เล่มที่ 7 บทที่ 207 เรื่องในอดีต

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“นายท่าน ท่านเคยกล่าวว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของฮองเฮามิใช่หรือ?”

เย่ไม่เคยคัดค้านคำสั่งของหลงเทียนอวี้มาก่อน แต่การตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

หากความเรื่องกลุ่มชิงเหมินแตก จะต้องไม่เป็นผลดีต่อท่านอ๋องอย่างแน่นอน

ฉะนั้นเย่ต้องทำงานอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด

“ที่เมื่อก่อนข้าไม่เข้าไปยุ่งก็เพราะฮองเฮายังคงทำอะไรอย่างมีขีดจำกัด แต่ตอนนี้นางกล้าลงมือกับหมู่เฟยของข้า หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าสักวันคนที่อยู่ข้างกายข้าคงถูกกำจัดไปจนหมด”

หลังจากได้สติกลับมา หลงเทียนอวี้สัมผัสได้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย

ตอนที่หมู่เฟยอยู่ในวัง ฮองเฮาจะต้องจับจุดอ่อนบางอย่างของนางได้อย่างแน่นอน

จากนั้นทั้งสองได้ทำข้อตกลงกัน นางจึงหันกลับมาเล่นงานหลินเมิ้งหยาเช่นนี้

ฉะนั้นเขาจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกนาง

“นายท่านกล่าวมีเหตุผล ตอนนี้ข้าน้อยได้ยินมาว่าช่วงนี้ไท่จื่อกำลังบูรณะวังหลวง ฮองเฮาเองก็สั่งให้นักบวชลัทธิเต๋ามาประสาทพรด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดของเย่ทำให้หลงเทียนอวี้ประหลาดใจ

ช่วงที่ผ่านมาไท่จื่อทำแต่เรื่องไร้ประโยชน์เสมอ ฮองเฮาต้องกริ้วมากอย่างแน่นอน

ซ่อมแซมวังหลวง…เป็นข้ออ้างที่ไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่

“เจ้าจงส่งคนไปจับตามองจวนของไท่จื่อ”

เมื่อออกจากอาณาเขตของฮองเฮา ไท่จื่อก็เป็นแต่เพียงนกปีกหักเท่านั้น

สงครามระหว่างเขาและฮองเฮาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

“เจ้าเด็กน้อย ค่ำคืนนี้ในตำหนักแห่งนั้นคึกคักเหลือเกิน”

ชิงหูยืนริมระเบียง เอนตัวพิงหน้าต่าง สนทนากับหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางสบายๆ

“ข้าพูดออกไปชัดเจนหมดแล้ว หากเขายังนิ่งเฉยนั่นสิจึงจะแปลก”

ด้านในหน้าต่าง หลินเมิ้งหยากำลังเรียนวิธีปักเย็บกับป๋ายจี ทุกครั้งที่เข็มกับด้ายอยู่ในมือของป๋ายจี มันดูราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง แต่เมื่ออยู่ในมือของนาง มันไม่ต่างอะไรกับม้าดีดกะโหลก

แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่างานฝีมือเหล่านี้ทำให้สมาธิของนางดีขึ้น

“จะว่าเช่นนั้นก็ใช่ แต่ว่า…เจ้าเด็กน้อย กลุ่มสามสหายของเรารวบรวมคนได้มากพอสมควรแล้ว เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักจะไปดูสักหน่อยหรือไม่?”

นางเงยหน้าขึ้น มองรอยยิ้มของชิงหู

ก็จริง นางควรเปิดเผยตัวตนเพื่อให้พวกเจียงหูเกิดความมั่นใจ

“ได้ เช่นนั้นข้าจะลองหาเวลาว่างดู รอฟังคำสั่งจากข้าแล้วกัน”

หลังออกจากตำหนักหยาเสวียนในคืนนั้น พระสนมเต๋อเฟยโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก

หลายวันมานี้อ้างว่าเจ็บป่วยจึงไม่ยอมให้ใครพบหน้า แม้แต่เจียงหรูฉินจอมหยิ่งยโสยังสงบเสงี่ยมมากขึ้น

อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ

ทุกตำหนักล้วนจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น ส่วนบริเวณสวนของหลินเมิ้งหยา ไม่รู้ว่าชิงหูกับหลินจงอวี้ใช้วิธีการใด ดอกไม้ของนางจึงยังคงบานสะพรั่ง

กิ่งไม้แห้งสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีของดอกไม้ทำให้ดูแปลกตา

ป๋ายจีที่สวมชุดสีชมพูกลับวิ่งเข้ามาในตำหนักด้วยความร้อนใจ

ปลดผ้าคลุมออก กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลมาจากร่าง

ป๋ายจื่อกับป๋ายซูกำลังเล่นไพ่ด้วยกันบนตั่ง ชิงหูกับหลินจงอวี้อยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือกำลังแข่งกันวาดภาพเหมือนของหลินเมิ้งหยา

มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้

“นายหญิง นี่คือเงินที่ท่านพ่อข้านำมาส่งเจ้าค่ะ ท่านบอกว่ารายได้เดือนนี้ไม่น้อยเลย แต่ร้านขายยารอบๆ มักจะเข้ามาหาเรื่องเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยารับเงินจากมือป๋ายจี แล้วหัวเราะด้วยความดีใจ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เงินเหล่านี้เป็นเงินก้อนแรกที่นางหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงในสมัยโบราณแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงดีใจเหลือเกิน

“มาหาเรื่องนั้นยังไม่เป็นไร ขอเพียงใช้หลักทหารสกัดนายพล ดินสกัดน้ำก็เพียงพอ จริงสิ พ่อกับแม่เจ้าได้เก็บเอาไว้บางส่วนหรือไม่?”

ป๋ายจียิ้มแล้วพยักหน้า เกรงว่าแม้แต่ท่านพ่อเองก็คงคิดไม่ถึงว่า แม้จะแจกจ่ายยาฟรีหรือลดราคายาไปกึ่งหนึ่งแล้วจะยังมีรายได้มากมายเช่นนี้

“จริงสิ ตอนนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงวันงานฤดูหนาวแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียม เตรียมพร้อมหมดแล้วหรือไม่?”

พ่อบ้านเติ้งเขียนรายการทุกอย่างที่ต้องเตรียมมาให้แล้ว

สาวใช้ของนางมีความละเอียดรอบคอบและมีความสามารถ ดังนั้นจึงเตรียมของเกือบครบแล้ว

ตอนนี้รอเพียงให้ท่านอ๋องและพระชายาไปไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นค่อยจัดอะไรอีกเล็กน้อยที่จวนก็เป็นอันเสร็จ

“ไปเถิด วันนี้ข้าอารมณ์ดี พวกเราออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันดีกว่า”

ทุกคนรีบวางงานในมือลง ก่อนจะคล้องแขนหลินเมิ้งหยาออกจากจวน

“นายหญิง ป๋ายซ่าวไม่อยู่อีกแล้วหรือเจ้าคะ?”

ขณะที่ทุกคนไม่สังเกตเห็น ป๋ายจีแอบถามหลินเมิ้งหยา

หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น กวาดสายตามองก่อนจะเอ่ย

“คงยุ่งเรื่องเตรียมงานนั่นแหละ งานของนางยุ่งมากเป็นพิเศษ”

อันที่จริง นางเองก็ไม่ได้เห็นหน้าป๋ายซ่าวมาหลายวันแล้ว

ดูเหมือนนางจะยุ่งมากจริงๆ

“อีกเดี๋ยวหากซื้ออะไรมาก็เก็บไว้ให้นางด้วยชุดหนึ่งแล้วกัน”

ป๋ายจีพยักหน้ารับอย่างลังเล แม้นายหญิงจะสั่งเช่นนี้แต่นางก็อดที่จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้

หวังว่าป๋ายซ่าวจะไม่ทรยศหักหลังนายหญิง

ทั้งหมดพากันออกจากจวน เหตุเพราะใกล้ถึงวันงานเทศกาลแล้ว ดังนั้นของซื้อของขายบนถนนจึงมีค่อนข้างมาก

ภายในรถม้ากว้างขวางคันนี้มีเตาผิงอยู่ อากาศจึงอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

มองดูด้านนอกผ่านหน้าต่าง นางยอมอยู่ในรถม้าเพราะไม่อยากลงไปเบียดเสียดกับคนด้านนอก

“พวกเจ้าลงไปกันเถิด ข้าขออ่านหนังสืออยู่ที่นี่ดีกว่า”

นับตั้งแต่วันที่ฤดูหนาวมาเยือน ร่างกายของนางอิดโรยมากขึ้นเรื่อยๆ

ทุกวันหากไม่นอนพักผ่อน ก็มักจะขดตัวอยู่ภายในห้อง เหตุเพราะอากาศหนาวเย็นที่ด้านนอก

ครุ่นคิด ชาติที่แล้วนางเกิดในเมืองทางตอนใต้

นางจึงยังไม่ชินกับสภาพอากาศสี่ฤดูในเมืองหลวงแห่งนี้

“พี่สาว เช่นนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่ก็แล้วกัน”

ชิงหูต้องออกไปคุ้มกันหญิงสาวทั้งสามตามคำสั่งของหลินเมิ้งหยา

จึงเหลือเพียงหลินจงอวี้อยู่เป็นเพื่อนหลินเมิ้งหยา

“ได้สิ แต่เจ้าไม่เบื่อหรือ?”

เงยหน้า มองดูหนุ่มน้อย

นับตั้งแต่วันที่นางรับเขาเข้ามา เขาสูงและหล่อเหลาขึ้นมาก

มือนุ่มนิ่มลูบไล้ใบหน้าของเขา ผิวพรรณของเขาเนียนละเอียดเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

“เฮ้อ เจ้านี่หนา หากโตกว่านี้ไม่รู้ว่าจะดึงดูดความสนใจจากพวกสาวเล็กสาวใหญ่มากขนาดไหน ไม่รู้ว่าเงินสินสอดที่ข้าเตรียมเอาไว้แต่งภรรยาให้เจ้าจะพอหรือไม่”

หลินจงอวี้จับมือหลินเมิ้งหยาเอาไว้ แต่เขากลับพบว่ามือของนางเย็นเฉียบ เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

ชิงหูเคยบอกเขาว่าหัวใจของนางถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงทรมานมากในฤดูหนาว

ใช้มือหนาของตนกุมมือเล็กของพี่สาวเอาไว้เพื่อส่งผ่านความอบอุ่น ร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา

“พี่สาว ท่านจะทิ้งข้าไปหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาหัวเราะ แต่พยักหน้า

“สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัว พี่สาวจะขอผู้หญิงให้เจ้าแต่งงาน จากนั้นเจ้าจงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

ช่วงนี้มักมีเสียงคนทะเลาะกันดังออกมาจากห้องของหลินจงอวี้

แม้พวกเขาจะพยายามกดเสียงให้เบาลง แต่หลินเมิ้งหยากลับได้ยินอยู่หลายครั้ง

หนุ่มน้อยเติบโตแล้ว แต่นางกลับขลุกอยู่ในตำหนักของตนเองทุกวัน บางทีนางอาจทำให้เขาเสียโอกาสที่จะโบยบิน

ทว่าเมื่อนางนึกถึงคุณชายผู้มากับดอกกุหลาบซินหลีขึ้นมา นางอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้

หาก…หากเจ้าคนอำมหิตนั่นลงมือทำร้ายเสี่ยวอวี้ขึ้นมา มิรู้ว่าเสี่ยวอวี้จะหนีพ้นหรือไม่

“ข้าไม่อยากจากพี่สาวไป ข้าไม่อยากออกไปสร้างตัวอะไรทั้งสิ้น”

คิ้วของหลินจงอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น ส่งเสียงพึมพำ

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ? เสี่ยวอวี้ เมื่อก่อนข้าไม่เคยเค้นถามเจ้าเลยสักครั้ง แต่ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้ากำลังเจอเรื่องยุ่งยากอยู่ใช่หรือไม่?”

หลินจงอวี้อยากปฏิเสธ แต่แววตาของหลินเมิ้งหยามองทะลุทุกสิ่ง

เขาไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับพี่สาวได้อีกแล้ว

“ข้า…พวกเขาอยากให้ข้าไปกับพวกเขา ข้าไม่ยอม ก็เลย…”

หลินจงอวี้ก้มหน้างุด เขากลัวว่าพี่สาวจะต่อว่า

ทว่าคิ้วของหลินเมิ้งหยากลับขมวดเข้าหากันแน่น ซินหลีกำลังจับตามองเสี่ยวอวี้อยู่

แต่เพราะช่วงนี้เขายังกลัว จึงไม่ได้ลงมือก็เท่านั้น

แม้คนกลุ่มนั้นจะปกป้องเสี่ยวอวี้ได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต

ดูเหมือนนางจะต้องหาโอกาสคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังเสี่ยวอวี้สักครั้งแล้ว

“คิดจะพาเจ้าไป พวกเขาต้องได้รับอนุญาตจากข้าก่อน อย่ากลัวไปเลย พี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง เจ้าลองหาโอกาสให้ข้าได้คุยกับพวกเขาหน่อยได้หรือไม่?”

ในที่สุดดวงตาอำมหิตของหลินจงอวี้ก็จางหายไป

นับตั้งแต่วันที่เขาได้เจอกับพี่สาว เขายังไม่เคยเห็นพี่สาวจัดการปัญหาใดไม่ได้เลย

พยักหน้า หวังว่าพี่สาวจะพูดโน้มน้าวตาแก่นั่นได้

“ดี เจ้าอย่ากังวลไป เจ้ายังมีข้าอยู่”

ภายในรถม้า หลินจงอวี้ที่คลายความกดดันลงแล้วกำลังพูดคุยหยอกล้อกับหลินเมิ้งหยา

รถม้าจอดอยู่ข้างทาง เหตุเพราะคนขับรถไปทำธุระส่วนตัว ดังนั้นภายในรถม้าจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน

“พี่สาว มีคนกำลังมาที่นี่ แถมเป็นพวกมีวิทยายุทธ์ด้วย”

จู่ๆ หลินจงอวี้ก็ยื่นนิ้วขึ้นแนบปากเพื่อไม่ให้หลินเมิ้งหยาส่งเสียง

ชั่วขณะที่ทั้งคู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน พวกเขาหดตัวเข้าหามุมหนึ่งของรถม้าและไม่ยอมส่งเสียง

“ฮือ…โอ๊ย…”

จู่ๆ เสียงร้องพลันดังขึ้นที่ด้านนอก หลินเมิ้งหยาแอบแหวกผ้าม่านข้างหน้าต่างออกดู

นางเห็นชายร่างกำยำห้าคนอุ้มเด็กคนหนึ่งเอาไว้

เด็กคนนั้นอายุราวห้าหกขวบ เห็นได้ชัดว่ากำลังตกใจกลัว

พยายามดิ้น ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา

“พวกเขา…พวกเขาคือกลุ่มหลิวเย่! ตอนแรกพวกเขาก็แย่งข้ามาแบบนี้”

หลินจงอวี้ร้องออกมาด้วยความโกรธ เมื่อได้เจอกับศัตรูเก่า ดวงตาของเขาจึงแดงก่ำ

ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะร้องห้าม หลินจงอวี้ก็พุ่งตัวออกไปแล้ว

“ระวังตัวด้วย”

ทำได้เพียงส่งเสียงกำชับเขา เสี่ยวอวี้เป็นคนฉลาด เขาจึงเข้าโจมตีชายที่หันหลังให้

ผลปรากฏว่าเสี่ยวอวี้ต่อยตีกับพวกเขาจนในที่สุดเด็กน้อยที่ถูกจับก็ดิ้นหนีมาได้

เด็กน้อยผู้น่าสงสารถูกเขาอุ้มกลับมายังรถม้าของหลินเมิ้งหยา

เด็กน้อยกำลังหวาดผวา เขาเอาแต่ร้องไห้ หดตัวลง ไม่กล้าเข้าใกล้หลินเมิ้งหยา