เล่มที่ 7 บทที่ 204 การแสดงครั้งใหญ่เริ่มแล้ว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ชิงหูเช็ดเลือดที่ไหลออกจากจมูกทิ้ง อันตรายเหลือเกิน โชคดีที่เขามีไหวพริบ!

เดินตามหลังหลินเมิ้งหยาเข้าไปในสวน

อีกสามคนกำลังเล่นกับน้องชายและน้องสาวของป๋ายจี

ป๋ายจีกับแม่กำลังช่วยกันทำงานเย็บปักถักร้อย ริมฝีปากยิ้มกว้างขณะมองดูพวกเด็กๆ

ชีวิตสงบสุขเช่นนี้ทำให้ชิงหูรู้สึกอิจฉา

อันที่จริง การได้เป็นคนธรรมดาก็ใช่จะไม่ดี

มองดูหลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่ข้างกายท่านน้าป๋าย ภาพตรงหน้างดงามเกินพรรณนา

ถ้าหากเจ้าเด็กน้อยสามารถใช้ชีวิตสงบสุขเช่นนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย

“นายหญิง ท่านคิดจะจัดการเรื่องของป๋ายซ่าวเช่นไรหรือเจ้าคะ?”

หลังจากหลินเมิ้งหยารู้เรื่องของป๋ายซ่าว ป๋ายจีรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก

นางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหักหลังพี่น้อง

“เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”

น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะตกอยู่ในอาการสับสน ฉะนั้นนางยิ่งไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรกับป๋ายซ่าว

ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายใจ ท่านลุงป๋ายซึ่งออกไปดูหน้าร้านรีบวิ่งกลับมาหน้าตาตื่น

“นายหญิงพระชายา ด้านนอกมีคนมาหาเรื่องขอรับ”

คิ้วของท่านลุงป๋ายขมวดเข้าหากันแน่น แม้จะบอกว่าตนเองเป็นผู้ดูแลร้าน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงชายชราคนหนึ่ง

เขาเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ไม่บ่อยนัก

“ข้าจะไปดูเอง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็พอ”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ก่อนจะพาป๋ายซูไปยืนดูอยู่ด้านหลังฉากกั้น

ท่านลุงป๋ายกับชิงหูเดินนำหน้าตามหลังกันออกไป แขกที่นั่งอยู่ด้านนอกคือชายหนุ่มสองคน

คนแรกมีใบหน้าสะอาดสะอ้านแต่กลับเจ้าเล่ห์

อีกคนหน้าตากลมกลึงท่าทางราวกับนักเลง

เพราะเหตุนี้ท่านลุงป๋ายจึงคิดว่าพวกเขามาหาเรื่อง

“ขออภัยที่ทำให้ทั้งสองท่านรอนาน ท่านนี้คือเจ้าของร้านของพวกเราขอรับ”

ทั้งสองคนคิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่ของร้านสามสหายจะยังหนุ่มและหล่อเหลาเช่นนี้

ชิงหูนิ่งเฉยไม่เอ่ยอะไร ดวงตาคู่นั้นลอบสำรวจทั้งสอง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งผยองของเถ้าแก่ร้าน ทั้งสองอดที่จะสบถในลำคอไม่ได้

“ข้าคือเถ้าแก่ของที่นี่ พวกเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเถิด พูดเสร็จแล้วก็ไสหัวไปซะ”

ชิงหูอาศัยอยู่ในเจียงหูมานาน เขาจึงดูออกอย่างถ่องแท้ว่าใครเป็นคนอย่างไร

เจ้าสองคนตรงหน้าเป็นเพียงลูกกระจ๊อกข้างถนนเท่านั้น

การมากดดันเจ้าของร้านเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง

“ได้ พวกเราได้ยินมาว่าร้านสามสหายของเจ้ามียาครอบจักรวาล ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องจึงมาสำรวจดูแต่เพียงเท่านั้น”

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเจ้าเล่ห์เอ่ยขึ้น

ทว่า ชิงหูทำเพียงเหลือบมองเขา ก่อนจะตอบกลับ

“ร้านของข้าเป็นร้านขายยา หาใช่ร้านที่มีเอาไว้เพียงชื่นชม หากพวกเจ้าทำเพียงแค่มาดูก็ไปเสียเถิด”

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าชิงหูจะต้องปฏิเสธ

แค่นหัวเราะเสียงเย็น ชายหน้าตากลมกลึงหยิบธนบัตรออกมาจากวงแขน

“นี่คือเงินสามร้อยยี่สิบตำลึง ต่อให้ยาของเจ้าจะเป็นโสมพันปี แต่พวกข้าก็พอจะมีสิทธิขอดูได้แล้วใช่หรือไม่?”

มองดูท่าทางยโสโอหังของอีกฝ่าย ชิงหูแค่นหัวเราะเสียงเย็น

“ดู? เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาที่มีราคาแพงที่สุดของร้านสามสหายมีมูลค่าเท่าไร? สามพันสองร้อยตำลึง!”

คำพูดของชิงหูทำให้ชายทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

สามพันสองร้อยตำลึง มันคือยาอะไรกัน?

ขณะเดียวกัน สีหน้าของชายทั้งสองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

เงินสามร้อยยี่สิบตำลึงกลายเป็นของเล่นไปในทันที

“ร้านเล็กๆ ของเจ้ามียาราคาสูงถึงสามพันสองร้อยตำลึง? คิดจะหลอกกันอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าร้านสามสหายของเจ้าก็เป็นพวกลวงโลกแต่เพียงเท่านั้น”

สีหน้าของชายหน้าตาเจ้าเล่ห์ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ร้านขายยาในเมืองหลวงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต่างไม่มีที่ใดขายของราคาแพงดังเช่นที่นี่

“เป็นพวกลวงโลกหรือไม่ ให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า หากคิดจะมาซื้อยาจริงๆ ข้าก็ยินดี แต่ถ้าหากคิดจะมาก่อความวุ่นวายแล้วล่ะก็ ข้าคนนี้จะเป็นเพื่อนเล่นให้”

ทั้งสองคนคาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่ร้านยาสามสหายจะเป็นคนเก่งกาจเกินมนุษย์

ทั้งที่ยังพูดคุยกันไม่เท่าไร แต่เขาคิดจะไล่คนออกจากร้านแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชายตรงหน้าจะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทว่าคำพูดคำจากลับไร้ซึ่งความเกรงใจ

เขาทั้งคู่ไม่เชื่อหรอกว่าชายตรงหน้าจะมีพิษสงร้ายอันใด

“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าไม่ลองไปสำรวจดูเล่าว่าการที่พวกข้ามาเยือนร้านของพวกเจ้าถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว หากพี่ใหญ่ไม่พอใจขึ้นมาแล้วทำลายร้านของเจ้าจะเป็นเช่นไร?”

ชายใบหน้ากลมกลึงเริ่มแสดงท่าทางอันธพาล

ทว่าหลังจากชิงหูจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาก็ฟาดแก้วชาลงบนโต๊ะ

“ได้เลย หากเจ้าคิดจะทำลายร้านของข้า เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าแหลกเหลวเป็นผุยผงดังเช่นแก้วใบนี้”

เมื่อเลื่อนมือออก แก้วชาที่เคยมีรูปร่างสมบูรณ์เมื่อครู่กลับกลายเป็นผุยผง

ทั้งสองจึงนิ่งเงียบไป

ตกลงเจ้านี้เป็นใครกันแน่?

“ข้าไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา แต่ถ้าคิดจะมาหาเรื่องพวกเราแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็แสดงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงออกมาเถิด คิดจะใส่ร้ายว่าพวกข้าซื้อขายยาปลอมมันไม่มีประโยชน์หรอก หากเชื่อใจร้านของเราก็จงเข้ามา แต่ถ้าไม่ก็จงไสหัวออกไป เจ้าของของเราเป็นคนมีเงิน ดังนั้นจึงเปิดร้านขายยาเล่นแต่เพียงเท่านั้น”

คำพูดของชิงหูระคนความหยิ่งยโส

ชายสองคนนั้นจึงหุบปากสนิท

อันที่จริงการใส่ร้ายป้ายสีร้านขายยาทำได้หลากหลายวิธีเช่น การใส่ร้ายว่าขายยาปลอมหรือไม่ก็ยกศพคนตายมากล่าวหา

แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าร้านยาเล็กๆ เปิดใหม่แห่งนี้จะขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก

“เดินระวังๆ ล่ะ ข้าไม่ส่ง”

ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะออกจากร้านไป

หลินเมิ้งหยายืนอยู่ด้านหลังฉากกั้น นางเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์รูปใบไม้ที่เอวของทั้งสอง

หรือพวกเขาจะเป็นคนของกลุ่มหลิวเย่?

“ฮึ ก็แค่พวกลูกกระจ๊อกข้างถนน บังอาจมาแสดงความโอหังถึงที่นี่”

ชิงหูหันกลับมา เขาเห็นว่าหลินเมิ้งหยากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

“เจ้าเด็กน้อย กำลังคิดอะไรหรือ?”

หลินเมิ้งหยามองชิงหู ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนสงสัย

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเมืองหลวงมีกลุ่มอันธพาลที่ชื่อว่าหลิวเย่อยู่? ตอนแรกเสี่ยวอวี้ถูกพวกนั้นซื้อตัวไป ตอนแรกข้ามิได้ใส่ใจกลุ่มหลิวเย่เท่าไรนัก แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดา”

ราวกับป๋ายซูเองก็เคยได้ยินข้อมูลบางอย่างมาก่อน นางจึงเอ่ยเสริม

“นายหญิงพูดมีเหตุผล ตอนที่นายน้อยลี้ภัยออกจากอาณาจักร ในเวลานั้นมียอดฝีมือติดตามเขามาด้วยมากมาย ข้าเคยได้ยินนายน้อยเล่าว่าเขาถูกขอทานคนหนึ่งเก็บไปเลี้ยงดู แต่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจึงเหลือเพียงนายน้อยแค่คนเดียว”

ชิงหูครุ่นคิด ดูท่ากลุ่มหลิวเย่จะไม่ธรรมดาจริงๆ

“ข้าเคยได้ยินมาว่ากลุ่มหลิวเย่มิใช่เพียงกลุ่มอันธพาลขู่กรรโชกทรัพย์ พวกเขาทำการค้า อีกทั้งยังมีคนคอยหนุนหลัง แต่ถ้าหากเทียบกับกลุ่มนักฆ่าของเจียงหูแล้วล่ะก็ พวกเขาก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของใครบางคนเท่านั้น”

ชิงหูเป็นยอดนักฆ่าแห่งเจียงหู แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา

บางที นางอาจคิดมากเกินไป

พวกเขาอยู่ที่ร้านขายยาอีกพักใหญ่ เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินจึงแอบเข้าประตูหลังของร้านหรูอี้โหลว ก่อนจะพากันกลับจวน

การเที่ยวเล่นอยู่ในร้านอาหารตลอดทั้งวันเป็นเพียงเรื่องธรรมดา เมื่อกลับมาถึงจวนจึงไม่มีใครสงสัย

ทว่าก่อนถึงเวลานอน หลินเมิ้งหยาถูกพระสนมเต๋อเฟยเรียกตัวไปที่ตำหนักหยาเสวียน

นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน หลินเมิ้งหยาก้มหน้าจิบชา ไม่กล่าวสิ่งใด

ผิดกับเจียงหรูฉินที่กำลังร้องห่มร้องไห้ เสมือนถูกคนรังแกอย่างน่าสงสาร

พระสนมเต๋อเฟยแสดงท่าทางประหนึ่งประธานในพิธีการตัดสินอย่างไรอย่างนั้น

“ท่านป้าจะต้องออกหน้าแทนหรูฉินนะเจ้าคะ”

เจียงหรูฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน คำว่าท่านป้าทำให้คนอื่นๆ มองเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่

หลินเมิ้งหยารู้สึกขนลุก เด็กคนนี้พูดเหมือนคนธรรมดาไม่เป็นหรืออย่างไร?

“เฮ้อ เรื่องนี้คงต้องรบกวนพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว เปิ่นกงเป็นเพียงป้าของเจ้า แต่คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจในจวนแห่งนี้คือพี่สะใภ้ของเจ้า”

ราวกับได้ยินเรื่องแปลกใหม่ หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจไม่น้อย

แต่ไหนแต่ไรมา พระสนมเต๋อเฟยไม่เคยถามความเห็นของนางมาก่อนสักครั้ง

เหตุเพราะนางมีฐานันดรศักดิ์และสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ

ทว่าวันนี้กลับยกอำนาจในการตัดสินใจให้แก่นาง

“พี่สะใภ้ ข้าขอร้องท่าน ท่านต้องออกหน้าแทนข้า”

คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวที่มักแสดงท่าทางหยิ่งยโสโอหังทุกครั้งที่เจอหลินเมิ้งหยาจะทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้านาง

“รีบลุกขึ้นเถิด คุณหนูเจียงมีเรื่องอะไรหรือ?”

แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าไปพยุง

มีบางคนกำลังแสดงละครต่อหน้านาง เช่นนั้นนางก็ควรปล่อยให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ?

“ตึง” เจียงหรูฉินคุกเข่าด้วยท่าทางจริงจัง

แม้แต่หลินเมิ้งหยาก็อดที่จะตื่นตะลึงกับเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้

เจียงหรูฉินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองต้องทำตัวให้น่าสงสารที่สุด

กลับมาแสดงท่าทางน่าสงสารดังเดิม สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนน่าขนลุก

“พี่สะใภ้ ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนอับโชค ชั่วชีวิตนี้ของข้ามิเคยมีความหวังอันใด หากมิใช่เพราะความรักและเอ็นดูที่ท่านป้ามีให้แก่ข้า เกรงว่าข้าคงจะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสู”

หลินเมิ้งหยาส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้กับป๋ายจื่อ มองดูเด็กสาวที่กำลังแสดงละครตรงหน้า คำพูดคำจาของนางน่าฟังกว่าละครงิ้วเสียอีก

นางไม่กล่าวอันใด มองดูการแสดงของเจียงหรูฉินต่อไป

“แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าคนในจวนจะคิดเช่นนั้นกับข้า คำติฉินนินทามิอาจทำให้ข้าสงบจิตสงบใจได้”

ติฉินนินทา? หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ

มันคือสิ่งที่เจียงหรูฉินและพระสนมเต๋อเฟยอยากให้เกิดขึ้นมิใช่หรือ?

ทว่านางยังคงแสร้งโง่ ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น

“น้องหรูฉิน ข้าไม่รู้ว่ามีเสียงนินทาอันใดเกิดขึ้นในจวนแห่งนี้ แต่เจ้าโปรดวางใจ ข้าจะนำคนในจวนมาเค้นถาม หากใครกล้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้าจะตัดลิ้นของพวกเขาเสีย เจ้าอย่าได้น้อยอกน้อยใจไปเลย ข้าจะออกหน้าแทนเจ้าเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา เจียงหรูฉินหมดข้ออ้างที่จะพูดต่อ

นางลอบชำเลืองมองทางพระสนมเต๋อเฟย ไม่รู้ว่าควรแสดงละครเช่นใดต่อไปจึงจะได้มาในสิ่งที่ต้องการ