เหตุใดเขาจึงเชื่อใจนางเช่นนี้?
หลินเมิ้งหยาชะงักขณะมองหน้าหลงเทียนอวี้ ราวกับไม่กล้าเชื่อในคำพูดของเขา
“แม้หมู่เฟยจะมีความคิดของนางเอง แต่ตอนนี้ข้าโตแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้นางตัดสินใจแทน”
ความเสียใจที่ไม่เคยแสดงออกให้เห็นมาก่อนปรากฏขึ้นในแววตาของหลงเทียนอวี้
ชีวิตในวังตลอดหลายปีที่ผ่านมีหมู่เฟยคอยประคับประคอง ดังนั้นเขาจึงมีทุกวันนี้
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หมู่เฟยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
เขาอดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้
“ท่านอ๋องเคยคิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ พระสนมเต๋อเฟยจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้?”
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยถามตรงประเด็น
“หมู่เฟยนาง…อาจเพราะน้าจิ่นเยว่กระมัง..”
หลงเทียนอวี้ลังเล ทว่าเขาเองก็รู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“ไม่ใช่เพียงแค่พระสนมเต๋อเฟยกับท่านอ๋องที่เสียใจกับการตายของน้าจิ่นเยว่ หม่อมฉันเองก็เจ็บปวดใจไม่แพ้กัน แต่อุปนิสัยของเหนียงเหนียงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนก่อนเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าท่านอ๋องเองก็รู้สึกได้ เพียงแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น”
หากพูดถึงขนาดนี้แล้วหลงเทียนอวี้ยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาก็ไม่รู้จะต้องพูดเช่นไรอีก
“หรือว่าหมู่เฟย…”
เหมือนว่าการกระตุ้นจะสำเร็จ เขาหันไปมองหลินเมิ้งหยา พูดจาอ้ำอึ้ง
“นับตั้งแต่ตอนที่ฮองเฮารับสั่งให้หมู่เฟยอยู่ก่อน หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาไม่มีหลักฐาน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น สายตาสับสนจ้องมองไปทางตำหนักหยาเสวียน
แน่นอนว่าคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนหมู่เฟยได้คือคนที่อยู่ในวังคนนั้น
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ควรตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง หม่อมฉันกลับตำหนักเองได้ พระองค์ระวังด้วยนะเพคะ”
เรื่องของพระสนมเต๋อเฟยเป็นเรื่องของครอบครัวหลงเทียนอวี้
หลินเมิ้งหยาไม่อยากถลำลึกเข้าไป หลงเทียนอวี้มีความหยิ่งทะนงในตนเอง นางเองก็มีแผนการของตนเองเช่นกัน
หลงเทียนอวี้ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักหยาเสวียน มองตามร่างบางที่เดินหายลับไป ความเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
“เย่ จงเรียกรวมพล ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยตรวจสอบอะไรบางอย่าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงขานรับดังขึ้นกลางอากาศ
สายตาหันมองทางพระราชวัง
แผนการดึงฟืนออกจากใต้หม้อ ฮองเฮาโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
เมื่อเดินกลับมายังตำหนักหลิวซินก็พบว่าสาวใช้ทั้งสี่ยังคงตื่นอยู่ พวกนางกำลังนั่งล้อมวงอยู่กับชิงหูและหลินจงอวี้
เมื่อเห็นคนทั้งหกเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจของหลินเมิ้งหยา
นั่งอยู่บนศาลา มองดูพระจันทร์บนท้องฟ้า
ชีวิตในจวนอวี้ แม้จะสุขสบายแต่กลับเหนื่อยเหลือเกิน
แต่เพื่อเหล่าผู้คนที่นางรัก ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะทำ
“นภามืดมิดเย็นยะเยือกดั่งสายน้ำ เหตุใดคนงามจึงอยู่เพียงลำพัง?”
เสียงของหยุนจู๋ดังขึ้นที่ด้านหลังของนาง
ผินหน้ากลับไป หลินเมิ้งหยาเห็นเป็นใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามกว่าครั้งก่อนที่เคยเจอ
หากมิใช่เพราะยังมีริ้วรอยและผิวหนังหย่อนคล้อยในบางส่วน อีกทั้งกรอบหน้าด้านขวาล่างมีรอยแผลอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้านี้จะต้องงดงามเกินพรรณนาอย่างแน่นอน
“ข้าคงมิอาจเอื้อมรับบทคนงาม แต่ข้าคิดว่าเจ้ากำลังจะกลายเป็นคนงามในอีกไม่ช้า”
หยุนจู๋มักไปๆ มาๆ ที่นี่เสมอ แม้คนนอกจะไม่รู้แต่คนในตำหนักนี้เห็นนางจนชินแล้ว
แตกต่างจากเมื่อก่อนที่หยุนจู๋มักจะสวมใส่ชุดและผ้าคลุมหน้าสีดำ วันนี้นางแต่งตัวอย่างดงาม
แม้แต่ปิ่นปักผมลายก้อนเมฆเองก็งดงามหรูหรา
สาวงามบางคน แม้จะไม่ได้เห็นหน้าแต่พิศมองจากการแต่งตัวก็รู้สึกได้ถึงความสวยสะคราญ
หยุนจู๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คิก คิก เจ้าสำนักตลกเหลือเกิน ข้าเป็นเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น แค่ท่านไม่รังเกียจก็เพียงพอแล้ว”
นางเยื้องกรายเข้ามาหาหลินเมิ้งหยา ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
วันเวลาที่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ผ้าคลุมหน้า วันเวลาที่ไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะกลัวตัวเอง ช่างเป็นวันเวลาที่สุขสราญเหลือเกิน
ฉะนั้นหยุนจู๋จึงรู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยามาก
“หญิงงามทางตอนใต้มีใบหน้างดงามดั่งลูกท้อ เจ้าชอบดอกท้อหรือไม่?”
จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้ ผินหน้าไปถามหยุนจู๋
อีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้ม
แม้ว่าใบหน้าจะยังไม่กลับมางดงามดั่งลูกท้อ ทว่าดวงตาเป็นประกายวับวามคู่นั้นงดงามมีเสน่ห์ดึงดูด
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ที่เป็นคนทะนงตนจึงยอมสละชีวิตของตนเองทั้งชีวิตเพื่อหญิงสาวตรงหน้า
เพื่อประกายในดวงตาของนาง เท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้อบอุ่นใจไปทั้งชีวิต
มิอาจพรรณนาความรู้สึกเหล่านั้นได้ทั้งหมด ขนาดนางที่เป็นผู้หญิงยังอดที่จะใจเต้นไม่ได้
หากได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวงดงามอันดับหนึ่งในเวลานั้น มิรู้ว่าจะรู้สึกใจเต้นมากมายขนาดไหน
“ตอนที่ข้าอายุแปดขวบ มีคนทำนายดวงชะตาให้แก่ข้า เขาบอกว่าชีวิตของข้าจะต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะความรัก ดูเหมือนท่านผู้นั้นจะพูดเอาไว้ไม่ผิด”
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่เห็นคุณค่าในตนเองจากน้ำเสียงของหยุนจู๋
หลุบตา มองดูมือขาวนวลของตนเอง
“เช่นนั้นข้าสักดอกท้อไว้บนใบหน้าของเจ้าให้ สนใจหรือไม่?”
ชาติก่อน เพื่อนของนางคนหนึ่งสักรูปดอกกุหลาบไว้ที่กลางหน้าอก
ต่อมานางจึงได้รู้ว่า หญิงสาวที่มักจะหัวเราะแจ่มใสอยู่เสมอเคยคิดฆ่าตัวตายมาก่อน
ผลจากการช่วยชีวิตคือรอยแผลเป็นบนหน้าอก
ต่อมาเพื่อนคนนั้นก้าวพ้นพันธนาการของตนเองได้ รอยสักรูปดอกกุหลาบจึงเปรียบเสมือนพลังใจ
หากใบหน้างดงามของหยุนจู๋ต้องมีรอยแผลเป็น เช่นนั้นก็น่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้น นางหวังว่าสักวันหนึ่งหยุนจู๋จะสามารถละทิ้งความโกรธแค้นในความรักไปได้
“ก็ได้ เจ้ามักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ข้าชอบเจ้าได้อย่างไร เพราะเหตุนี้สินะ เจ้าบ้านั่นถึงยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์”
หยุนจู๋ลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ก่อนจะแสดงความเห็นด้วย
“เขาเป็นฝ่ายขอร้องข้าต่างหาก มิเช่นนั้นข้าจะยอมไปเป็นลูกศิษย์เขาหรือ?”
หลินเมิ้งหยาตั้งใจพูดถึงอาจารย์ของตนเองด้วยท่าทางประหนึ่งว่า “อันที่จริงนางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขา” ก่อนจะโบกมือไปมา
“นิสัยเช่นนี้ของเจ้าจะต้องทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งปรี๊ดอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า หยุนจู๋พูดถูก
นับตั้งแต่วันที่เขารับนางเป็นศิษย์ ท่านอาจารย์มักจะถลึงตาใส่นาง อีกทั้งยังพูดอีกว่าจะทำให้นางอายุสั้นลง
ช่วยไม่ได้ เขาแก่แล้ว อารมณ์จึงขึ้นๆ ลงๆ
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กคนนี้นี่ น่ารักเหลือเกิน การที่เขามีลูกศิษย์เช่นเจ้าได้ นั่นแสดงว่าเขามีคนที่จะสืบทอดวิชาต่อแล้ว”
แม้แต่หลินเมิ้งหยายังคิดไม่ถึงว่าหยุนจู๋จะเอ่ยถึงอาจารย์ขึ้นมาเอง
ตอนแรกนางคิดว่าพวกเขาทั้งคู่จะไม่ญาติดีกันไปตลอดชีวิตเสียแล้ว
“เจ้ายังโกรธอาจารย์หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเลียบๆ เคียงๆ ถาม สีหน้าของหยุนจู๋สับสน
ท้ายที่สุดนางก็ส่ายหน้า
“ข้ามิอาจปล่อยวางเรื่องในอดีตได้ บางทีอาจเพราะพิษในร่าง ดังนั้นข้าจึงเสมือนตกอยู่ในฝันร้าย มีเพียงความแค้นเท่านั้นที่ทำให้ข้ายังคงสติอยู่ ทว่าตอนนี้ข้ามิได้เกลียดเขามากขนาดนั้นแล้ว จะว่ารักก็ไม่ใช่ เกลียดก็ไม่เชิง ที่ผ่านมาล้วนเป็นความหลงใหล ความรักที่ผ่านมาทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว”
หลินเมิ้งหยาพิศมองหยุนจู๋ อันที่จริงนางรู้สึกว่าหยุนจู๋กับอาจารย์เป็นคนประเภทเดียวกัน
พวกเขาล้วนมีความหยิ่งทะนงในตนเอง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นคนมีพรสวรรค์ที่ทำให้ผู้อื่นให้ความเคารพ
อีกทั้งยังยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อความรัก
แม้กระทั่งตอนนี้ก็มิได้หมายความว่าหมดรักแล้ว แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะทอดทิ้งความรักนี้ไป
บางทีพวกเขาอาจซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ
บางทีนี่อาจเป็นความรักอย่างหนึ่ง
“เท่าที่ข้ารู้จักอาจารย์ บางทีตอนแรกอาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เขา…”
หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกว่าควรจะโน้มน้าวทั้งคู่ให้แก้ปมในใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าหยุนจู๋จะพูดขัดขึ้น
“อย่าพูดอีกเลย ตอนแรกมันอาจเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านมานานแล้ว ความเข้าใจผิดกลับกลายเป็นเรื่องจริง ข้าใช้เวลานานหลายปีกว่าจะยอมรับความจริงได้ ข้าไม่อยากใช้เวลาอีกหลายปีในการทำใจยอมรับผลลัพธ์อื่นอีกหรอก จงกลับไปบอกอาจารย์ของเจ้าเถิด ข้าไม่โกรธเขาแล้ว”
ความใจกว้างของหยุนจู๋อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลินเมิ้งหยา
คำว่าให้อภัยเพียงคำเดียว แต่กลับช้าไปนานหลายปี ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์รอคอยคำคำนี้มานานเพียงไหน
“วางใจเถิด ข้าจะไปบอกเขาเอง”
เมื่อได้ยินคำมั่นจากหลินเมิ้งหยา หยุนจู๋พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวแล้วหายไปในความมืด
“พี่สาวมานี่เร็วเข้า ป๋ายจื่อขี้โกง ไม่ยอมให้เงินข้า”
ภายในห้อง จู่ๆ หลินจงอวี้ก็ร้องออกมา
ด้านหลัง ป๋ายจื่อส่งเสียงขุ่นเคืองตามออกมา
“ข้าโกงเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้ากับพี่ป๋ายซ่าวร่วมมือกันฉกเงินจากทุกคน นายหญิง ท่านรีบมาตัดสินให้ความเป็นธรรมแก่พวกข้าเถิด”
ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักด้วยท่าทางสบายใจ
ค่ำคืนนี้ดีจริงเชียว ได้ชมหมู่มวลบุปผาท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง
เมื่อเทียบกับตำหนักหลิวซินแล้ว บรรยากาศภายในตำหนักฉินหวู่กำลังกดดัน
เงาดำมากมายผุดขึ้นทั่วทั้งบริเวณของสวนในตำหนักฉินหวู่
แม้จะมีคนมากมายในตำหนักฉินหวู่ ทว่ากลับไร้ซึ่งสุ่มเสียง มีเพียงความเงียบสงัด
ภายในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้ยืนทอดสายตาไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เย่เสมือนคนไร้เลือดเนื้อหรือหัวใจ ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังหลงเทียนอวี้
“ทูลท่านอ๋อง ชิงเหมินสามกลุ่ม รวมแล้วสิบหกคนมาครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องเสด็จ”
พยักหน้าลง หลงเทียนอวี้หยัดกาย ก่อนจะเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ
ด้านนอก แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อย ทว่าพวกเขายืนกันอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่เสียงลมหายใจยังแทบจะไม่ได้ยิน
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าต้องการให้พวกเจ้าวางงานทุกอย่างในมือแล้วตรวจสอบกำลังทั้งหมดของฮองเฮา จำเอาไว้ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ข้าต้องการทุกรายละเอียด เข้าใจหรือไม่?”
ไม่มีเสียงตอบรับ พวกเขาคุกเข่าลงพื้นแทนคำตอบ
“ดี ออกไปได้”
สิ้นเสียงคำสั่งของหลงเทียนอวี้ เงาดำเหล่านั้นต่างหายลับไปในความมืด
สายลมยามค่ำคืนพัดกระทบร่าง ดวงตาของหลงเทียนอวี้สุขุมเย็นชาจนยากเกินคาดเดา