป็นเช่นนั้น…ข้าจะลองดูแล้วกัน ท่านปู่ค่อนข้างตามใจข้าทีเดียว และหากสามารถกำจัดนิสัยเสียของตนเองออกไปได้ บางทีตำแหน่งผู้ปกครองเมืองชีไห่อาจถูกส่งมาให้ข้า?”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง “นั่น…ช่างมันเถิด ข้ามิต้องการให้เจ้าต้องเหนื่อยถึงเพียงนั้น อีกทั้งข้าก็พอใจมากแล้วกับการมีเจ้าอยู่เคียงข้าง หากเจ้าต้องกลับไปเมืองชีไห่และกลายเป็นผู้นำตระกูล เช่นนั้นคงเป็นการยากสำหรับข้าที่จะพบเจ้าในแต่ละครั้ง”
“ใช่ มู่มู่ฉลาดที่สุด!”
‘เปรี้ยง!’ ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงบนยอดเขาต่อหน้าพวกเขา จนทำให้ต้นสนลุกเป็นไฟ มีสายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบบนฟากฟ้าเป็นระยะ จากนั้นเปลวตรงหน้าก็ค่อยๆ แทรกซึมผ่านก้อนหิน ภายในพริบตาก้อนหินนั้นก็ละลาย!
“นั่น…”
หลินมู่อวี่เบิกตากว้าง “เปลวไฟนั่นละลายหินได้เหรอ?”
ถังเสี่ยวซีหรี่ตา “มันคือเพลิงสวรรค์…เพลิงสวรรค์ในตำนานสามารถเผาผลาญทุกสิ่งอย่าง ไม่คิดเลยว่ามันจะมาอยู่ที่นี่! มู่มู่รีบออกจากที่นี่เร็ว! หากเพลิงสวรรค์ลามมาถึงพวกเราคงไม่รอดแน่ แม้แต่ร่างจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน…”
“ไม่!”
หลินมู่อวี่นึกบางอย่างได้ “เสี่ยวซี เจ้ากลับไปรอข้าที่กระโจมก่อน ข้าต้องการเพลิงสวรรค์นี้!”
เพลิงสวรรค์เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีความร้อนยิ่งกว่าไฟหลอมโลกันตร์เสียอีก! นี่คือสิ่งที่หลินมู่อวี่กำลังต้องการที่สุดใช่หรือไม่?
ถังเสี่ยวซีมองท่าทางมุ่งมั่นของหลินมู่อวี่ เธอพลันกัดริมฝีปากแน่น “ก็ได้ หากมู่มู่ไม่ไป ข้าก็จะอยู่ที่นี่!”
“ไม่! เสี่ยวซีกลับไปซะ! มันอันตรายเกินไป”
“ฮึ่ม! มาดูกันว่าเจ้าจะกล้าบังคับข้าหรือไม่ ข้าเป็นถึงองค์หญิงนะ!” องค์หญิงผู้เลอโฉมเผยท่าทางไม่พอใจ
หลินมุ่อวี่พลันยักไหล่ “เอาล่ะ เช่นนั้นช่วยข้ากางร่มนี้ที ข้าจะหลอมเพลิงสวรรค์นี้!”
“อื้ม!”
ถังเสี่ยวซีรับร่มมาถือ ทว่าเนื่องจากส่วนสูงที่แตกต่างกัน เธอจึงต้องยืนเขย่ง
หลินมู่อวี่ไม่ได้สนใจฝนที่ตกหนัก เขารีบเดินเข้าไปยังบริเวณที่เพลิงสวรรค์ตกลงมา หลินมู่อวี่ยื่นมือออกไปพร้อมปลดปล่อยปราณยุทธ์ ทันใดนั้น! เกิดแสงสว่างเป็นรูปร่างติ่งหลอมยักษ์ล้อมรอบเพลิงสวรรค์ เขาพลันหลับตาลง การหลอมไฟชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลินมู่อวี่จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับอุณหภูมิและธรรมชาติของมัน ไฟหลอมโลกันตร์มีความรุนแรง ทว่าเพลิงสวรรค์นั้นเป็นเพลิงทำลายล้าง
‘วิ้ง วิ้ง วิ้ง…’
ติ่งหลอมยักษ์เริ่มสั่นช้าๆ ขณะที่เพลิงสวรรค์พยายามหลบหนีจากติ่งหลอมราวกับว่ามีมันสมอง หลินมู่อวี่จึงใช้ปราณยุทธ์ควบคุมเพลิงสวรรค์และทำให้มันยอมจำนนแต่โดยดี
…
สายลมยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บราวกับใบมีดเฉือนผิวหนัง ถังเสี่ยวซีตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีออกมา มันเกาะไหล่เสี่ยวซีเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเจ้านาย หลินมู่อวี่ยังคงตั้งสมาธิกับการหลอมเพลิงสวรรค์ ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงขณะที่ปราณยุทธ์โคจรอยู่รอบตัว ราวกับเทพสงครามกำลังฝึกตนอย่างสันโดษ
เมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวซีก็เผยยิ้ม การเฝ้ามองหลินมู่อวี่เช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอสุขใจ
กระบวนการหลอมใช้เวลาทั้งสิ้นเจ็ดชั่วโมง เมื่อเพลิงสวรรค์ได้รับการหลอมและทำให้เชื่อฟัง มันก็เป็นเวลารุ่งสางของอีกวันแล้ว ทว่าสายฝนที่เยือกเย็นยังคงตกอย่างต่อเนื่อง
หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างเชื่องช้าด้วยความโล่งอก ก่อนจะลืมตาขึ้นพบกับแสงแปลกประหลาดที่กระทบกับม่านตา เมื่อหันไปก็เห็นว่าเสี่ยวซีเกือบจะถูกแช่แข็งแล้ว! แม้แต่ผมยาวสลวยก็มีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่! เสี่ยวซีเบิกตามองดูหลินมู่อวี่อย่างเงียบงัน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่เสี่ยวซี?”
หัวใจของเขาเป็นกังวลอย่างมากขณะที่รีบพยุงเธอ “หนาวเกินไปหรือเปล่า?”
ถังเสี่ยวซีรู้สึกว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็น ก่อนจะพยักหน้า “อา…เจ้าไม่หนาวเลยหรือ เหตุใดร่างกายจึงยังอบอุ่นเช่นนี้…”
“เพราะข้าเป็นคนหนุ่มแข็งแรง!”
“อืม…”
“รีบกลับกันเถิด!”
“ได้สิ”
เมื่อกลับมาถึงกระโจม หลินมู่อวี่รีบสั่งเว่ยโฉวต้มน้ำเพื่อให้เสี่ยวซีอาบน้ำ อีกทั้งสั่งให้ต้มซุปโสมด้วย หลินมู่อวี่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เมื่อเสี่ยวซีอาบน้ำ กินข้าว และได้พักผ่อนเรียบร้อย หลินมู่อวี่ก็เดินเข้ามา
“เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม?” หลินมู่อวี่มองถังเสี่ยวซีที่นอนอยู่บนเตียง
ถังเสี่ยวซีพยักหน้าและยิ้มรับ “อื้ม ดีขึ้นมากแล้ว”
“ทหารของเจ้ารออยู่ที่ด้านนอก และพร้อมจะสังหารข้าทุกเมื่อหากไม่ปล่อยเจ้าไปกับพวกเขา…”
“ฮ่าๆ ปล่อยพวกเขาไปเถิด! มู่มู่ อย่าไปนะ อยู่กับข้าได้หรือไม่?”
“ได้สิ…”
หลินมู่อวี่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองดูถังเสี่ยวซีผล็อยหลับไป ก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานอีกครั้ง ใช่แล้ว…ตอนนี้เขาสามารถหลอมศิลากระด้างได้!
‘วิ้ง!’
ติ่งหลอมยักษ์ปรากฏขึ้นในกระโจม หลินมู่อวี่พลันยกมันขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและโยนเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ลงไป ทันใดนั้น! เปลวไฟหลอมชั้นที่หกเพลิงสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามา จากนั้นเหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ร้อนขึ้น จนผิวชั้นนอกเริ่มลอกออก ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ทำสำเร็จ!
เพลิงสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย พลังการหลอมของมันทรงพลังมากเมื่อเทียบกับไฟหลอมโลกันตร์!
หลังจากผ่านไปราวสองชั่วโมง เหล็กวิญญาณเก้าสวรรค์ก็ถูกหลอมจนกลายเป็นของเหลว จากนั้นหลินมู่อวี่หยิบศิลาวิญญาณงูมังกรอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีออกจากถุงสรรพสิ่งก่อนจะเริ่มหลอมมัน!
………………..…