จุมพิตของเขาไม่ต่างจากพายุลมฝนกระโชก ถาโถมเข้ามาอย่างดุดันและร้อนแรง เสมือนกองทัพม้านับหมื่นประดาหน้าเข้ามาโจมตีอย่างไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ด้วยซ้ำ นางพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ไร้หนทางต่อสู้ ทำได้เพียงหายใจรวยรินยอมจำนนแต่โดยดี
มือของเขาหาได้ปล่อยว่างไม่ มันถูกส่งขึ้นมาปลดเชือกคาดเอวของนางตั้งแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้นจึงแทรกซึมเข้าไปใต้เสื้อผ้าของนางแล้วกอบกุมอกอวบอิ่มของนางและฟอนเฟ้นอย่างเบามือ สลับกับการหยอกเย้ายอดเชอร์รี่สีแดงสดที่เคยอ่อนนุ่มจนชูชันขึ้นมาด้วยปลายนิ้วของเขา เสมือนการบังคับให้นางปล่อยเสียงกระเส่าออกมา
“หมิงอวิน...”
หลินหลันส่งเสียงกระซิบพร่าเบาประหนึ่งลูกแมวตัวน้อย ทว่านั่นยิ่งเป็นเสมือนยากระตุ้นเพลิงราคะชั้นเลิศ หลี่หมิงอวินรู้สึกเพียงท่อนล่างของเขามันปวดหนึบจนไม่อาจหักห้ามต่อไปได้อีก เขาจึงช้อนตัวนางอุ้มขึ้นแล้วสาวเท้าเดินไปยังเตียงนอนอย่างรวดเร็ว ตามด้วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของทั้งสองออกภายในชั่วพริบตา เขาตราตรึงนางไว้ใต้เรือนร่าง พรมจุมพิตอย่างละเมียดละไมเคลื่อนไปตามลำคอระหงของนาง ก่อนไล้ลงมาตามกระดูกไหปลาร้าและส่งเสียงกระซิบกระซาบไปในขณะเดียวกัน “หลันเอ๋อร์…พระเจ้า ข้าคิดถึงเจ้ามากเหลือเกิน…”
ยามที่กลีบปากของเขาอ้อยอิ่งอยู่บนท้องน้อยของนาง หลินหลันจึงรู้สึกได้ถึงสัญญาณเตือนบางอย่าง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อสมองของนางถูกแรงปรารถนาโจมตีจนไม่อาจตอบโต้ได้เสียแล้ว กระทั่งยามที่นางนึกขึ้นได้ว่าต้องการยับยั้ง เขาก็เคลื่อนใบหน้าไปอยู่บริเวณใจกลางหว่างขาทั้งสองของนางและกลืนกินจุดที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดของนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อ๊า…ไม่นะ…” หลินหลันส่งเสียงพร่าเบา สัญชาตญาณทำให้นางอยากดึงสองขามาเกี่ยวพันกัน ทว่ามันสายไปเสียแล้ว
การจุมพิตเช่นนี้มันช่างชวนให้รู้สึกเขินอายเกินไป การจุมพิตเช่นนี้มันช่างสร้างความเสียวซ่านมากเกินไป หลินหลันอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ นางอ้อนวอนเสียงบางเบาด้วยความอยากร่นถอย “หมิงอวิน ปล่อยข้าเถอะ…”
เขาไม่ยินยอมให้นางร่นถอยเลยด้วยซ้ำ นางเขยิบถอยหนึ่งคืบ เข้าเดินหน้าเข้าสองคืบ ปลายลิ้นตวัดใจกลางดอกไม้งามของนาง ลิ้มรสหยาดน้ำผึ้งแสนหวานที่อยู่ภายในด้วยความกระหาย
“หมิงอวิน...ข้อร้องเจ้าละ…” หลินหลันอ้อนวอนหงิงๆ ประหนึ่งลูกแมว บริเวณท้องน้อยรู้สึกราวกับมีคลื่นไฟฟ้าประทุขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนแพร่กระจายไปทั่วแขนขาทั้งสี่ ทุกอณูของร่างกายล้วนเกร็งตัวขึ้น มันคือแรงปรารถนา แรงปรารถนาที่ทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงใจกลางดอกไม้งามของนางหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยหยาดน้ำผึ้งที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย หลี่หมิงอวินถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้น เขาคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองของนาง เตรียมนำพานางไปแตะถึงขีดสุด เขามองดูความผงาดที่ค่อยๆ จมดิ่งลงในกลีบดอกไม้งาม
“อา…” ความแข็งแกร่งดำดิ่งลงมาอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง ให้ความรู้สึกแข็งกร้าวและร้อนผ่าวของเขาอย่างชัดเจน นางไม่รู้สึกเจ็บ เพียงแต่ความรู้สึกของการถูกเติมเต็มมันเอ่อล้นจนยากเกินบรรยาย หลินหลันแอ่นลำตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อต้อนรับเขา
เขาโน้มลงมาแล้วโอบกอดนางไว้ ตามด้วยพรมจูบไปที่ใบหูอันอ่อนนุ่มของนางแล้วเอ่ยปากถาม“หลันเอ๋อร์ เจ็บหรือไม่”
หลินหลันโอบกอดเขาและส่ายหน้าพัลวัน “ไม่เจ็บ…”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนออกแรงช่วงเอว กดมันจมดิ่งสุดปลายทาง นำมาซึ่งเสียงร้องกระเส่าพร้อมเรือนร่างที่สั่นสะท้านเล็กน้อยของคนใต้ร่าง
บทสวาทที่บรรเลงครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเอ้อระเหยราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ไม่เพียงแค่เนื้อแนบเนื้อ ยิ่งไปกว่านั้นคือการไปได้เผชิญกันของจิตวิญญาณ หลังฝ่าฟันความยากลำบากจนผ่านพ้นไป มีเพียงวิธีเดียวนี้เท่านั้นที่แสดงออกถึงความรักของทั้งคู่ที่มีต่อกันได้อย่างเต็มที่
ไม่รู้เช่นกันว่ามันดำเนินไปเนิ่นนานเพียงใด หลินหลันรู้สึกเหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาด ในที่สุดหมิงอวินก็เร่งความเร็วในช่วงสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยมันออกมา ทั้งสองโอบกอดกันแนบแน่น แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าแต่กลับรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างยิ่ง
“หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เหนื่อยหรือไม่” หลังจังหวะลมหายใจของหลี่หมิงอวินกลับมาราบเรียบอีกครั้ง จึงจรดจุมพิตไปบนกลีบปากของหลินหลันแล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
หลินหลันไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากพูด ศึกเนื้อแนบเนื้อครานี้ เดิมทีก็เรี่ยวแรงไม่อาจต่อกรคู่ต่อสู้ได้อยู่แล้ว ผนวกกับเขาวันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ อยู่ในห้องขัง ได้เติมพละกำลังไว้เต็มเปี่ยม ทว่านางต้องวิ่งเข้านอกออกในทุกวันไม่หยุดหย่อน ทั้งสภาพจิตใจและร่างกายจึงอ่อนล้า ผิดกับเขาที่เต็มไปด้วยพละกำลังแข็งแกร่ง นางจึงไม่เพียงแค่รู้สึกเหนื่อย แต่ยังรู้สึกราวกับว่าเอวจะขาดแล้วด้วยซ้ำ
หลินหลันออกแรงผลักเขาหนึ่งทีแล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หนักชะมัด ข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว”
หลี่หมิงอวินส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนพลิกกายลงจากเรือนร่างของนางแล้วลงจากเตียงนอน เขาเก็บกวาดเสื้อผ้าที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา คว้าเอาชุดคลุมตัวนอกมาสวมใส่แล้วมุ่งไปห้องน้ำ ไม่นานนักเขาก็ออกมาพร้อมกับน้ำอุ่นและผ้าขนหู ช่วยเช็ดหยาดเหงื่อบนเรือนร่างให้แก่นางแล้วจึงเตรียมช่วยเช็ดทำความสะอาดส่วนล่างให้นาง
หลินหลันรีบหลบหลีกและกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “เดี๋ยวข้าจัดการเองดีกว่า…”
หลี่หมิงอวินมองดูใบหน้าแดงก่ำของนางราวกับโลหิตจะซึมออกมาแล้วก็ว่าได้ เขาจึงปล่อยให้นางจัดการ ระหว่างนั้นเขาเลือกที่จะเดินไปรินน้ำมาให้นาง “ดื่มหน่อย จะได้สบายคอ”
หลังจัดเก็บข้าวของที่หลินหลันใช้เรียบร้อยแล้ว หลี่หมิงอวินจึงถอดเสื้อคลุมแล้วขึ้นไปบนเตียงนอน เขาให้หลินหลันเอนกายซบเข้าหาเรือนร่างของเขาแล้วส่งฝ่ามือหนาไปลูบคลำแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางอย่างเบามือ ก่อนเริ่มระบายความรู้สึกต่อหลินหลันภายใต้น้ำเสียงเกียจคร้านหลังได้รับความอิ่มเอมใจ “หลันเอ๋อร์ ตอนที่อยู่ในห้องขัง ข้าคิดว่าหากออกมาได้ ข้าไม่ขอเป็นขุนนางอีกแล้ว ข้าขอพาเจ้ากลับไปใช้ชีวิตที่เฟิงอาน หรือไม่ก็ไปซูหาง พวกเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข น่าเสียดาย…เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ปรารถนาไว้ แล้วยังต้องไปหลางซานอีกด้วย”
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวาน “ไปหลางซานก็ดีออก เป็นบุรุษทั้งทีหากไม่ถือโอกาสช่วงยังหนุ่มยังแน่นสั่งสมประสบการณ์ให้มากๆ เอาแต่อยู่และทำกับสิ่งเดิมๆ จนกระทั่งถึงวัยแก่เฒ่า คงต้องเสียใจภายหลังที่ชีวิตนี้ไม่ได้ทำอันใดเป็นรูปเป็นร่างอย่างแน่นอน อีกอย่างในภายภาคหน้าลูกๆ หลานๆ ห้อมล้อมเจ้าให้เล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟัง เมื่อเจ้าเอ่ยปากโดยได้นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาของเจ้าและข้าที่ได้ฝ่าฟันกันมา ไม่ใช่เพียงเดินชมนกชมไม้ไปวันๆ จนแก่เฒ่า แสนน่าเบื่อเสียยิ่งอะไรดี”
หลี่หมิงอวินหัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นขณะลูบคลำเส้นผมสลวยของนาง “ที่เจ้าพูดก็ถูก เช่นนั้นคงน่าเบื่อจริงๆ”
“จริงสิ หนิงซิ่งร่วมทางไปด้วยครั้งนี้ พี่ชายของข้าก็ไปด้วยกันใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม
“น่าจะไปด้วย ในเมื่อตอนนี้พี่ชายของเจ้าเป็นคนใต้บัญชาของหนิงซิ่ง”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ล้วนเป็นคนกันเอง ทั้งวางใจได้และได้มีเพื่อนร่วมทางไปด้วย” หลินหลันเริ่มรอคอยวันที่จะได้ออกเดินทางไปยังหลางซาน
“จริงสิ หลินฮูหยินเอ่ยว่า ยามที่เจ้าจะออกเดินทางให้ช่วยบอกกล่าวนางสักหน่อย นางอยากให้พวกเราช่วยนำจดหมายไปให้ท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวน”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิด “น่าจะอีกประมาณครึ่งเดือนกระมัง”
“รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ” หลินหลันยกมือขึ้นนับนิ้ว “เช่นนั้นระยะนี้ข้าจะต้องวางแผนให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทางจัดงานแต่งของอวี้หลงให้เรียบร้อย แล้วก็เรื่องเปิดทำการร้านใหม่อีกครั้งของหุยชุนถาง แล้วยังมี…จริงสิ ก่อนออกเดินทางเจ้าช่วยพาพี่ใหญ่ออกมาหน่อยได้หรือไม่ พอพวกเราไป บ้านนี้ก็จะต้องโยนให้พี่สะใภ้ดูแล พี่สะใภ้ตัวคนเดียวทั้งยังต้องดูแลท่านย่า แล้วยังต้องดูแลเรื่องในบ้านอีก ข้าเกรงว่านางจะเหนื่อยเกินไป”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้น “เรื่องของพี่ใหญ่น่าจะมีความคืบหน้าในเร็วๆ นี้ละ วันนี้ยามที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ข้าได้ขอร้องฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้รับปากว่าจะพยายามพิจารณาให้โดยเร็วที่สุด”
หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย วันนี้ข้าเห็นท่าทีเศร้าโศกของพี่สะใภ้ ภายในใจข้ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ในเมื่อสามีของข้าได้ออกมาแล้ว ทว่าสามีของนางยังคงนั่งอยู่ในห้องขัง”
หลี่หมิงอวินหุบยิ้มราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ช่วงที่ผ่านมานี้มีข่าวคราวของนางฮานบ้างหรือไม่”
หลินหลันเม้มริมฝีปาก “ไม่มีเลย จะว่าไปแล้วก็แปลก ข้าจัดการส่งคนไปจับตาดูพวกนางไว้แล้ว ทว่าจู่ๆ ก็ไม่ได้ข่าวคราว นี่ก็นานมากแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าพิษในร่างกายของหมิงจูขจัดหมดแล้วหรือไม่ สรุปแล้วนางฮานพาหมิงจูไปไหนแล้วกันแน่”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ “ช่างเถอะ พวกเราจบสิ้นกับพวกนางไปแล้ว ต่างคนต่างไปมีชะตาชีวิตของตนเอง หมิงจูก็ได้รับผลของกรรมในครั้งนี้ไปแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลินหลันก็นึกรังเกียจและเคียดแค้นพ่อผู้ไร้ยางอายอย่างยิ่ง จึงกล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาล “หากจะโทษก็คงต้องโทษท่านพ่อเจ้าเท่านั้นที่โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะลงทัณฑ์เขาหรือไม่”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้ม “ครั้งนี้เขาหนีไม่พ้นตัวบทกฎหมายที่เป็นเครื่องกำหนด ตอนอยู่ในห้องขัง ข้าเคยได้พบเจอเขาครั้งหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามาเพื่ออันใด”
หลินหลันขมวดคิ้ว “คงมิใช่ว่ามาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าทำตามประสงค์ของไท่โฮ่วหรอกนะ?”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเย็นชาแล้วกล่าว “ในหัวใจเขามีเพียงตัวเขาผู้เดียวเท่านั้น ในสายตาเขา ผู้อื่นล้วนเป็นเพียงตัวหมากที่มีประโยชน์และไร้ประโยชน์เท่านั้น”
นี่มันช่างไร้ยางอายจริงๆ คนไร้ยางอายประเภทนี้ควรได้รับการลงโทษสถานหนัก มิเช่นนั้นเทพเจ้าคงตาบอดไปแล้ว
“ช่างเถอะ อย่าเอ่ยถึงเขาเลย หวังว่าก่อนพวกเราออกเดินทาง ฮ่องเต้จะพิจารณาโทษเขาเสียที ข้าอยากจะเห็นฉากต่อไปที่เขาต้องเผชิญ” หลินหลันกล่าวด้วยความวาดหวัง
หลี่หมิงอวินมองดูนางที่กำลังหน้าชื่นตาบานจึงเอ่ยถาม “เจ้าเหนื่อยแล้วมิใช่หรือ”
หลินหลันกล่าว “เมื่อครู่เหนื่อยมาก แต่ได้พักผ่อนหน่อยก็เลยดีขึ้นมากแล้ว”
หลี่หมิงอวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ทันใดนั้นมือของเขาก็เริ่มซุกซนด้วยการไปกอบกุมอกอวบอิ่มของนางและฟอนเฟ้นมันเบาๆ “ในเมื่อหายเหนื่อยแล้ว พวกเขามาทำกันอีกสักรอบ?” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลินหลันปัดมือของเขาทิ้งทันทีแล้วออกแรงผลักเขาขณะใบหน้าแดงก่ำ “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพัก”
นางพลิกตัวไปขณะเอ่ยแล้วดึงผ้าห่มมาห่อหุ้มเรือนร่างไว้อย่างมิดชิด เมื่อนึกถึงระดับความเร่าร้อนเมื่อครู่นี้ หลินหลันอดหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาไม่ได้
หลี่หมิงอวินแนบกายเข้าหาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม มือข้างหนึ่งแทรกเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วคืบคลานไปยังช่วงท้องน้อยของนาง
เขากล่าวเสียงกระซิบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าเหนื่อยแล้วก็ไม่ต้องขยับ ให้ข้าขยับเองก็พอ”
หลินหลันพยายามปัดป้องขณะหลบหลีก แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เด็ดขาดเอาเสียเลย “ไม่ได้…”
หลี่หมิงอวินโน้มใบหน้าลงไปข้างใบหูของนางแล้วเอ่ยอย่างผู้น่าสงสาร “ข้าไม่ได้กลืนกินเจ้ามาตั้งนานเพียงนี้แล้ว ข้าโหยหาเจ้าจริงๆ นะ อีกอย่างหลังพวกเราออกเดินทางแล้ว ทว่ากลางกองทัพทหารนั่นคงไม่สะดวกสบาย ซึ่งข้าคงต้องอดทนไปอีก…หลันเอ๋อร์ ข้าขอเถอะนะ ตกลงหรือไม่ ข้าจะออกแรงให้เบาๆ หน่อย…” ขณะอ้อนวอน เขาส่งความแข็งแกร่งกดลงบนสะโพกของนางเป็นระยะๆ
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ หลินหลันจึงอดใจอ่อนไม่ได้ ฝ่ามือคู่น้อยของนางที่กระชับผ้าห่มไว้แน่นจึงคลายออกแต่โดยดี