ชิงหูเช็ดเลือดที่ไหลออกจากจมูกทิ้ง อันตรายเหลือเกิน โชคดีที่เขามีไหวพริบ!
เดินตามหลังหลินเมิ้งหยาเข้าไปในสวน
อีกสามคนกำลังเล่นกับน้องชายและน้องสาวของป๋ายจี
ป๋ายจีกับแม่กำลังช่วยกันทำงานเย็บปักถักร้อย ริมฝีปากยิ้มกว้างขณะมองดูพวกเด็กๆ
ชีวิตสงบสุขเช่นนี้ทำให้ชิงหูรู้สึกอิจฉา
อันที่จริง การได้เป็นคนธรรมดาก็ใช่จะไม่ดี
มองดูหลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่ข้างกายท่านน้าป๋าย ภาพตรงหน้างดงามเกินพรรณนา
ถ้าหากเจ้าเด็กน้อยสามารถใช้ชีวิตสงบสุขเช่นนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย
“นายหญิง ท่านคิดจะจัดการเรื่องของป๋ายซ่าวเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
หลังจากหลินเมิ้งหยารู้เรื่องของป๋ายซ่าว ป๋ายจีรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังหักหลังพี่น้อง
“เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”
น้อยครั้งนักที่หลินเมิ้งหยาจะตกอยู่ในอาการสับสน ฉะนั้นนางยิ่งไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรกับป๋ายซ่าว
ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพักผ่อนอย่างสบายใจ ท่านลุงป๋ายซึ่งออกไปดูหน้าร้านรีบวิ่งกลับมาหน้าตาตื่น
“นายหญิงพระชายา ด้านนอกมีคนมาหาเรื่องขอรับ”
คิ้วของท่านลุงป๋ายขมวดเข้าหากันแน่น แม้จะบอกว่าตนเองเป็นผู้ดูแลร้าน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงชายชราคนหนึ่ง
เขาเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ไม่บ่อยนัก
“ข้าจะไปดูเอง พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็พอ”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ก่อนจะพาป๋ายซูไปยืนดูอยู่ด้านหลังฉากกั้น
ท่านลุงป๋ายกับชิงหูเดินนำหน้าตามหลังกันออกไป แขกที่นั่งอยู่ด้านนอกคือชายหนุ่มสองคน
คนแรกมีใบหน้าสะอาดสะอ้านแต่กลับเจ้าเล่ห์
อีกคนหน้าตากลมกลึงท่าทางราวกับนักเลง
เพราะเหตุนี้ท่านลุงป๋ายจึงคิดว่าพวกเขามาหาเรื่อง
“ขออภัยที่ทำให้ทั้งสองท่านรอนาน ท่านนี้คือเจ้าของร้านของพวกเราขอรับ”
ทั้งสองคนคิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่ของร้านสามสหายจะยังหนุ่มและหล่อเหลาเช่นนี้
ชิงหูนิ่งเฉยไม่เอ่ยอะไร ดวงตาคู่นั้นลอบสำรวจทั้งสอง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
เมื่อเห็นท่าทางหยิ่งผยองของเถ้าแก่ร้าน ทั้งสองอดที่จะสบถในลำคอไม่ได้
“ข้าคือเถ้าแก่ของที่นี่ พวกเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดเถิด พูดเสร็จแล้วก็ไสหัวไปซะ”
ชิงหูอาศัยอยู่ในเจียงหูมานาน เขาจึงดูออกอย่างถ่องแท้ว่าใครเป็นคนอย่างไร
เจ้าสองคนตรงหน้าเป็นเพียงลูกกระจ๊อกข้างถนนเท่านั้น
การมากดดันเจ้าของร้านเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง
“ได้ พวกเราได้ยินมาว่าร้านสามสหายของเจ้ามียาครอบจักรวาล ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องจึงมาสำรวจดูแต่เพียงเท่านั้น”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเจ้าเล่ห์เอ่ยขึ้น
ทว่า ชิงหูทำเพียงเหลือบมองเขา ก่อนจะตอบกลับ
“ร้านของข้าเป็นร้านขายยา หาใช่ร้านที่มีเอาไว้เพียงชื่นชม หากพวกเจ้าทำเพียงแค่มาดูก็ไปเสียเถิด”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าชิงหูจะต้องปฏิเสธ
แค่นหัวเราะเสียงเย็น ชายหน้าตากลมกลึงหยิบธนบัตรออกมาจากวงแขน
“นี่คือเงินสามร้อยยี่สิบตำลึง ต่อให้ยาของเจ้าจะเป็นโสมพันปี แต่พวกข้าก็พอจะมีสิทธิขอดูได้แล้วใช่หรือไม่?”
มองดูท่าทางยโสโอหังของอีกฝ่าย ชิงหูแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ดู? เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาที่มีราคาแพงที่สุดของร้านสามสหายมีมูลค่าเท่าไร? สามพันสองร้อยตำลึง!”
คำพูดของชิงหูทำให้ชายทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก
สามพันสองร้อยตำลึง มันคือยาอะไรกัน?
ขณะเดียวกัน สีหน้าของชายทั้งสองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
เงินสามร้อยยี่สิบตำลึงกลายเป็นของเล่นไปในทันที
“ร้านเล็กๆ ของเจ้ามียาราคาสูงถึงสามพันสองร้อยตำลึง? คิดจะหลอกกันอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าร้านสามสหายของเจ้าก็เป็นพวกลวงโลกแต่เพียงเท่านั้น”
สีหน้าของชายหน้าตาเจ้าเล่ห์ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ร้านขายยาในเมืองหลวงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต่างไม่มีที่ใดขายของราคาแพงดังเช่นที่นี่
“เป็นพวกลวงโลกหรือไม่ ให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า หากคิดจะมาซื้อยาจริงๆ ข้าก็ยินดี แต่ถ้าหากคิดจะมาก่อความวุ่นวายแล้วล่ะก็ ข้าคนนี้จะเป็นเพื่อนเล่นให้”
ทั้งสองคนคาดไม่ถึงว่าเถ้าแก่ร้านยาสามสหายจะเป็นคนเก่งกาจเกินมนุษย์
ทั้งที่ยังพูดคุยกันไม่เท่าไร แต่เขาคิดจะไล่คนออกจากร้านแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชายตรงหน้าจะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทว่าคำพูดคำจากลับไร้ซึ่งความเกรงใจ
เขาทั้งคู่ไม่เชื่อหรอกว่าชายตรงหน้าจะมีพิษสงร้ายอันใด
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าไม่ลองไปสำรวจดูเล่าว่าการที่พวกข้ามาเยือนร้านของพวกเจ้าถือเป็นการให้เกียรติมากแล้ว หากพี่ใหญ่ไม่พอใจขึ้นมาแล้วทำลายร้านของเจ้าจะเป็นเช่นไร?”
ชายใบหน้ากลมกลึงเริ่มแสดงท่าทางอันธพาล
ทว่าหลังจากชิงหูจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาก็ฟาดแก้วชาลงบนโต๊ะ
“ได้เลย หากเจ้าคิดจะทำลายร้านของข้า เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าแหลกเหลวเป็นผุยผงดังเช่นแก้วใบนี้”
เมื่อเลื่อนมือออก แก้วชาที่เคยมีรูปร่างสมบูรณ์เมื่อครู่กลับกลายเป็นผุยผง
ทั้งสองจึงนิ่งเงียบไป
ตกลงเจ้านี้เป็นใครกันแน่?
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา แต่ถ้าคิดจะมาหาเรื่องพวกเราแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็แสดงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงออกมาเถิด คิดจะใส่ร้ายว่าพวกข้าซื้อขายยาปลอมมันไม่มีประโยชน์หรอก หากเชื่อใจร้านของเราก็จงเข้ามา แต่ถ้าไม่ก็จงไสหัวออกไป เจ้าของของเราเป็นคนมีเงิน ดังนั้นจึงเปิดร้านขายยาเล่นแต่เพียงเท่านั้น”
คำพูดของชิงหูระคนความหยิ่งยโส
ชายสองคนนั้นจึงหุบปากสนิท
อันที่จริงการใส่ร้ายป้ายสีร้านขายยาทำได้หลากหลายวิธีเช่น การใส่ร้ายว่าขายยาปลอมหรือไม่ก็ยกศพคนตายมากล่าวหา
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าร้านยาเล็กๆ เปิดใหม่แห่งนี้จะขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก
“เดินระวังๆ ล่ะ ข้าไม่ส่ง”
ทั้งสองสบตากัน ก่อนจะออกจากร้านไป
หลินเมิ้งหยายืนอยู่ด้านหลังฉากกั้น นางเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์รูปใบไม้ที่เอวของทั้งสอง
หรือพวกเขาจะเป็นคนของกลุ่มหลิวเย่?
“ฮึ ก็แค่พวกลูกกระจ๊อกข้างถนน บังอาจมาแสดงความโอหังถึงที่นี่”
ชิงหูหันกลับมา เขาเห็นว่าหลินเมิ้งหยากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เจ้าเด็กน้อย กำลังคิดอะไรหรือ?”
หลินเมิ้งหยามองชิงหู ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนสงสัย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเมืองหลวงมีกลุ่มอันธพาลที่ชื่อว่าหลิวเย่อยู่? ตอนแรกเสี่ยวอวี้ถูกพวกนั้นซื้อตัวไป ตอนแรกข้ามิได้ใส่ใจกลุ่มหลิวเย่เท่าไรนัก แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้าว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดา”
ราวกับป๋ายซูเองก็เคยได้ยินข้อมูลบางอย่างมาก่อน นางจึงเอ่ยเสริม
“นายหญิงพูดมีเหตุผล ตอนที่นายน้อยลี้ภัยออกจากอาณาจักร ในเวลานั้นมียอดฝีมือติดตามเขามาด้วยมากมาย ข้าเคยได้ยินนายน้อยเล่าว่าเขาถูกขอทานคนหนึ่งเก็บไปเลี้ยงดู แต่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจึงเหลือเพียงนายน้อยแค่คนเดียว”
ชิงหูครุ่นคิด ดูท่ากลุ่มหลิวเย่จะไม่ธรรมดาจริงๆ
“ข้าเคยได้ยินมาว่ากลุ่มหลิวเย่มิใช่เพียงกลุ่มอันธพาลขู่กรรโชกทรัพย์ พวกเขาทำการค้า อีกทั้งยังมีคนคอยหนุนหลัง แต่ถ้าหากเทียบกับกลุ่มนักฆ่าของเจียงหูแล้วล่ะก็ พวกเขาก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของใครบางคนเท่านั้น”
ชิงหูเป็นยอดนักฆ่าแห่งเจียงหู แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา
บางที นางอาจคิดมากเกินไป
พวกเขาอยู่ที่ร้านขายยาอีกพักใหญ่ เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินจึงแอบเข้าประตูหลังของร้านหรูอี้โหลว ก่อนจะพากันกลับจวน
การเที่ยวเล่นอยู่ในร้านอาหารตลอดทั้งวันเป็นเพียงเรื่องธรรมดา เมื่อกลับมาถึงจวนจึงไม่มีใครสงสัย
ทว่าก่อนถึงเวลานอน หลินเมิ้งหยาถูกพระสนมเต๋อเฟยเรียกตัวไปที่ตำหนักหยาเสวียน
นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน หลินเมิ้งหยาก้มหน้าจิบชา ไม่กล่าวสิ่งใด
ผิดกับเจียงหรูฉินที่กำลังร้องห่มร้องไห้ เสมือนถูกคนรังแกอย่างน่าสงสาร
พระสนมเต๋อเฟยแสดงท่าทางประหนึ่งประธานในพิธีการตัดสินอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านป้าจะต้องออกหน้าแทนหรูฉินนะเจ้าคะ”
เจียงหรูฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน คำว่าท่านป้าทำให้คนอื่นๆ มองเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่
หลินเมิ้งหยารู้สึกขนลุก เด็กคนนี้พูดเหมือนคนธรรมดาไม่เป็นหรืออย่างไร?
“เฮ้อ เรื่องนี้คงต้องรบกวนพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว เปิ่นกงเป็นเพียงป้าของเจ้า แต่คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจในจวนแห่งนี้คือพี่สะใภ้ของเจ้า”
ราวกับได้ยินเรื่องแปลกใหม่ หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจไม่น้อย
แต่ไหนแต่ไรมา พระสนมเต๋อเฟยไม่เคยถามความเห็นของนางมาก่อนสักครั้ง
เหตุเพราะนางมีฐานันดรศักดิ์และสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ
ทว่าวันนี้กลับยกอำนาจในการตัดสินใจให้แก่นาง
“พี่สะใภ้ ข้าขอร้องท่าน ท่านต้องออกหน้าแทนข้า”
คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวที่มักแสดงท่าทางหยิ่งยโสโอหังทุกครั้งที่เจอหลินเมิ้งหยาจะทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้านาง
“รีบลุกขึ้นเถิด คุณหนูเจียงมีเรื่องอะไรหรือ?”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าไปพยุง
มีบางคนกำลังแสดงละครต่อหน้านาง เช่นนั้นนางก็ควรปล่อยให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ?
“ตึง” เจียงหรูฉินคุกเข่าด้วยท่าทางจริงจัง
แม้แต่หลินเมิ้งหยาก็อดที่จะตื่นตะลึงกับเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้
เจียงหรูฉินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองต้องทำตัวให้น่าสงสารที่สุด
กลับมาแสดงท่าทางน่าสงสารดังเดิม สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนน่าขนลุก
“พี่สะใภ้ ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนอับโชค ชั่วชีวิตนี้ของข้ามิเคยมีความหวังอันใด หากมิใช่เพราะความรักและเอ็นดูที่ท่านป้ามีให้แก่ข้า เกรงว่าข้าคงจะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสู”
หลินเมิ้งหยาส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้กับป๋ายจื่อ มองดูเด็กสาวที่กำลังแสดงละครตรงหน้า คำพูดคำจาของนางน่าฟังกว่าละครงิ้วเสียอีก
นางไม่กล่าวอันใด มองดูการแสดงของเจียงหรูฉินต่อไป
“แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าคนในจวนจะคิดเช่นนั้นกับข้า คำติฉินนินทามิอาจทำให้ข้าสงบจิตสงบใจได้”
ติฉินนินทา? หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ
มันคือสิ่งที่เจียงหรูฉินและพระสนมเต๋อเฟยอยากให้เกิดขึ้นมิใช่หรือ?
ทว่านางยังคงแสร้งโง่ ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น
“น้องหรูฉิน ข้าไม่รู้ว่ามีเสียงนินทาอันใดเกิดขึ้นในจวนแห่งนี้ แต่เจ้าโปรดวางใจ ข้าจะนำคนในจวนมาเค้นถาม หากใครกล้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้าจะตัดลิ้นของพวกเขาเสีย เจ้าอย่าได้น้อยอกน้อยใจไปเลย ข้าจะออกหน้าแทนเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเมิ้งหยา เจียงหรูฉินหมดข้ออ้างที่จะพูดต่อ
นางลอบชำเลืองมองทางพระสนมเต๋อเฟย ไม่รู้ว่าควรแสดงละครเช่นใดต่อไปจึงจะได้มาในสิ่งที่ต้องการ