หยุนจู๋มองเจ้านายของตนเองที่กำลังคุกเข่าเช็ดเลือดซึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของนางบนพื้น
“มือของเจ้าไม่เป็นอะไรอย่างนั้นหรือ? เมื่อครู่เลือดของข้าเปื้อนบาดแผลของเจ้านะ”
หลินเมิ้งหยามองมือของตนเองอย่างแปลกใจ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
“ข้าเองก็ไม่รู้ บางทีอาจเพราะเลือดของเจ้ามียาหลายขนานผสมอยู่ในนั้น ฉะนั้นตัวยาอาจถูกโฉลกกันก็ได้”
แม้แต่นางเองก็คิดไม่ถึงว่าขณะที่กำลังรักษาอาการให้กับหยุนจู๋ เลือดของนางจะพุ่งออกมา
ชั่วขณะนั้น ยาที่ถูกเลือดกระเด็นเข้าใส่ทำให้สรรพคุณของยาตัวนั้นหายไปในทันที
ดูเหมือนพิษในกายของหยุนจู๋จะยังคงออกฤทธิ์รุนแรง
“เกรงว่าจะต้องรักษาเช่นนี้อีกหลายครั้งกว่าพิษในกายของเจ้าจะหายไป ส่วนใบหน้าของเจ้า…อาจมีบางส่วนที่ถูกทำลายไป”
พิษฝังอยู่บนใบหน้ามานานหลายปี แม้แต่หลินเมิ้งหยายังนึกไม่ถึงว่ายาของอาจารย์จะรุนแรงถึงเพียงนี้
ใช้เพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถไล่พิษส่วนใหญ่ออกไปได้
ส่วนบริเวณที่พิษถูกขับออกไป จะต้องใช้มีดแทงเพื่อขับพิษออกมา
บริเวณที่ถูกเจาะเอาพิษออกอาจจะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
“อันที่จริง ใบหน้านี้มิได้สำคัญอะไรกับข้าอีกแล้ว เจ้าทำใจให้สบายแล้วรักษาไปเถิด ข้าไม่โทษเจ้าหรอก”
หยุนจู๋แตะแผ่วเบาบนใบหน้าที่ถูกผ้าสีขาวพันเอาไว้ นางรู้สึกได้ว่าหลังจากที่เลือดพิษถูกขับออกจากร่าง ใบหน้าของนางร้อนผ่าว
“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะหาวิธีทำให้ใบหน้าเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ยาสองขวดนี้จงเก็บเอาไว้ เจ้าจะต้องกินวันละหนึ่งช้อนชาทุกวัน หลังจากกินหมดแล้ว พวกเราค่อยมากำจัดพิษครั้งที่สอง”
หยุนจู๋พยักหน้ารับ พิษเหล่านี้สร้างความทรมานให้นางมาหลายปีแล้ว
ใช่ว่านางจะรออีกเพียงสองสามวันไม่ได้เสียเมื่อไหร่
“เขา…เป็นอย่างไรบ้าง?”
ลังเลอยู่นานกว่าหยุนจู๋จะถามคำถามนี้ออกมา
หลินเมิ้งหยาหัวเราะก่อนจะหันมาตอบ
“อยากรู้ว่าท่านอาจารย์เป็นอย่างไร เช่นนั้นหากมีเวลาเจ้าก็ไปดูเขาด้วยตัวเองเถิด ข้าน่ะ ไม่อยากเป็นนกพิราบสื่อสารให้ใครหรอกนะ ตอนนี้หิวจะตายอยู่แล้ว ข้าออกไปกินข้าวก่อนล่ะ”
หลินเมิ้งหยายกอ่างล้างหน้าออกจากห้อง
“เจ้าเด็กน้อยไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เพียงเดินออกจากประตู ชิงหูก็รีบพุ่งเข้ามามองสำรวจนางด้วยสายตาเป็นกังวล
“ไม่เป็นไร”
หยิบยาถอนพิษออกจากวงแขน ก่อนจะเทลงไปในน้ำ จากนั้นจึงส่งอ่างล้างหน้าให้กับป๋ายจี
“ข้าหิวแล้ว ท่านน้าป๋าย มีอะไรให้ข้ากินหรือไม่?”
ต่อมความหิวเริ่มทำงาน เสียงโหยหวนของกระเพาะดังถึงสมอง
นับตั้งแต่วันที่ข้ามภพมา นางไม่เคยกินข้าวไม่เป็นเวลาเหมือนตอนอยู่ในชาติก่อน
ฉะนั้นเพียงนางไม่ได้กินข้าวแค่มื้อเดียว ท้องไส้ของนางก็บิดมวนจนแทบจะทนไม่ไหว
“ยังร้อนๆ อยู่เลยเจ้าค่ะ ข้าจะไปยกมาให้เดี๋ยวนี้ นังหนู เจ้ารีบไปเช็ดหน้าให้พระชายาเร็วเข้า”
ป๋ายจีรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า พยุงร่างของหลินเมิ้งหยาที่กำลังหิวโหยเข้ามา
ซี่โครงหมู๋ตุ๋น ผัดผักสด ยำไก่ฉีกใส่แตงกวา อีกทั้งยังมีผักดองเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านน้าป๋ายเป็นผู้ทำเองกับมือ รสชาติอาหารเข้ากันได้ดีกับข้าวสวยร้อนๆ หลินเมิ้งหยากินอย่างเอร็ดอร่อย
“ฝีมือของท่านน้าล้ำเลิศยิ่งนัก พ่อครัวในจวนยังสู้ไม่ได้เลย”
หลินเมิ้งหยากินไปพลางเอ่ยชมไปพลาง
“ฝีมือข้ามิได้ดีขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่พระชายาไม่รังเกียจก็เพียงพอแล้ว”
ท่านน้าป๋ายที่ถูกเอ่ยชมยิ่งมองว่าพระชายาช่างน่ารักและเป็นกันเองเสียเหลือเกิน
ยิ่งเห็นว่าหลินเมิ้งหยามิได้ถือตัว นางจึงมิได้ใช้ภาษาทางการมากมายนัก
“จริงสิ การค้าขายในร้านช่วงนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
ท่านลุงป๋ายเตรียมสมุดบัญชีเอาไว้แล้ว เขาจึงนำมามอบให้หลินเมิ้งหยา
“ข้าน้อยทำตามคำสั่งของพระชายาทุกกระเบียดนิ้ว หากคนยากจนมาซื้อ ข้าน้อยจะลดราคาลงกึ่งหนึ่งหรือไม่ก็ให้ฟรี แต่เพราะร้านของเรารับซื้อเพียงยาแปลกๆ ฉะนั้นรายได้จึงน้อยกว่าขอรับ”
ท่านลุงป๋ายชอบวิธีการค้าขายของหลินเมิ้งหยายิ่งนัก
แม้ยาบางชนิดจะแพงมาก แต่หลินเมิ้งหยากลับไม่คิดแสวงหาผลประโยชน์จากคนยากจน
“อืม พอผ่านช่วงนี้ไปจะมียาส่งมาอีกจำนวนหนึ่ง ท่านลุงป๋ายโปรดจำเอาไว้ให้ดี ยาพวกนี้ห้ามขายให้กับคนภายนอก จะต้องขายให้กับผู้ที่มีหนังสือรับรองติดมือมาเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
แม้ท่านลุงป๋ายจะไม่รู้เหตุผล แต่ก็พยักหน้ารับ
“ขอรับ กระหม่อมจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระชายา”
หลินเมิ้งหยากินข้าวต่อไปจนอิ่มแปล้
สาวใช้และหลินจงอวี้พากันไปดูสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้
มีเพียงชิงหูที่อยู่ข้างกายหลินเมิ้งหยา
“เจ้าสืบเรื่องของหยุนจู๋มาแล้วใช่หรือไม่?”
นางลุกขึ้นยืนข้างหน้าต่าง ด้านนอกมีเสียงหัวเราะดังออกมาจากสวน หัวใจของหลินเมิ้งหยามีความสุขเกินจะพรรณนา
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง ข้าได้ยินมาว่านางซ่อนตัวอยู่ในสกุลหาน”
สายตาของชิงหูเหลือบมองทางห้องเล็กที่หยุนจู๋ใช้ซ่อนตัว
เมื่อครู่ป๋ายซูนำอาหารไปส่งให้ ทว่าภายในกลับว่างเปล่า
“สกุลหาน? เหตุใดจึงเป็นพวกเขา?”
ชิงหูพยักหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องที่ตนเองสืบมาได้ให้ฟัง
“น่าแปลกจริงเชียว สกุลหานสนิทชิดเชื้อกับฮองเฮาเป็นอย่างมาก หรือการที่หยุนจู๋ซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดก็เพราะได้รับความช่วยเหลือจากสกุลหานตลอดมา?”
คำถามเกิดขึ้นมากมายในใจของหลินเมิ้งหยา แม้สกุลหานจะมิใช่สกุลของนักรบ แต่เพราะทำงานรับใช้ฮองเฮา ดังนั้นพวกเขาจึงกุมอำนาจฝ่ายในเอาไว้
ตลอดหลายปีที่ผ่าน ทั้งของกินและของใช้ในวังล้วนมีสกุลหานเป็นผู้ดูแลทั้งสิ้น
ทว่าพวกเขากลับซ่อนตัวหยุนจู๋ไว้ นี่ไม่เหมือนวิธีการทำงานของพวกเขาเลยสักนิด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายสกุลหานหรือเจ้าตระกูลสกุลหานในเวลาเป็นใคร?”
เมื่อพูดถึงเรื่องซุบซิบนินทาของชาวบ้าน สีหน้าของชิงหูระรื่นมากกว่าปกติ
“เขาเหรอ? เขาคือเพื่อนรักที่สุดของคุณชายกูซู…หานหยุนจี๋”
จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกขึ้นมาได้ หยุนจู๋เคยเล่าว่าคนที่ส่งข่าวการแต่งงานของท่านอาจารย์เมื่อตอนนั้นก็คือเพื่อนรักของท่านอาจารย์คนนี้
หรือจะเป็นเขาจริงๆ?
มองทางชิงหูด้วยความสงสัย ทว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กลับส่ายหน้าและไม่ยอมปริปาก
นางเอื้อมมือไปบิดหูของเขาแรงๆ ในที่สุดชิงหูก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเล่าเรื่องในตอนนั้นให้ฟัง
หานหยุนจี๋คือคุณชายใหญ่สกุลหานในเวลานั้น เหตุเพราะความร่ำรวยของตระกูล เขาจึงไม่ชายตามองเงินเพียงตำลึงสองตำลึง
ส่วนท่านอาจารย์เป็นคนมีพรสวรรค์เรื่องการฝังเข็ม ดังนั้นเขาจึงก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีของเมืองหลวง
เพียงทั้งสองได้พบหน้าก็กลายเป็นศัตรูกัน ทว่าพวกเขากลับหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน
อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์ก็หายตัวไป จากนั้นหยุนจู๋ต้องเจ็บปวดเพราะความรักและได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายคนที่เข้ามาอยู่เคียงข้างนางคือหานหยุนจี๋
“ยิ่งไปกว่านั้น คนที่หยุนจู๋ต้องการให้เจ้าช่วยก็คือหานหยุนจี๋ เมื่อห้าปีก่อน ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น อยู่ๆ เขาก็ป่วยติดเตียง ไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าเขาถูกวางยา”
เหตุเพราะข้อมูลที่ได้รับยิ่งใหญ่เอาการ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงปล่อยตัวเองให้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์รักสามเศร้าของท่านอาจารย์เมื่อหลายปีก่อน
“แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี ทว่าหานหยุนจี๋ยังคงปกป้องดูแลหยุนจู๋ไม่ห่างหาย เขาเป็นคนหนักแน่น เช่นนั้นเขาควรค่าที่จะให้ข้าช่วยเหลือ”
ชิงหูพยักหน้า เห็นด้วยกับหลินเมิ้งหยา
“เหมือนเจ้าจะมีเรื่องกังวล ป๋ายจีพูดอะไรกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้สึกตัว ราวกับว่านางกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ
นางดูจะห่างจากคำว่าหญิงสาวใสซื่อร่าเริงแจ่มใสมากขึ้นทุกที
“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ข้าก็เลยรับไม่ไหวแต่เพียงเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มพลางส่ายหน้า
ชิงหูคิดอยากปลอบโยน แต่จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
รีบหยิบกล่องไม้ออกจากวงแขน
“นี่คือของที่มั่วหรานกับชิงหลีหามาให้เจ้า รีบดูเร็วเข้าว่าชอบหรือไม่”
มองดูชิงหูที่ถือกล่องนั้นอย่างทะนุถนอมประหนึ่งว่าเป็นอัญมณีล้ำค่า หัวใจของหลินเมิ้งหยารู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เขามักมองนางเป็นเด็กน้อยที่ต้องคอยปลอบโยน บางครั้งบางคราวก็มักจะนำของแปลกๆ มาให้
นางรับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ภายในคือสร้อยถักสีแดงห้อยจี้หยกรูปกระต่ายสีขาว
“น่ารักจริง!”
หลินเมิ้งหยาหยิบสร้อยขึ้นมาจากกล่อง กระต่ายหยกตัวนี้แกะสลักไว้อย่างน่ารัก ริมฝีปากถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียวเสมือนว่ากำลังกินผักอยู่
“เจ้าลองมองดูให้ดี ใบไม้ที่ปากของมันมีอะไรติดอยู่”
นางจ้องเขม็ง สวรรค์โปรด! บนใบไม้ใบนั้นมีหนอนตัวเล็กเกาะอยู่หนึ่งตัว
หากไม่มองให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็น
“ข้าได้ยินป๋ายจื่อเล่าว่าเจ้าเกิดปีเถาะ ของพวกนี้ไม่เพียงน่ารัก แต่ยังทำให้อบอุ่นด้วย ดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก”
ขณะที่พูดชิงหูก็สวมสร้อยให้แก่หลินเมิ้งหยา
ครู่ต่อมา กระต่ายตัวนั้นก็ห้อยอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของนาง
“อืม อุ่นจริงๆ ด้วย”
หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ หยกชนิดนี้ช่วยทำให้หัวใจของผู้สวมใส่อบอุ่นขึ้นมา
นางรู้ดีว่านับตั้งแต่วันที่พี่เยว่ถิงตายจากไป หัวใจของนางราวกับถูกทำร้ายอย่างสาหัส
ทุกคนในจวนล้วนเป็นห่วงนาง
โดยเฉพาะชิงหู เขามักจะหาของมาบำรุงร่างกายนางเสมอ
“เจ้าเด็กน้อย ข้าช่วยเจ้าเลือกคุณชายทั้งสามของกลุ่มสามสหายแล้ว นอกจากหยุนจู๋ มั่วหรานและชิงหลีสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ ต่อจากนี้ไปจงรักษาตัวเองให้ดี อย่าทำอะไรเกินตัวอีก”
คำพูดเป็นห่วงเป็นใยของชิงหูทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกแสบร้อนที่จมูก
ยื่นมือเข้าไปโอบกอดชิงหูที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ชิงหู ข้าจะหายาถอนพิษให้เจ้าให้ได้ เจ้าต้องสัญญากับข้า ก่อนที่ข้าจะหามันเจอ เจ้าจะต้องมีชีวิตต่อไป”
มุมปากของชิงหูยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวาดแขนเข้าไปโอบกอดเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าเบาๆ
หากเป็นไปได้ เขาอยากจะปกป้องดูแลนางไปชั่วชีวิต
จู่ๆ ลมปราณภายในก็ปั่นป่วน ทว่าเขาไม่อยากคลายอ้อมกอดจากนางในตอนนี้จึงฝืนอดทน
“เหตุใดข้าจึงได้กลิ่นเลือด หรือว่า…”
หลินเมิ้งหยารีบสำรวจอาการของชิงหู แต่นางกลับเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกจากจมูกของเขา
ทว่าสีหน้าของคนที่นางกำลังเป็นห่วงกลับทะลึ่งทะเล้น
“โรคจิต!”
กระทืบเท้าชิงหูแรงๆ หนึ่งที หลินเมิ้งหยาวิ่งออกไปนอกห้อง
เจ้าบ้านั่น สมน้ำหน้า! นางผิดเองที่เป็นห่วงเขา
“นี่ รอข้าก่อน!”