“อันที่จริงฉินเอ๋อร์กับเจ้านับว่ามีชะตาต้องกัน เปิ่นกงพานางมาอยู่ข้างกายตั้งแต่นางยังเล็ก ซ้ำนางยังเป็นเพื่อนในวัยเยาว์ของอวี้เอ๋อร์ ทั้งคนในจวนและนอกจวนต่างรู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี แต่อยู่ๆ ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับอวี้เอ๋อร์และฉินเอ๋อร์ออกมาเช่นนี้ เปิ่นกงเห็นว่าคงมิเป็นการดีนัก”
พระสนมเต๋อเฟยแสดงท่าทางเสียใจ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ในเมื่อพระสนมเต๋อเฟยเอ่ยปากเช่นนี้ หลินเมิ้งหยามิอาจแสร้งโง่ต่อไปได้
“หมู่เฟยหมายความว่าหม่อมฉันต้องดูแลคนในจวนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น จะได้มิต้องพูดจาเหลวไหลจนทำให้น้องหรูฉินต้องเสียใจใช่หรือไม่เพคะ”
สิ้นเสียงหลินเมิ้งหยา เจียงหรูฉินก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมาทันที
“ท่านป้า ฉินเอ๋อร์ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเจ้าค่ะ บ้านของฉินเอ๋อร์ให้ความสำคัญเรื่องชื่อเสียงหน้าตาเป็นอย่างมาก ทว่าวันนี้กลับมีข่าวลือเสียๆ หายๆ ร่ำลือออกมา เช่นนั้นฉินเอ๋อร์จะทำเช่นไร?”
ตอนนี้เจียงหรูฉินหยิบยกความตายขึ้นมาขู่ หลินเมิ้งหยาพอจะเข้าใจวัตถุประสงค์ของการแสดงในคราวนี้แล้ว
ข่าวลือเสียหายที่ว่าคงหมายถึงเรื่องที่เจียงหรูฉินเสียความบริสุทธิ์ให้แก่หลงเทียนอวี้แล้ว
แม้ข้าวสารจะยังไม่ทันหุงเป็นข้าวสุก แต่เมื่อพวกนางปล่อยข่าวลือเช่นนี้ออกไปแล้ว เกรงว่าทุกคนคงคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าหลงเทียนอวี้กับเจียงหรูฉินมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ หญิงสาวที่สวมใส่เพียงผ้าโปร่งน้อยชิ้นไปยั่วยวนผู้ชายถึงที่ยังจะต้องเกรงข่าวลือใดๆ อีกหรือ?
ดูเหมือนหลงเทียนอวี้จะไม่ติดเบ็ด นางจึงมาร้องคร่ำครวญอยู่ที่นี่
พระสนมเต๋อเฟยนี่หนา นางต้องลำบากทั้งกายทั้งใจเพื่อผลักดันผู้หญิงคนหนึ่งให้ขึ้นไปนอนร่วมเตียงกับลูกชายของตนเอง
“น้องหรูฉินอย่าได้เอาความตายมาล้อเล่นเช่นนี้เลย หากชื่อเสียงของเจ้าป่นปี้จริง การออกบวชเป็นแม่ชีก็นับว่าเป็นวิธีที่ไม่เลว น้องหรูฉินคงกำลังทุกข์ระทมขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้ข้าจะมีอำนาจในการดูแลจวนแห่งนี้ ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นคนที่ต้องตัดสินใจคือท่านอ๋อง เพราะท่านอ๋องต่างหากที่เป็นเจ้าบ้านที่แท้จริง เช่นนั้นน้องหรูฉินไปพูดกับท่านอ๋องด้วยตัวเองเถิด”
ริมฝีปากแดงของหลินเมิ้งหยาส่งเสียงเจื้อยแจ้วชัดเจน
หากคิดจะเข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ นางต้องได้รับอนุญาตจากหลงเทียนอวี้ก่อน
มิเช่นนั้นก็อย่าฝัน
“พี่สะใภ้ไม่คิดจะยอมรับข้าใช่หรือไม่?”
หลังจากร้องห่มร้องไห้อยู่นาน ในที่สุดเจียงหรูฉินก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
จ้องหน้าหลินเมิ้งหยาเขม็ง ราวกับว่านางสามารถพุ่งตัวเข้ามาจับหลินเมิ้งหยาเคี้ยวกลืนได้ทุกเมื่อ
“ข้ายอมรับเจ้าหรือไม่นั้นอยู่ที่การตัดสินใจของท่านอ๋อง น้องหรูฉิน ข้าขอแนะนำให้เจ้ารักตัวเองให้มากกว่านี้”
หลินเมิ้งหยามิใช่พระโพธิสัตว์ หลังจากได้เห็นท่าทางของเจียงหรูฉินแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเหือดหายไป
“เมิ้งหยา วันนี้เจ้าออกไปข้างนอกทั้งวันใช่หรือไม่? ออกไปทำอะไรอย่างนั้นหรือ ลองเล่าให้เปิ่นกงฟังหน่อยจะเป็นไร?”
อยู่ๆ พระสนมเต๋อเฟยก็เอ่ยเปลี่ยนเรื่อง บรรยากาศในตำหนักพลันกดดันขึ้นทันที
นางตกตะลึง หรือเรื่องกลุ่มสามสหายจะแตกแล้ว?
นางข่มความตื่นตระหนกลง หลินเมิ้งหยาไม่พูดอะไร แต่รอให้พระสนมเต๋อเฟยเป็นคนเปรยออกมาก่อน
“เจ้าเป็นถึงพระชายา แต่กลับออกไปขลุกอยู่ด้านนอกตลอดทั้งวัน เปิ่นกงยังได้ยินอีกว่าเจ้าไปอยู่ที่ร้านหรูอี้ เจ้าคิดว่าการกระทำของเจ้าเหมาะสมหรือไม่?”
พระสนมเต๋อเฟยยกกฎระเบียบของวังหลวงมากล่าวอ้าง แต่กลับเป็นเพียงข้ออ้างในการบีบบังคับหลินเมิ้งหยาแต่เพียงเท่านั้น
นางยกยิ้มเบาๆ ดูเหมือนความลับเรื่องกลุ่มสามสหายจะยังไม่แตก
“ร้านหรูอี้มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง การที่หม่อมฉันไปที่นั่นคงมิใช่เรื่องผิด”
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่คุณหนูชนชั้นสูงต่างก็พากันไปพบปะพูดคุยจิบน้ำชากันที่นั่น
พระสนมเต๋อเฟยเพียงคิดอยากหาข้ออ้างบังคับนางเท่านั้น
“เช่นนั้นหรือ? แต่เปิ่นกงได้ยินมาว่าเจ้ากับเถ้าแก่ร้านหรูอี้มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ร้านแห่งนั้นชื่อว่ามั่วหรานใช่หรือไม่? เป็นชื่อที่สง่างามยิ่งนัก เพราะเหตุนี้จึงดึงดูดความสนใจของเจ้าได้”
ตอนนี้หลินเมิ้งหยามั่นใจแล้วว่าพระสนมเต๋อเฟยกำลังพูดจาปั้นน้ำเป็นตัว
“ถูกต้องเพคะ เจ้าของร้านทั้งสองนามว่ามั่วหรานและชิงหลี หม่อมฉันกับพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลย แต่หาใช่ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนตามคำกล่าวอ้างหากหมู่เฟยไม่สบายพระทัยก็สามารถส่งคนไปตรวจสอบได้เพคะ”
ท่าทางไม่ใส่ใจของหลินเมิ้งหยาทำให้พระสนมเต๋อเฟยหมดหนทาง
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่มีหลักฐานอันใด
“พี่สะใภ้จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก หากเรื่องของท่านกับเถ้าแก่ร้านนั้นถูกแพร่งพรายออกไป แล้วท่านพี่อ๋องอวี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หากมองจากความหยิ่งทะนงของเขา เขาไม่มีทางยินยอมให้พระชายาของตนเองต้องมีข่าวลือเสียๆ หายๆ”
เจียงหรูฉินหยัดตัวขึ้นจากพื้น สายตาเย็นชาเสมือนงูพิษ เหตุใดหลินเมิ้งหยาจึงหลงผิดมองว่านางเป็นกระต่ายตัวน้อยไร้พิษสงไปได้นะ?
“คิดจะปล่อยข่าวลือเสียหายของข้า เช่นนั้นจงรีบไปพูดเถิด แต่พวกเจ้าไม่มีทางบีบบังคับให้ท่านอ๋องเชื่อได้ น้องหรูฉิน ข้าเห็นเจ้าเป็นแขก ดังนั้นข้าจึงไม่คิดเอาเรื่อง แต่ถ้าหากเจ้าเห็นว่าข้าเป็นพวกที่สามารถรังแกได้ง่ายๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย”
แม้หลินเมิ้งหยาจะยังนั่งอยู่กับที่ ทว่าความสง่างามของนางแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง
ไม่ว่าพระสนมเต๋อเฟยหรือเจียงหรูฉิน พวกนางล้วนกำลังทดสอบความอดทนของหลินเมิ้งหยาอยู่
แต่เมื่อถูกฉีกหน้าเช่นนี้นางจึงไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีกแล้ว
กวาดสายตา ก่อนจะกล่าวเสียงเย็น
“หากเจ้าคิดจะเข้ามาอยู่ในจวนอวี้ ไม่ว่าจะในฐานะสนมหรือชายารอง แต่จงจำเอาไว้ว่าเจ้ายังต้องเป็นรองจากข้า หาข้ายังอยู่ที่นี่ อย่าได้คิดว่าจะตบแต่งเข้ามาได้ง่ายๆ คิดหรือว่าเพียงเพราะข่าวลือระหว่างเจ้ากับท่านอ๋องจะทำให้เจ้าสามารถเผยอตัวขึ้นมาครองตำแหน่งได้? เตียงของหลงเทียนอวี้ ใช่ว่าเจ้าจะตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาได้!”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้สีหน้าของทุกคนพลันไม่น่ามอง
เตียงของหลงเทียนอวี้ใช่ว่าใครจะปีนขึ้นไปได้อะไรกัน? คำพูดหยาบคายเช่นนี้ แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยเองก็ผงะ
“เจ้า…”
ถึงอย่างไรเจียงหรูฉินก็ยังเป็นเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือน เมื่อถูกปรามาสเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำ ดวงตาถลึงโต
“ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดหมู่เฟยจึงยังไม่พักผ่อนกระนั้นหรือ?”
ตอนนี้เองที่เสียงของหลงเทียนอวี้ดังขึ้น ทุกคนหันหน้าไปทางประตู
ร่างสูงโปร่งสวมใส่ชุดสีขาวก้าวเข้ามา
บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎสีทองลายมังกรกางกรงเล็บ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกน่าเกรงขาม
ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
ทุกคนล้วนครุ่นคิดว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่
“ท่านพี่ ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน”
ดวงตาของเจียงหรูฉินเปล่งประกาย นางคิดอยากจะฟ้องบางอย่างกับเขา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะผลักนางออก ก่อนจะก้าวมายืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
“วันนี้ข้าสั่งให้เจ้าไปจองที่นั่งร้านหรูอี้ไว้ให้ เหตุใดจึงยุ่งวุ่นวายจนเพิ่งกลับมาในเวลานี้เล่า? เหนื่อยหรือไม่?”
สุ้มเสียงอ่อนโยนช่างอ่อนหวานราวน้ำจัณฑ์ชั้นดีที่ทำให้คนดื่มมัวเมา
จับมือเล็กที่ขาวราวหิมะขึ้นมา ก่อนจะกุมเอาไว้ในฝ่ามือหนาของตนเอง ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน
“หมู่เฟย ตอนนี้ลูกโตแล้ว พระองค์ควรมีช่วงเวลาพักผ่อนอันแสนสงบสุข ส่วนพระชายากับกระหม่อม พวกเราให้เกียรติซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง หวังว่าหมู่เฟยจะให้อภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ กลับกันเถิด ตอนนี้ดึกมาแล้ว แม้พวกเราจะยังไม่นอน แต่หมู่เฟยต้องพักผ่อน”
หลงเทียนอวี้สบตากับพระสนมเต๋อเฟย ดวงตาสีดำคมกริบไร้ความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่
ทว่าเขากลับแสดงความเคารพด้วยท่าทางเย็นชา แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังสัมผัสได้
หรือนางจะไม่สามารถยุ่งวุ่นวายกับเขาได้อีกต่อไปแล้ว?
ความเกลียดชังต่อหลินเมิ้งหยายิ่งเพิ่มมากขึ้น
นังปีศาจ สุดท้ายนางก็ทำให้อวี้เอ๋อร์ลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำ แม้แต่คำพูดของนาง เขาก็ไม่ฟังอีกแล้ว
“พวกเราไปกันเถอะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนมอบให้หญิงสาวตรงหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้น
มองดูริมฝีปากที่อ้าค้าง ทั้งสายตาที่จ้องมองเขาเสมือนคนโง่ หลงเทียนอวี้รู้สึกว่านางช่างน่ารักเหลือเกิน
หัวใจชุ่มฉ่ำ สอดวงแขนอุ้มนางขึ้นมา
“เอ๋? พระองค์ทำอะไร?”
หลินเมิ้งหยาดิ้นเบาๆ สบตาดวงตาคมกริบคู่นั้น
“อย่าขยับ”
น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นใบหน้าขวยเขินของนาง หลงเทียนอวี้รู้สึกเหมือนได้เจอเรื่องแปลกใหม่
“อวี้เอ๋อร์! เจ้าบังอาจ!”
ราวกับถูกลูกชายแท้ๆ ของตนเองตบหน้า พระสนมเต๋อเฟยกริ้วเป็นอย่างมาก
ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ บรรยากาศในตำหนักหนักหน่วงขึ้น
“หมู่เฟย ตอนที่ลูกถูกบังคับให้แต่งงานกับเมิ้งหยา พระองค์เองก็อนุญาตใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หันกลับมาสบตาหมู่เฟย
เขารู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาคิดว่าหมู่เฟยทำทุกอย่างเพื่อเขา
แต่เมื่อลองตรองดูแล้ว เขาเพิ่งพบว่าตอนที่ฮองเฮาต้องการให้เขาแต่งงานกับหลินเมิ้งหยา ตอนแรกเขาคิดว่าหมู่เฟยไม่มีอำนาจมากพอที่จะคัดค้าน
แต่ดูเหมือนตอนนี้จะกลายเป็นว่านางไม่อาจยอมเสียอำนาจทั้งหมดไปได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น จะไม่มีใครปกป้องครอบครัวของตนเองได้อีก
แม้แต่เรื่องเจียงหรูฉินเองก็เช่นเดียวกัน เพื่อสกุลเจียงแล้ว นางยอมเพิกเฉยต่อความผิดในอดีตของเจียงหรูฉินและพยายามบีบบังคับหลินเมิ้งหยา เพื่อให้หลินเมิ้งหยาอนุญาตเจียงหรูฉินให้แต่งงานเข้ามาอยู่ในจวน
หรือสำหรับหมู่เฟยแล้ว เขาเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น?
“แต่ว่านาง…นางไม่บริสุทธิ์ใจ นางไม่เหมาะจะเป็นชายาของเจ้า”
พระสนมเต๋อเฟยพูดออกมาโดยไม่ลังเล แต่คำพูดของนางกลับทำให้หลงเทียนอวี้ยิ่งเย็นชา
“ไม่บริสุทธิ์? กระหม่อมคิดว่าคงเป็นคนอื่นมากกว่า กระหม่อมเชื่อใจเมิ้งหยา กระหม่อมเชื่อในทุกการกระทำของนาง กระหม่อมเชื่อว่านางจริงใจกับกระหม่อม หมู่เฟย กระหม่อมเคารพท่าน แต่กระหม่อมไม่หวังให้ท่านใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ หากหมู่เฟยยังเป็นเช่นนี้ อย่าว่าว่าลูกอกตัญญูเลย”
หลินเมิ้งหยาเบิกตากว้าง
มองหลงเทียนอวี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ สวรรค์โปรด นางได้ยินผิดไปหรือไม่?
หัวใจสั่นไหวเต้นระริก
ตอนแรกนางคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในสนามรบเพียงลำพัง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าคนที่อยู่เคียงข้างนางจะเป็นหลงเทียนอวี้
คนหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิด อีกคนคือเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทว่า เขากลับเลือกที่จะเชื่อใจนาง
หากเอ่ยว่าไม่รู้สึกดีใจก็คงเป็นเรื่องโกหก
อุ้มหลินเมิ้งหยาออกจากตำหนักหยาเสวียน
ด้านนอก สีของท้องฟ้ามืดสนิท ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
วางหญิงสาวในอ้อมกอดลง ใบหน้ามั่นคงแน่วแน่เมื่อครู่เผยให้เห็นความเหนื่อยล้า
“ขอโทษ ข้าทำให้เจ้าต้องเสียใจ”
ส่งเสียงเรียบ แต่กลับเจือไว้ซึ่งความรู้สึกผิด
นางส่ายหน้า
ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงเขาเชื่อใจนาง เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ
“พระองค์…เหตุใดจึงเชื่อใจหม่อมฉัน?”
นางอยากรู้เหลือเกิน เหตุใดหลงเทียนอวี้จึงเลือกที่จะยืนฝั่งเดียวกับนาง
“นั่นเพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางทำร้ายข้า”