เล่มที่ 7 บทที่ 206 บุปผางามพระจันทร์เต็มดวง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เหตุใดเขาจึงเชื่อใจนางเช่นนี้?

หลินเมิ้งหยาชะงักขณะมองหน้าหลงเทียนอวี้ ราวกับไม่กล้าเชื่อในคำพูดของเขา

“แม้หมู่เฟยจะมีความคิดของนางเอง แต่ตอนนี้ข้าโตแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องให้นางตัดสินใจแทน”

ความเสียใจที่ไม่เคยแสดงออกให้เห็นมาก่อนปรากฏขึ้นในแววตาของหลงเทียนอวี้

ชีวิตในวังตลอดหลายปีที่ผ่านมีหมู่เฟยคอยประคับประคอง ดังนั้นเขาจึงมีทุกวันนี้

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หมู่เฟยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก

เขาอดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้

“ท่านอ๋องเคยคิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ พระสนมเต๋อเฟยจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้?”

หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยถามตรงประเด็น

“หมู่เฟยนาง…อาจเพราะน้าจิ่นเยว่กระมัง..”

หลงเทียนอวี้ลังเล ทว่าเขาเองก็รู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

“ไม่ใช่เพียงแค่พระสนมเต๋อเฟยกับท่านอ๋องที่เสียใจกับการตายของน้าจิ่นเยว่ หม่อมฉันเองก็เจ็บปวดใจไม่แพ้กัน แต่อุปนิสัยของเหนียงเหนียงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนก่อนเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าท่านอ๋องเองก็รู้สึกได้ เพียงแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น”

หากพูดถึงขนาดนี้แล้วหลงเทียนอวี้ยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาก็ไม่รู้จะต้องพูดเช่นไรอีก

“หรือว่าหมู่เฟย…”

เหมือนว่าการกระตุ้นจะสำเร็จ เขาหันไปมองหลินเมิ้งหยา พูดจาอ้ำอึ้ง

“นับตั้งแต่ตอนที่ฮองเฮารับสั่งให้หมู่เฟยอยู่ก่อน หม่อมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาไม่มีหลักฐาน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น สายตาสับสนจ้องมองไปทางตำหนักหยาเสวียน

แน่นอนว่าคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนหมู่เฟยได้คือคนที่อยู่ในวังคนนั้น

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ควรตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง หม่อมฉันกลับตำหนักเองได้ พระองค์ระวังด้วยนะเพคะ”

เรื่องของพระสนมเต๋อเฟยเป็นเรื่องของครอบครัวหลงเทียนอวี้

หลินเมิ้งหยาไม่อยากถลำลึกเข้าไป หลงเทียนอวี้มีความหยิ่งทะนงในตนเอง นางเองก็มีแผนการของตนเองเช่นกัน

หลงเทียนอวี้ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักหยาเสวียน มองตามร่างบางที่เดินหายลับไป ความเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง

“เย่ จงเรียกรวมพล ข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยตรวจสอบอะไรบางอย่าง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงขานรับดังขึ้นกลางอากาศ

สายตาหันมองทางพระราชวัง

แผนการดึงฟืนออกจากใต้หม้อ ฮองเฮาโหดเหี้ยมยิ่งนัก!

เมื่อเดินกลับมายังตำหนักหลิวซินก็พบว่าสาวใช้ทั้งสี่ยังคงตื่นอยู่ พวกนางกำลังนั่งล้อมวงอยู่กับชิงหูและหลินจงอวี้

เมื่อเห็นคนทั้งหกเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจของหลินเมิ้งหยา

นั่งอยู่บนศาลา มองดูพระจันทร์บนท้องฟ้า

ชีวิตในจวนอวี้ แม้จะสุขสบายแต่กลับเหนื่อยเหลือเกิน

แต่เพื่อเหล่าผู้คนที่นางรัก ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ นางก็จะทำ

“นภามืดมิดเย็นยะเยือกดั่งสายน้ำ เหตุใดคนงามจึงอยู่เพียงลำพัง?”

เสียงของหยุนจู๋ดังขึ้นที่ด้านหลังของนาง

ผินหน้ากลับไป หลินเมิ้งหยาเห็นเป็นใบหน้าเรียวเล็กที่งดงามกว่าครั้งก่อนที่เคยเจอ

หากมิใช่เพราะยังมีริ้วรอยและผิวหนังหย่อนคล้อยในบางส่วน อีกทั้งกรอบหน้าด้านขวาล่างมีรอยแผลอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้านี้จะต้องงดงามเกินพรรณนาอย่างแน่นอน

“ข้าคงมิอาจเอื้อมรับบทคนงาม แต่ข้าคิดว่าเจ้ากำลังจะกลายเป็นคนงามในอีกไม่ช้า”

หยุนจู๋มักไปๆ มาๆ ที่นี่เสมอ แม้คนนอกจะไม่รู้แต่คนในตำหนักนี้เห็นนางจนชินแล้ว

แตกต่างจากเมื่อก่อนที่หยุนจู๋มักจะสวมใส่ชุดและผ้าคลุมหน้าสีดำ วันนี้นางแต่งตัวอย่างดงาม

แม้แต่ปิ่นปักผมลายก้อนเมฆเองก็งดงามหรูหรา

สาวงามบางคน แม้จะไม่ได้เห็นหน้าแต่พิศมองจากการแต่งตัวก็รู้สึกได้ถึงความสวยสะคราญ

หยุนจู๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“คิก คิก เจ้าสำนักตลกเหลือเกิน ข้าเป็นเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น แค่ท่านไม่รังเกียจก็เพียงพอแล้ว”

นางเยื้องกรายเข้ามาหาหลินเมิ้งหยา ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

วันเวลาที่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ผ้าคลุมหน้า วันเวลาที่ไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะกลัวตัวเอง ช่างเป็นวันเวลาที่สุขสราญเหลือเกิน

ฉะนั้นหยุนจู๋จึงรู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยามาก

“หญิงงามทางตอนใต้มีใบหน้างดงามดั่งลูกท้อ เจ้าชอบดอกท้อหรือไม่?”

จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้ ผินหน้าไปถามหยุนจู๋

อีกฝ่ายชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้ม

แม้ว่าใบหน้าจะยังไม่กลับมางดงามดั่งลูกท้อ ทว่าดวงตาเป็นประกายวับวามคู่นั้นงดงามมีเสน่ห์ดึงดูด

ตอนนี้หลินเมิ้งหยาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ที่เป็นคนทะนงตนจึงยอมสละชีวิตของตนเองทั้งชีวิตเพื่อหญิงสาวตรงหน้า

เพื่อประกายในดวงตาของนาง เท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้อบอุ่นใจไปทั้งชีวิต

มิอาจพรรณนาความรู้สึกเหล่านั้นได้ทั้งหมด ขนาดนางที่เป็นผู้หญิงยังอดที่จะใจเต้นไม่ได้

หากได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวงดงามอันดับหนึ่งในเวลานั้น มิรู้ว่าจะรู้สึกใจเต้นมากมายขนาดไหน

“ตอนที่ข้าอายุแปดขวบ มีคนทำนายดวงชะตาให้แก่ข้า เขาบอกว่าชีวิตของข้าจะต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะความรัก ดูเหมือนท่านผู้นั้นจะพูดเอาไว้ไม่ผิด”

หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่เห็นคุณค่าในตนเองจากน้ำเสียงของหยุนจู๋

หลุบตา มองดูมือขาวนวลของตนเอง

“เช่นนั้นข้าสักดอกท้อไว้บนใบหน้าของเจ้าให้ สนใจหรือไม่?”

ชาติก่อน เพื่อนของนางคนหนึ่งสักรูปดอกกุหลาบไว้ที่กลางหน้าอก

ต่อมานางจึงได้รู้ว่า หญิงสาวที่มักจะหัวเราะแจ่มใสอยู่เสมอเคยคิดฆ่าตัวตายมาก่อน

ผลจากการช่วยชีวิตคือรอยแผลเป็นบนหน้าอก

ต่อมาเพื่อนคนนั้นก้าวพ้นพันธนาการของตนเองได้ รอยสักรูปดอกกุหลาบจึงเปรียบเสมือนพลังใจ

หากใบหน้างดงามของหยุนจู๋ต้องมีรอยแผลเป็น เช่นนั้นก็น่าเสียดาย

ยิ่งไปกว่านั้น นางหวังว่าสักวันหนึ่งหยุนจู๋จะสามารถละทิ้งความโกรธแค้นในความรักไปได้

“ก็ได้ เจ้ามักทำให้ข้าประหลาดใจเสมอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ข้าชอบเจ้าได้อย่างไร เพราะเหตุนี้สินะ เจ้าบ้านั่นถึงยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์”

หยุนจู๋ลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ก่อนจะแสดงความเห็นด้วย

“เขาเป็นฝ่ายขอร้องข้าต่างหาก มิเช่นนั้นข้าจะยอมไปเป็นลูกศิษย์เขาหรือ?”

หลินเมิ้งหยาตั้งใจพูดถึงอาจารย์ของตนเองด้วยท่าทางประหนึ่งว่า “อันที่จริงนางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขา” ก่อนจะโบกมือไปมา

“นิสัยเช่นนี้ของเจ้าจะต้องทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งปรี๊ดอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า หยุนจู๋พูดถูก

นับตั้งแต่วันที่เขารับนางเป็นศิษย์ ท่านอาจารย์มักจะถลึงตาใส่นาง อีกทั้งยังพูดอีกว่าจะทำให้นางอายุสั้นลง

ช่วยไม่ได้ เขาแก่แล้ว อารมณ์จึงขึ้นๆ ลงๆ

“ฮ่าๆ เจ้าเด็กคนนี้นี่ น่ารักเหลือเกิน การที่เขามีลูกศิษย์เช่นเจ้าได้ นั่นแสดงว่าเขามีคนที่จะสืบทอดวิชาต่อแล้ว”

แม้แต่หลินเมิ้งหยายังคิดไม่ถึงว่าหยุนจู๋จะเอ่ยถึงอาจารย์ขึ้นมาเอง

ตอนแรกนางคิดว่าพวกเขาทั้งคู่จะไม่ญาติดีกันไปตลอดชีวิตเสียแล้ว

“เจ้ายังโกรธอาจารย์หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาเลียบๆ เคียงๆ ถาม สีหน้าของหยุนจู๋สับสน

ท้ายที่สุดนางก็ส่ายหน้า

“ข้ามิอาจปล่อยวางเรื่องในอดีตได้ บางทีอาจเพราะพิษในร่าง ดังนั้นข้าจึงเสมือนตกอยู่ในฝันร้าย มีเพียงความแค้นเท่านั้นที่ทำให้ข้ายังคงสติอยู่ ทว่าตอนนี้ข้ามิได้เกลียดเขามากขนาดนั้นแล้ว จะว่ารักก็ไม่ใช่ เกลียดก็ไม่เชิง ที่ผ่านมาล้วนเป็นความหลงใหล ความรักที่ผ่านมาทำให้ข้ารู้สึกว่าข้าได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว”

หลินเมิ้งหยาพิศมองหยุนจู๋ อันที่จริงนางรู้สึกว่าหยุนจู๋กับอาจารย์เป็นคนประเภทเดียวกัน

พวกเขาล้วนมีความหยิ่งทะนงในตนเอง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นคนมีพรสวรรค์ที่ทำให้ผู้อื่นให้ความเคารพ

อีกทั้งยังยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อความรัก

แม้กระทั่งตอนนี้ก็มิได้หมายความว่าหมดรักแล้ว แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะทอดทิ้งความรักนี้ไป

บางทีพวกเขาอาจซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ

บางทีนี่อาจเป็นความรักอย่างหนึ่ง

“เท่าที่ข้ารู้จักอาจารย์ บางทีตอนแรกอาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เขา…”

หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกว่าควรจะโน้มน้าวทั้งคู่ให้แก้ปมในใจ

คิดไม่ถึงเลยว่าหยุนจู๋จะพูดขัดขึ้น

“อย่าพูดอีกเลย ตอนแรกมันอาจเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่ถึงกระนั้นก็ผ่านมานานแล้ว ความเข้าใจผิดกลับกลายเป็นเรื่องจริง ข้าใช้เวลานานหลายปีกว่าจะยอมรับความจริงได้ ข้าไม่อยากใช้เวลาอีกหลายปีในการทำใจยอมรับผลลัพธ์อื่นอีกหรอก จงกลับไปบอกอาจารย์ของเจ้าเถิด ข้าไม่โกรธเขาแล้ว”

ความใจกว้างของหยุนจู๋อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลินเมิ้งหยา

คำว่าให้อภัยเพียงคำเดียว แต่กลับช้าไปนานหลายปี ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์รอคอยคำคำนี้มานานเพียงไหน

“วางใจเถิด ข้าจะไปบอกเขาเอง”

เมื่อได้ยินคำมั่นจากหลินเมิ้งหยา หยุนจู๋พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวแล้วหายไปในความมืด

“พี่สาวมานี่เร็วเข้า ป๋ายจื่อขี้โกง ไม่ยอมให้เงินข้า”

ภายในห้อง จู่ๆ หลินจงอวี้ก็ร้องออกมา

ด้านหลัง ป๋ายจื่อส่งเสียงขุ่นเคืองตามออกมา

“ข้าโกงเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้ากับพี่ป๋ายซ่าวร่วมมือกันฉกเงินจากทุกคน นายหญิง ท่านรีบมาตัดสินให้ความเป็นธรรมแก่พวกข้าเถิด”

ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักด้วยท่าทางสบายใจ

ค่ำคืนนี้ดีจริงเชียว ได้ชมหมู่มวลบุปผาท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง

เมื่อเทียบกับตำหนักหลิวซินแล้ว บรรยากาศภายในตำหนักฉินหวู่กำลังกดดัน

เงาดำมากมายผุดขึ้นทั่วทั้งบริเวณของสวนในตำหนักฉินหวู่

แม้จะมีคนมากมายในตำหนักฉินหวู่ ทว่ากลับไร้ซึ่งสุ่มเสียง มีเพียงความเงียบสงัด

ภายในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้ยืนทอดสายตาไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เย่เสมือนคนไร้เลือดเนื้อหรือหัวใจ ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังหลงเทียนอวี้

“ทูลท่านอ๋อง ชิงเหมินสามกลุ่ม รวมแล้วสิบหกคนมาครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องเสด็จ”

พยักหน้าลง หลงเทียนอวี้หยัดกาย ก่อนจะเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ

ด้านนอก แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อย ทว่าพวกเขายืนกันอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่เสียงลมหายใจยังแทบจะไม่ได้ยิน

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าต้องการให้พวกเจ้าวางงานทุกอย่างในมือแล้วตรวจสอบกำลังทั้งหมดของฮองเฮา จำเอาไว้ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ข้าต้องการทุกรายละเอียด เข้าใจหรือไม่?”

ไม่มีเสียงตอบรับ พวกเขาคุกเข่าลงพื้นแทนคำตอบ

“ดี ออกไปได้”

สิ้นเสียงคำสั่งของหลงเทียนอวี้ เงาดำเหล่านั้นต่างหายลับไปในความมืด

สายลมยามค่ำคืนพัดกระทบร่าง ดวงตาของหลงเทียนอวี้สุขุมเย็นชาจนยากเกินคาดเดา