“นายท่าน ท่านเคยกล่าวว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของฮองเฮามิใช่หรือ?”
เย่ไม่เคยคัดค้านคำสั่งของหลงเทียนอวี้มาก่อน แต่การตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
หากความเรื่องกลุ่มชิงเหมินแตก จะต้องไม่เป็นผลดีต่อท่านอ๋องอย่างแน่นอน
ฉะนั้นเย่ต้องทำงานอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด
“ที่เมื่อก่อนข้าไม่เข้าไปยุ่งก็เพราะฮองเฮายังคงทำอะไรอย่างมีขีดจำกัด แต่ตอนนี้นางกล้าลงมือกับหมู่เฟยของข้า หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าสักวันคนที่อยู่ข้างกายข้าคงถูกกำจัดไปจนหมด”
หลังจากได้สติกลับมา หลงเทียนอวี้สัมผัสได้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย
ตอนที่หมู่เฟยอยู่ในวัง ฮองเฮาจะต้องจับจุดอ่อนบางอย่างของนางได้อย่างแน่นอน
จากนั้นทั้งสองได้ทำข้อตกลงกัน นางจึงหันกลับมาเล่นงานหลินเมิ้งหยาเช่นนี้
ฉะนั้นเขาจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกนาง
“นายท่านกล่าวมีเหตุผล ตอนนี้ข้าน้อยได้ยินมาว่าช่วงนี้ไท่จื่อกำลังบูรณะวังหลวง ฮองเฮาเองก็สั่งให้นักบวชลัทธิเต๋ามาประสาทพรด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเย่ทำให้หลงเทียนอวี้ประหลาดใจ
ช่วงที่ผ่านมาไท่จื่อทำแต่เรื่องไร้ประโยชน์เสมอ ฮองเฮาต้องกริ้วมากอย่างแน่นอน
ซ่อมแซมวังหลวง…เป็นข้ออ้างที่ไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าฮองเฮากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
“เจ้าจงส่งคนไปจับตามองจวนของไท่จื่อ”
เมื่อออกจากอาณาเขตของฮองเฮา ไท่จื่อก็เป็นแต่เพียงนกปีกหักเท่านั้น
สงครามระหว่างเขาและฮองเฮาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
“เจ้าเด็กน้อย ค่ำคืนนี้ในตำหนักแห่งนั้นคึกคักเหลือเกิน”
ชิงหูยืนริมระเบียง เอนตัวพิงหน้าต่าง สนทนากับหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางสบายๆ
“ข้าพูดออกไปชัดเจนหมดแล้ว หากเขายังนิ่งเฉยนั่นสิจึงจะแปลก”
ด้านในหน้าต่าง หลินเมิ้งหยากำลังเรียนวิธีปักเย็บกับป๋ายจี ทุกครั้งที่เข็มกับด้ายอยู่ในมือของป๋ายจี มันดูราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง แต่เมื่ออยู่ในมือของนาง มันไม่ต่างอะไรกับม้าดีดกะโหลก
แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่างานฝีมือเหล่านี้ทำให้สมาธิของนางดีขึ้น
“จะว่าเช่นนั้นก็ใช่ แต่ว่า…เจ้าเด็กน้อย กลุ่มสามสหายของเรารวบรวมคนได้มากพอสมควรแล้ว เจ้าที่เป็นเจ้าสำนักจะไปดูสักหน่อยหรือไม่?”
นางเงยหน้าขึ้น มองรอยยิ้มของชิงหู
ก็จริง นางควรเปิดเผยตัวตนเพื่อให้พวกเจียงหูเกิดความมั่นใจ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะลองหาเวลาว่างดู รอฟังคำสั่งจากข้าแล้วกัน”
หลังออกจากตำหนักหยาเสวียนในคืนนั้น พระสนมเต๋อเฟยโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
หลายวันมานี้อ้างว่าเจ็บป่วยจึงไม่ยอมให้ใครพบหน้า แม้แต่เจียงหรูฉินจอมหยิ่งยโสยังสงบเสงี่ยมมากขึ้น
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
ทุกตำหนักล้วนจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น ส่วนบริเวณสวนของหลินเมิ้งหยา ไม่รู้ว่าชิงหูกับหลินจงอวี้ใช้วิธีการใด ดอกไม้ของนางจึงยังคงบานสะพรั่ง
กิ่งไม้แห้งสีน้ำตาลเข้มตัดกับสีของดอกไม้ทำให้ดูแปลกตา
ป๋ายจีที่สวมชุดสีชมพูกลับวิ่งเข้ามาในตำหนักด้วยความร้อนใจ
ปลดผ้าคลุมออก กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลมาจากร่าง
ป๋ายจื่อกับป๋ายซูกำลังเล่นไพ่ด้วยกันบนตั่ง ชิงหูกับหลินจงอวี้อยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือกำลังแข่งกันวาดภาพเหมือนของหลินเมิ้งหยา
มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้
“นายหญิง นี่คือเงินที่ท่านพ่อข้านำมาส่งเจ้าค่ะ ท่านบอกว่ารายได้เดือนนี้ไม่น้อยเลย แต่ร้านขายยารอบๆ มักจะเข้ามาหาเรื่องเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยารับเงินจากมือป๋ายจี แล้วหัวเราะด้วยความดีใจ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เงินเหล่านี้เป็นเงินก้อนแรกที่นางหาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงในสมัยโบราณแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงดีใจเหลือเกิน
“มาหาเรื่องนั้นยังไม่เป็นไร ขอเพียงใช้หลักทหารสกัดนายพล ดินสกัดน้ำก็เพียงพอ จริงสิ พ่อกับแม่เจ้าได้เก็บเอาไว้บางส่วนหรือไม่?”
ป๋ายจียิ้มแล้วพยักหน้า เกรงว่าแม้แต่ท่านพ่อเองก็คงคิดไม่ถึงว่า แม้จะแจกจ่ายยาฟรีหรือลดราคายาไปกึ่งหนึ่งแล้วจะยังมีรายได้มากมายเช่นนี้
“จริงสิ ตอนนี้ใกล้เข้าสู่ช่วงวันงานฤดูหนาวแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียม เตรียมพร้อมหมดแล้วหรือไม่?”
พ่อบ้านเติ้งเขียนรายการทุกอย่างที่ต้องเตรียมมาให้แล้ว
สาวใช้ของนางมีความละเอียดรอบคอบและมีความสามารถ ดังนั้นจึงเตรียมของเกือบครบแล้ว
ตอนนี้รอเพียงให้ท่านอ๋องและพระชายาไปไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นค่อยจัดอะไรอีกเล็กน้อยที่จวนก็เป็นอันเสร็จ
“ไปเถิด วันนี้ข้าอารมณ์ดี พวกเราออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันดีกว่า”
ทุกคนรีบวางงานในมือลง ก่อนจะคล้องแขนหลินเมิ้งหยาออกจากจวน
“นายหญิง ป๋ายซ่าวไม่อยู่อีกแล้วหรือเจ้าคะ?”
ขณะที่ทุกคนไม่สังเกตเห็น ป๋ายจีแอบถามหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น กวาดสายตามองก่อนจะเอ่ย
“คงยุ่งเรื่องเตรียมงานนั่นแหละ งานของนางยุ่งมากเป็นพิเศษ”
อันที่จริง นางเองก็ไม่ได้เห็นหน้าป๋ายซ่าวมาหลายวันแล้ว
ดูเหมือนนางจะยุ่งมากจริงๆ
“อีกเดี๋ยวหากซื้ออะไรมาก็เก็บไว้ให้นางด้วยชุดหนึ่งแล้วกัน”
ป๋ายจีพยักหน้ารับอย่างลังเล แม้นายหญิงจะสั่งเช่นนี้แต่นางก็อดที่จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่ได้
หวังว่าป๋ายซ่าวจะไม่ทรยศหักหลังนายหญิง
ทั้งหมดพากันออกจากจวน เหตุเพราะใกล้ถึงวันงานเทศกาลแล้ว ดังนั้นของซื้อของขายบนถนนจึงมีค่อนข้างมาก
ภายในรถม้ากว้างขวางคันนี้มีเตาผิงอยู่ อากาศจึงอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
มองดูด้านนอกผ่านหน้าต่าง นางยอมอยู่ในรถม้าเพราะไม่อยากลงไปเบียดเสียดกับคนด้านนอก
“พวกเจ้าลงไปกันเถิด ข้าขออ่านหนังสืออยู่ที่นี่ดีกว่า”
นับตั้งแต่วันที่ฤดูหนาวมาเยือน ร่างกายของนางอิดโรยมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันหากไม่นอนพักผ่อน ก็มักจะขดตัวอยู่ภายในห้อง เหตุเพราะอากาศหนาวเย็นที่ด้านนอก
ครุ่นคิด ชาติที่แล้วนางเกิดในเมืองทางตอนใต้
นางจึงยังไม่ชินกับสภาพอากาศสี่ฤดูในเมืองหลวงแห่งนี้
“พี่สาว เช่นนั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่ก็แล้วกัน”
ชิงหูต้องออกไปคุ้มกันหญิงสาวทั้งสามตามคำสั่งของหลินเมิ้งหยา
จึงเหลือเพียงหลินจงอวี้อยู่เป็นเพื่อนหลินเมิ้งหยา
“ได้สิ แต่เจ้าไม่เบื่อหรือ?”
เงยหน้า มองดูหนุ่มน้อย
นับตั้งแต่วันที่นางรับเขาเข้ามา เขาสูงและหล่อเหลาขึ้นมาก
มือนุ่มนิ่มลูบไล้ใบหน้าของเขา ผิวพรรณของเขาเนียนละเอียดเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก
“เฮ้อ เจ้านี่หนา หากโตกว่านี้ไม่รู้ว่าจะดึงดูดความสนใจจากพวกสาวเล็กสาวใหญ่มากขนาดไหน ไม่รู้ว่าเงินสินสอดที่ข้าเตรียมเอาไว้แต่งภรรยาให้เจ้าจะพอหรือไม่”
หลินจงอวี้จับมือหลินเมิ้งหยาเอาไว้ แต่เขากลับพบว่ามือของนางเย็นเฉียบ เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
ชิงหูเคยบอกเขาว่าหัวใจของนางถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงทรมานมากในฤดูหนาว
ใช้มือหนาของตนกุมมือเล็กของพี่สาวเอาไว้เพื่อส่งผ่านความอบอุ่น ร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา
“พี่สาว ท่านจะทิ้งข้าไปหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ แต่พยักหน้า
“สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัว พี่สาวจะขอผู้หญิงให้เจ้าแต่งงาน จากนั้นเจ้าจงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
ช่วงนี้มักมีเสียงคนทะเลาะกันดังออกมาจากห้องของหลินจงอวี้
แม้พวกเขาจะพยายามกดเสียงให้เบาลง แต่หลินเมิ้งหยากลับได้ยินอยู่หลายครั้ง
หนุ่มน้อยเติบโตแล้ว แต่นางกลับขลุกอยู่ในตำหนักของตนเองทุกวัน บางทีนางอาจทำให้เขาเสียโอกาสที่จะโบยบิน
ทว่าเมื่อนางนึกถึงคุณชายผู้มากับดอกกุหลาบซินหลีขึ้นมา นางอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
หาก…หากเจ้าคนอำมหิตนั่นลงมือทำร้ายเสี่ยวอวี้ขึ้นมา มิรู้ว่าเสี่ยวอวี้จะหนีพ้นหรือไม่
“ข้าไม่อยากจากพี่สาวไป ข้าไม่อยากออกไปสร้างตัวอะไรทั้งสิ้น”
คิ้วของหลินจงอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น ส่งเสียงพึมพำ
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ? เสี่ยวอวี้ เมื่อก่อนข้าไม่เคยเค้นถามเจ้าเลยสักครั้ง แต่ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้ากำลังเจอเรื่องยุ่งยากอยู่ใช่หรือไม่?”
หลินจงอวี้อยากปฏิเสธ แต่แววตาของหลินเมิ้งหยามองทะลุทุกสิ่ง
เขาไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับพี่สาวได้อีกแล้ว
“ข้า…พวกเขาอยากให้ข้าไปกับพวกเขา ข้าไม่ยอม ก็เลย…”
หลินจงอวี้ก้มหน้างุด เขากลัวว่าพี่สาวจะต่อว่า
ทว่าคิ้วของหลินเมิ้งหยากลับขมวดเข้าหากันแน่น ซินหลีกำลังจับตามองเสี่ยวอวี้อยู่
แต่เพราะช่วงนี้เขายังกลัว จึงไม่ได้ลงมือก็เท่านั้น
แม้คนกลุ่มนั้นจะปกป้องเสี่ยวอวี้ได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต
ดูเหมือนนางจะต้องหาโอกาสคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังเสี่ยวอวี้สักครั้งแล้ว
“คิดจะพาเจ้าไป พวกเขาต้องได้รับอนุญาตจากข้าก่อน อย่ากลัวไปเลย พี่สาวจะปกป้องเจ้าเอง เจ้าลองหาโอกาสให้ข้าได้คุยกับพวกเขาหน่อยได้หรือไม่?”
ในที่สุดดวงตาอำมหิตของหลินจงอวี้ก็จางหายไป
นับตั้งแต่วันที่เขาได้เจอกับพี่สาว เขายังไม่เคยเห็นพี่สาวจัดการปัญหาใดไม่ได้เลย
พยักหน้า หวังว่าพี่สาวจะพูดโน้มน้าวตาแก่นั่นได้
“ดี เจ้าอย่ากังวลไป เจ้ายังมีข้าอยู่”
ภายในรถม้า หลินจงอวี้ที่คลายความกดดันลงแล้วกำลังพูดคุยหยอกล้อกับหลินเมิ้งหยา
รถม้าจอดอยู่ข้างทาง เหตุเพราะคนขับรถไปทำธุระส่วนตัว ดังนั้นภายในรถม้าจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน
“พี่สาว มีคนกำลังมาที่นี่ แถมเป็นพวกมีวิทยายุทธ์ด้วย”
จู่ๆ หลินจงอวี้ก็ยื่นนิ้วขึ้นแนบปากเพื่อไม่ให้หลินเมิ้งหยาส่งเสียง
ชั่วขณะที่ทั้งคู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน พวกเขาหดตัวเข้าหามุมหนึ่งของรถม้าและไม่ยอมส่งเสียง
“ฮือ…โอ๊ย…”
จู่ๆ เสียงร้องพลันดังขึ้นที่ด้านนอก หลินเมิ้งหยาแอบแหวกผ้าม่านข้างหน้าต่างออกดู
นางเห็นชายร่างกำยำห้าคนอุ้มเด็กคนหนึ่งเอาไว้
เด็กคนนั้นอายุราวห้าหกขวบ เห็นได้ชัดว่ากำลังตกใจกลัว
พยายามดิ้น ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา
“พวกเขา…พวกเขาคือกลุ่มหลิวเย่! ตอนแรกพวกเขาก็แย่งข้ามาแบบนี้”
หลินจงอวี้ร้องออกมาด้วยความโกรธ เมื่อได้เจอกับศัตรูเก่า ดวงตาของเขาจึงแดงก่ำ
ยังไม่ทันที่หลินเมิ้งหยาจะร้องห้าม หลินจงอวี้ก็พุ่งตัวออกไปแล้ว
“ระวังตัวด้วย”
ทำได้เพียงส่งเสียงกำชับเขา เสี่ยวอวี้เป็นคนฉลาด เขาจึงเข้าโจมตีชายที่หันหลังให้
ผลปรากฏว่าเสี่ยวอวี้ต่อยตีกับพวกเขาจนในที่สุดเด็กน้อยที่ถูกจับก็ดิ้นหนีมาได้
เด็กน้อยผู้น่าสงสารถูกเขาอุ้มกลับมายังรถม้าของหลินเมิ้งหยา
เด็กน้อยกำลังหวาดผวา เขาเอาแต่ร้องไห้ หดตัวลง ไม่กล้าเข้าใกล้หลินเมิ้งหยา