คำพูดของหลินเมิ้งหยายิ่งทำให้ป๋ายจีเจ็บปวดใจ
หลังจากร้องไห้อยู่พักใหญ่ ในที่สุดนางก็สงบลง
“ไม่ต้องกังวล บางทีป๋ายซ่าวเองก็มีเหตุผลของนาง อีกไม่นานนางจะต้องมาอธิบายให้พวกเราฟังอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาลูบไล้เส้นผมของป๋ายจี ส่งเสียงหนักแน่น
หลินเมิ้งหยาโน้มน้าวป๋ายจีให้กลับไปด้านนอก ก่อนที่นางจะตรวจสอบยาที่อยู่ในห้องเพียงลำพัง
“ในเมื่อมาแล้วก็ปรากฏตัวออกมาเถิด แอบมองอยู่อย่างนี้ไม่เหนื่อยหรือ?”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเรียบ ใบหน้าเรียวเล็กสงบนิ่ง
“ช่างเป็นวิธีการซื้อใจคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นลูกสาวสกุลหลิน วิธีการไม่ธรรมดา”
ส่งเสียงเยาะเย้ยไม่กี่ประโยคก่อนจะพลิกตัวกระโดดลงมายืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
“หรือข้าพูดผิด? คุณหนูใหญ่สกุลหลิน!”
หยุนจู๋ยังคงปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุม ทว่านางมิได้สวมใส่ชุดสีดำเหมือนก่อนแล้ว
ชุดกระโปรงสีม่วงรัดรูปขับให้เห็นรูปร่างเพรียวบางมีเสน่ห์ของนาง
เหตุเพราะช่วงอายุที่มากขึ้นนางจึงมีความเป็นผู้ใหญ่แต่ยังทรงสเน่ห์
ที่แขนเสื้อและชายเสื้อปักลายเปลวเพลิงแปลกตาเอาไว้
“ถูกต้อง ข้ากำลังซื้อใจคน มิรู้ว่าข้าซื้อใจของเจ้าได้แล้วหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาเคยชินกับวาจาแข็งกระด้างของหยุนจู๋แล้ว นางจึงมิได้เก็บมาเป็นอารมณ์
“หัวใจของข้าหรือ? มันตายไปนานแล้ว”
เรื่องของท่านอาจารย์ยังคงทิ่มแทงหัวใจของนาง
หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ก่อนจะตรวจสอบยาในมือ
“เจ้าสำนัก เจ้าคิดว่าชุดที่ข้าสวมใส่เป็นเช่นไร?”
นางยืนขวางหน้าหลินเมิ้งหยา
“อืม ขนาดพอเหมาะ คุณภาพไม่เลว”
หยุนจู๋กลับส่งเสียงหัวเราะออกมา หมุนตัวก่อนจะเอ่ย
“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่านายหญิงจะต้องมองความหมายมันไม่ออก ชิงหู ข้าขอเก็บเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงก่อนล่ะนะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง ชิงหูพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของหยุนจู๋
วันนี้เขาสวมใส่ชุดสีน้ำเงินอมฟ้าเข้ารูป น้ำหนักเบา ดูแล้วคล่องตัว
ศีรษะติดรัดเกล้าหยกสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน
“เจ้าเด็กน้อย วันนี้เหยียหล่อหรือไม่?”
รีบเข้ามายืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยา ทำท่าทางภูมิอกภูมิใจราวกับว่าเป็นคุณชายรูปงามกว่าใครในใต้หล้า
“อืม อืม ยกนิ้วให้”
หลินเมิ้งหยายกนิ้วโป้งขึ้น หากไม่แสดงความเห็นใดๆ ออกมา ชิงหูจะต้องวอแวนางไม่หยุด
เพื่อช่วยใบหูที่น่าสงสารของตัวเองนางจึงยอมเอ่ยปากชมเขา
“แค่ร้อยยี่สิบตำลึงเท่านั้น เอาไปเลย ขอแค่เจ้าเด็กน้อยชมว่าข้าหล่อก็พอ”
ชิงหูหยิบเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงออกมาจากวงแขนอย่างไม่ลังเลแล้วมอบให้หยุนจู๋ที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างพึงพอใจ
“เจ้าไม่รู้จักการใช้เงินเลยใช่หรือไม่?”
แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากคนหนึ่ง แต่นางไม่เห็นด้วยกับการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของชิงหูเลยแม้แต่น้อย
“จริงสิเจ้าเด็กน้อย นี่คือป้ายเจ้าสำนักที่ข้าออกแบบให้เจ้า เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ชิงหูหยิบป๋ายหยกทรงกลมออกจากวงแขน ด้านบนแกะสลักเป็นรูปเปลวไฟนูนขึ้นมา
สัญลักษณ์เหมือนกับชุดที่พวกเขาสวมใส่ไม่มีผิด หลินเมิ้งหยารับไปถือเล่น
เป็นหยกน้ำดี แต่รูปเปลวไฟนี่มันอะไรกันแน่?
“นี่เป็นเปลวไฟจิ้งจอก เจ้าเด็กน้อยของข้าเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก ฉะนั้นสัญลักษณ์นี้จึงเหมาะสมที่สุด”
หัวเราะดังลั่น เขาไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเพียงนางได้เห็นสัญลักษณ์นี้ก็จะนึกถึงเขา
เท่านี้เจ้าเด็กน้อยก็จะจดจำเขาไปได้ตลอดชีวิต
“เปลวไฟจิ้งจอก?” หลินเมิ้งหยาพลิกดู แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ทว่ากลับดูเป็นสัญลักษณ์ง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำลอกเลียนแบบได้ นางจึงหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา ก่อนจะเขียนสามคำลงไป
“เอ้า ช่วยข้าใส่อักษรสามตัวนี้ลงไปที ต่อจากนี้ไปทุกคนจะต้องมีของสิ่งนี้ แต่ทุกคนจะมีสัญลักษณ์แตกต่างกันออกไป พวกเราต้องจดเอาไว้ให้ดีจะได้ไม่สับสน พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ชิงหูรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี กลุ่มสามสหายย่อมต้องลึกลับกว่าเถาฮวาอู๋
จะมีหน่วยข่าวกรองที่ไหนมองหาข่าวตามข้างถนนบ้าง?
หยิบกระดาษในมือของหลินเมิ้งหยาไปดู ชิงหูแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่ามันคือตัวอักษรอันใด
“ไม่เข้าใจใช่หรือไม่? ข้าเขียนตัว L M Y เป็นสัญลักษณ์ออกเสียงแทนชื่อของข้า ต่อให้บอกไปพวกเจ้าก็คงไม่เข้าใจ ถ้ามีโอกาส ข้าจะค่อยๆ เล่าให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”
พยักหน้าลงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ความสงสัยยังคงเกาะกินหัวใจของชิงหูและหยุนจู๋
การออกเสียง? มันคืออะไร?
“เจ้าออกไปก่อนเถิดชิงหู ข้ามีเรื่องต้องคุยกับหยุนจู๋ตามลำพัง”
ชิงหูพยักหน้าอย่างเสียมิได้ อีกทั้งแสดงสีหน้าตำหนิติเตียนใส่หลินเมิ้งหยา
นับตั้งแต่วันที่นางสร้างกลุ่มสามสหายขึ้น นางแทบไม่มีเวลาให้กับเขาเลย
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ออกไปยืนด้านหน้าประตูประหนึ่งเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตูแต่โดยดี
“เอาผ้าคลุมออกก่อน ท่านอาจารย์เคยสอนวิธีการรักษาแก่ข้า วันนี้ข้าจะลงเข็มแรกให้แก่เจ้า มันจะเจ็บสักเล็กน้อย เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจหน่อยแล้วกัน”
นับตั้งแต่วันที่ป๋ายหลี่รุ่ยรู้ว่าจะต้องรักษาคนที่เป็นดั่งดวงใจของตนเอง
ป๋ายหลี่รุ่ยส่งมอบวิชาและหนังสือเกี่ยวกับวิชาแพทย์พิษให้กับนางทั้งหมด
อีกทั้งพยายามคิดค้นวิธีที่มีประสิทธิภาพแต่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
อันที่จริงตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลินเมิ้งหยามองออกว่าท่านอาจารย์ยังคงมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อหยุนจู๋
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเคยลองสอบถามมาแล้ว ก่อนจะพบว่าอาจารย์ยังมิได้แต่งงาน
เรื่องราวในวันวานผันผ่านไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นป๋ายหลี่รุ่ยยังเอ็นดูลูกศิษย์เพียงคนเดียวในชีวิตของเขาคนนี้มาก
ฉะนั้นเขาจึงไม่คิดโกหกหรือปิดบังนาง
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้คือเรื่องราวในตอนนั้นแปลกประหลาดมากเหลือเกิน
หากสามารถแก้ปมชีวิตรักของทั้งคู่ได้ พวกเขาคงมีความสุขไม่น้อย
“ได้”
หยุนจู๋ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ถอดผ้าคลุมออก
มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น หลินเมิ้งหยาตั้งสมาธิ หยิบเข็มที่ท่านอาจารย์เป็นคนมอบให้ออกมาจากเอวของนาง
“เข็มวิญญาณน้ำแข็ง แม้แต่ของสิ่งนี้เขาก็มอบให้เจ้ากระนั้นหรือ ดูเหมือนเขาจะเห็นเจ้าเป็นญาติสนิทแล้วจริงๆ”
ของเหล่านี้ล้วนทำให้นางรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
หัวใจที่เต้นอย่างโลดโผนทำให้พิษในตัวของนางถูกกระตุ้น
ริ้วรอยบริเวณขมับเริ่มกลายเป็นสีม่วง
“ตั้งสติ สูดลมหายใจ”
หลินเมิ้งหยาตะคอกเสียงเย็น มือขวาจับเข็มเส้นเล็กบางเฉียบ ก่อนจะปักลงไปบริเวณกลางกระหม่อม
ไม่เหมือนกับการรักษาแบบแพทย์แผนตะวันตก วิชาแพทย์แผนจีนเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ในวิชากายวิภาค
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่แตกต่างกันคือคำสั่งสอนที่ได้รับจากอาจารย์
หลินเมิ้งหยาปักเข็มได้อย่างรวดเร็ว เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์มาก่อน
ตอนนี้ให้นางหลับตาแทงเข็มลงไปเลยก็ยังได้
หยุนจู๋เหลือบมองนาง ก่อนจะหลับตาลงนิ่ง
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจ หยิบเข็มออกมาอีกเล่ม ทว่าคราวนี้นางหยิบขวดเล็กๆ มาหนึ่งใบ ก่อนจะจุ่มเข็มลงไป
นี่คือยาพิษที่ท่านอาจารย์ปรุงเองกับมือ มันสามารถดูดพิษในตัวของหยุนจู๋ได้
ทว่าขั้นตอนนี้อันตรายยิ่งนัก นางมีเวลาเพียงห้านาทีในการย้ายพิษไปไว้ที่จุดอื่น
นางพยายามศึกษาหนทางต่างๆ กับอาจารย์จนในที่สุดก็ได้วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุดออกมา
ยาพิษผสมเข้ากับเลือดของหยุนจู๋ หากคิดจะดึงเอาพิษออกมา สิ่งเดียวที่ทำได้คือการถ่ายเลือด
โชคดีที่กำลังภายในของหยุนจู๋สามารถควบคุมพิษเอาไว้ได้
ขอเพียงนางสะกดเลือดพิษเข้มข้นนั้นเอาไว้ที่ตำแหน่งอื่น ก่อนจะแทงยาถอนพิษเข้าไป เท่านี้ก็จะสำเร็จแล้ว
“ครั้งนี้จะเจ็บปวดมาก อดทนหน่อยนะ”
หยุนจู๋พยักหน้า นางไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
หลินเมิ้งหยาสูดลมหายใจ ก่อนจะหยิบเข็มออกจากกระเป๋าหนัง
ตอนนี้หลินเมิ้งหยาอยู่ในห้องเก็บยาเล็กราวสองชั่วโมงแล้ว
ท่านพ่อป๋ายและท่านแม่ป๋ายตระเตรียมอาหารอันโอชะมากมายเอาไว้แล้ว แม้จะไม่หรูหราดั่งเช่นในจวน แต่ถึงกระนั้นก็มีกลิ่นไอของครอบครัวอยู่
นอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว ทุกคนล้วนล้อมวงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
แม้แต่หลินจงอวี้ที่ออกมากินข้าวโดยเฉพาะยังกินข้าวเข้าไปถึงสองชามใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้โปรดเก็บอาหารไว้ให้นายหญิงด้วย อย่าปล่อยให้อาหารเย็นชืดนะเจ้าคะ”
ป๋ายจีกำชับหลายครั้ง ทุกครั้งมักจะมองทางห้องเล็กนิ่ง ดวงตาเผยให้เห็นร่องรอยของความกังวล
“ข้าเก็บเอาไว้แล้ว ตอนนี้อยู่ในหม้อ หากนายหญิงพระชายาออกมาเมื่อไหร่ก็จะได้กินอาหารร้อนๆ ทันที”
ท่านแม่ป๋ายยกยิ้ม เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วนางเก็บอาหารไว้ให้หลินเมิ้งหยาอย่างดี
หลินเมิ้งหยาไม่ยอมให้พวกเขาเรียกตนเองว่านายหญิง ทว่าพวกเขากลับไม่ยินยอม
เมื่อไม่มีทางเลือกสุดท้ายต้องปล่อยให้พวกเขาเรียกแปลกๆ เช่นนี้ไป
“พี่สาวทำอะไรอยู่? เจ้าบ้าชิงหูก็ไม่ยอมบอก เฮ้อ พี่ป๋ายจี ท่านสนิทกับพี่สาวที่สุด ท่านรู้หรือไม่?”
หลินจงอวี้ลูบท้องกลมกลึงของตนเองขณะเอ่ยถาม
ป๋ายจีส่ายหน้า ตอนแรกนางคิดว่านายหญิงกำลังโศกเศร้าเสียใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
คนทั้งหมดจึงจ้องมองทางประตูบานนั้นเขม็ง
เมื่อมีชิงหูเป็นเทพเจ้าอารักขาประตู จึงไม่มีใครย่างกรายเข้าไปได้
“โอ๊ย…”
เสียงกรีดร้องเพราะความทรมานดังขึ้น ตอนแรกชิงหูคิดอยากเข้าไปข้างใน ทว่าเสียงตะคอกเย็นชาของหลินเมิ้งหยากลับดังออกมาก่อน
“ห้ามใครเข้ามา! ป๋ายจี จงไปเตรียมน้ำอุ่นกับผ้าสะอาดให้ข้า”
แม้เสียงของหลินเมิ้งหยาจะดังกังวาน แต่กลับสงบนิ่ง
ดูเหมือนนางจะไม่ได้เป็นอะไร
ป๋ายจีรีบร้อนไปเตรียมตามคำสั่ง ชิงหูคิดจะนำเข้าไปให้ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยื่นมือทั้งสองข้างออกมา มิยอมให้เข้าไป
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ประตูอีกครั้ง พวกเขาอยากจะพังมันเข้าไปเหลือเกิน
ทว่าภายในกลับไร้เสียงของการเคลื่อนไหว
คนในสวนเสมือนมดที่กำลังไต่อยู่บนกระทะร้อนฉ่า
“ข้าทำเอง เจ้าพักสักหน่อยเถิด”
หยุนจู๋ส่งเสียงอู้อี้เพราะความรู้สึกผิด
นั่งพิงเก้าอี้ หยุนจู๋ที่เพิ่งทำการรักษาเสร็จถูกผ้าสีขาวพันใบหน้าเอาไว้ประหนึ่งมัมมี่
“เจ้าพักสักหน่อยเถิด ข้าไม่อยากให้เจ้าทำยาทั้งหมดในห้องข้าแตกหรอกนะ”