บทที่ 204: การก่อจลาจลของวิญญาณ (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 204: การก่อจลาจลของวิญญาณ (2)

ฉินเย่รู้สึกว่าปากของเขาแห้งผาก

เขา…ประเมินยมโลกต่ำเกินไป

เขาคิดมาตลอดว่าการก่อความวุ่นวายของวิญญาณจะเป็นเพียงการรวมตัวกันของกองกำลังวิญญาณที่ไร้อาวุธ เดินไปมาอยู่ที่หน้าประตูนรก และเขาก็เตรียมตัวที่จะกำจัดวิญญาณทั้งหมดที่ดาหน้าเข้ามา

จิตสำนึกและผลกระทบทางจิตใจ?

เอาเรื่องพวกนี้มาพูดในยมโลกเนี่ยนะ?

น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขาไม่คิดเลยว่าการก่อความวุ่นวายของวิญญาณมันจะใหญ่โตขนาดนี้ ความโกรธแค้นตรงหน้าจะต้องมีความสามารถของขั้นยมทูตขาวดำอย่างแน่นอน!

และนี่ก็เป็นเพียงการก่อจลาจลของวิญญาณเท่านั้น มันเกิดจากวิญญาณแค่แสนตน! ยมโลกจะขยายขึ้นอีกในอนาคต และมันจะต้องมีวิญญาณเดินทางมาที่นี่อีกมากพอสมควร แล้วแบบนี้จำนวนวิญญาณที่ก่อความวุ่นวายในครั้งหน้าจะมากมายขนาดไหนกัน?

ทั้งหมดที่ใช้เพียงตัวกระตุ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นการก่อกบฏ…หรืออาจจะเป็นการกำเริบเสิบสาน…จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?

ยมโลกไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้โดยใช้สามัญสำนึกเลยสักนิด

“ไม่ต้องห่วง การก่อจลาจลเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะทำลายประตูนรกได้” อาร์ทิสเอ่ยยืนยัน “อย่างที่ข้าเคยบอกก่อนหน้านี้ ประตูนรกคือประตูทางเข้าสู่ยมโลกทั้งหมด หากไม่ใช่การก่อความวุ่นวายของวิญญาณล้านตน มันไม่ทางเลยที่ประตูนรกจะพังทลายลง แต่…ตราบใดที่หุ่นเชิดหยินยังอยู่ เจ้าจะไม่สามารถใช้งานพื้นที่โดยรอบมันได้”

ราวกับเข้าใจความคิดของฉินเย่ นางแย้มยิ้มบางและเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงการก่อจลาจลเท่านั้น เจ้าลองจินตนาการดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากเกิดการก่อกบฏขึ้น? เจ้าจินตนาการภาพหุ่นเชิดหยินขั้นตุลาการนรกหลายสิบตัวพุ่งมาที่ประตูนรกได้หรือไม่….ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าเหตุใดยมโลกจึงต้องมีขั้นตุลาการนรกมากกว่าพันตน?”

“ทุก ๆ มณฑลจะมีตุลาการนรกประจำอยู่อย่างน้อยสิบตน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดการก่อกบฏขึ้นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาที่ไม่คาดคิดมากที่สุด วิญญาณนั้นมีพื้นฐานแตกต่างจากมนุษย์ พวกเขาไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จำเป็นต้องกินหรือนอน แม้แต่มาตรฐานทางศีลธรรมของพวกเขาก็แตกต่างไปจากมนุษย์ มันไม่สามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งใด…แบบนี้ เจ้ายังคิดอยู่หรือไม่ว่าเศษเสี้ยววิญญาณของโอดะโนบูนางะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป

หากโอดะโนบูนางะอยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่จำเป็นต้องรีบลงมายังยมโลกเช่นนี้ เพราะอย่างไรแล้วราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ก็คือผู้ที่เพลิดเพลินไปกับการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ราวกับกำลังเล่นเกมเลยล่ะ

“เรามาจัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยคุยกันต่อเถอะ” ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขายังคงรักษาบุคลิกที่สูงส่งและเย็นชาอย่างที่เคย ดังนั้นเขาจึงก้าวไปด้านหน้าและเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยมทูตขาวดำ?”

“ยมทูตขาวดำระดับต้น” อาร์ทิสหันหน้ากลับไปมองเหล่าวิญญาณที่มีใบหน้าซีดเผือดซึ่งถอยไปอยู่ด้านในของประตูนรก จากนั้นจึงมองไปที่ม่านพลังซึ่งกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง “นับว่าเจ้าโชคดีมากที่ยังเหลือกำลังวิญญาณกว่า 5 หมื่นตน วิญญาณเกือบ 130,000 ตนที่ตอบรับอนุภาคแห่งเต๋า นี่หมายความว่าไม่ใช่วิญญาณทุกคนที่มีความโกรธแค้นต่อเจ้า อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงขนาดระเบิดความโกรธออกมา”

“… ข้าถือว่านั่นเป็นคำชมได้หรือเปล่า?”

“ลองเดาดูสิ…” อาร์ทิสหันหน้าไปมองจุดบนสุดของประตูนรกและโค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านหมิง เตรียมตัวเปิดม่านพลัง”

สิ้นสุดเสียงพูด หมิงชีหยินก็สว่างวาบขึ้น ส่งผลให้วิญญาณที่อยู่โดยรอบต่างหันไปมองด้วยความหวาดกลัว ภายในไม่กี่วินาที อักขระภาษาสันสกฤตที่ปกป้องพวกเขามาตลอดก็เริ่มจางหายไป

“กะ เกิดอะไรขึ้น?” “ม่านพลังหายไปแล้ว?” “ไม่นะ! ใครก็ได้ช่วยด้วย! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ตัวประหลาดตรงหน้ามันปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร?!”

เสียงกรีดร้องและคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นให้ได้ยินทันที และวิญญาณหลายตนก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว แต่ขณะนั้นเองเสียงของฉินเย่ก็ดังขึ้น “เงียบ”

พรึ่บ! ทันใดนั้นเอง สายตาที่หวาดกลัวจำนวนมากก็หันไปมองฉินเย่ราวกับว่าเขาคือผู้ช่วยชีวิตของวิญญาณทั้งหมด ความหวังเพียงอย่างเดียว เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “นี่คือเหล่าผู้ที่มีความไม่พอใจในหมู่ของพวกเจ้า แต่พวกเขาทั้งหมดไม่รู้เลยว่าภายในยมโลก เมื่อความไม่พอใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด พวกเขาจะเสียสติและกลายเป็นหุ่นเชิดหยินที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมได้”

“นายท่าน…” ชายสูงวัยไม่สามารถแม้แต่จะลุกยืนขึ้นได้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “พะ…พวกเขา…”

“พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้ว” ฉินเย่เอ่ยเสียงเรียบ “ดังนั้นข้าจะทำลายต้นตอของปัญหาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เหล่าหมิง ช่วยเปิดม่านพลังที”

ครืดดดดด….พื้นที่ภายในม่านพลังสั่นไหวเล็กน้อย และอักขระภาษาสันสกฤตที่เปล่งประกายก็เรียงตัวกันอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นช่องว่างขึ้นที่กึ่งกลางของม่านพลัง กึก กึก กึก….ในไม่ช้าประตูก็ถูกเปิดออก และพลังหยินจำนวนมหาศาลก็ถาโถมเข้ามาพร้อมกับเปลวไฟนรกที่ลอยอยู่บนฟ้าราวกับหิ่งห้อย พุ่งเข้าหาพื้นที่ทั้งหมดราวกับคลื่นสึนามิ!

“แซ่กซ่าาาา!” “อ๊ากกก!!!!” ทันทีที่ช่องว่างบนม่านพลังถูกเปิดออก เหล่าวิญญาณและเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ กลับทางเข้าของประตูนรกก็อ้าปากและกรีดร้องอย่างโหยหวนขณะที่ถอยกลับไปในหมู่วิญญาณดังเดิม ภายในไม่กี่วินาที กลุ่มวิญญาณทั้งหมดก็ถอยหลังลึกเข้าไปในประตูนรก เหลือเป็นที่ว่างขนาดใหญ่ระหว่างฉินเย่กับพวกตน

กึก กึก กึก…รอยแยกที่ประตูเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และสายลมนรกที่รุนแรงก็พัดผมเผ้าของฉินเย่จนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อประตูเปิดออกกว้างประมาณห้าเมตร เสียงคำรามพลันดังกึกก้องไปทั่วยมโลก และนิ้วมือสีขาวซีดทั้งสิบก็จับอยู่ที่ทั้งสองฝั่งของประตู ในวินาทีต่อมาดวงตาสีทองข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันถูกฝังอยู่ในกระดูกสีซีดและมีเปลวไฟสีเขียวหยกลุกโชนอยู่รอบ ๆ ดวงตาดังกล่าวมองผ่านช่องว่างและจ้องเขม็งมาที่ร่างของฉินเย่

มันใหญ่มาก

ฉินเย่สูงกว่าดวงตาตรงหน้าเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น มันเป็นภาพที่หากคนปกติเห็นก็คงจะหวาดกลัวจนเสียสติไปแล้ว ขณะนั้นเอง ความโกรธแค้นก็ถอยกลับไปเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธออกมา ฟันที่แหลมคมของมันพุ่งตรงไปที่ฉินเย่ราวกับได้เห็นชิ้นเนื้อที่น่าอร่อย นิ้วมือทั้งสิบที่จับอยู่ที่ขอบประตูทั้งสองฝั่งเริ่มง้างออกเหมือนกับต้องการขยายช่องว่างให้กว้างขึ้น

กรรรรร!!!

เสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวส่งคลื่นกระแทกที่รุนแรงไปรอบ ๆ ป่าไม้ฮวงหัวลี่สั่นไหวอย่างรุนแรง แต่ฉินเย่เพียงแสยะยิ้มให้กับความโกรธแค้นก่อนจะพุ่งเข้าหามันราวกับดาวตก!

เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาท้าทายอำนาจของข้าในยมโลก! ความผิดครั้งนี้ข้าจะสังหารเจ้าโดยไร้ซึ่งความปรานี!

ฟึ่บ! ขณะที่เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า พลังหยินจำนวนมากก็ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์ “ด้วยคำพิพากษาจากนรก เหล่าวิญญาณทั้งปวงจงสูญสิ้น!” พร้อมกับเสียงการต่อสู้ที่ดังก้อง เขาพุ่งออกมาจากปลายอีกด้านหนึ่งของรังไหมพลังหยินในร่างของยมทูตขาวดำ

เสื้อคลุมยาวสีขาวและหมวกทรงสูงไร้ปีสีขาว เสียงคร่ำครวญและร้องโหยหวนดังขึ้นให้ได้ยินจากไม้ขกสังปั๊ง ขณะที่เขาพุ่งไปที่ส่วนศีรษะของความโกรธแค้น

กรรร!! ความโกรธแค้นโต้กลับด้วยเสียงร้องของวิญญาณนับหมื่นตน จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นพายุที่ทรงพลังซึ่งขับเคลื่อนฟันที่แหลมคมของมันไปที่ร่างของฉินเย่ หมายจะกัดร่างของเด็กหนุ่ม

“ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสพลังของยมทูตขาวดำ…อ่าา แต่ก็นั่นแหละ ด้วยอำนาจในการปราบปรามของยมทูตที่มีเหนือกว่าวิญญาณอาฆาตเช่นเจ้า ช้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ” ฉินเย่ยิ้มบาง และขณะที่ฟันอันแหลมคมของฝ่ายตรงข้ามกำลังจะกัดลงบนร่าง เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นสายลมนรกและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเหนือศีรษะของความโกรธแค้น

ไม้ขกสังปั๊งในมือฟาดลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง ทำให้กะโหลกที่ดูเหมือนจะแข็งของมันก็รอยร้าวขึ้นทันที!

ตูม! คลื่นกระแทกสีดำระเบิดออกมาจากจุดที่ทั้งสองปะทะกัน ซ่ากกกกกกก! ความโกรธแค้นกรีดร้องที่ออกมาอย่างเคียดแค้น ขณะที่รอยร้าวบนกะโหลกของมันเริ่มแพร่กระจายไปทั่วราวกับใยแมงมุม ในวินาทีต่อมา วิญญาณจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากกะโหลกของมันราวกับน้ำพุก่อนจะกลายเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินขนาดใหญ่ ความโกรธแค้นร้องโหยหวนออกมาอย่างทุกข์ทรมาน ขณะที่มันใช้ฝ่ามือของตนตะปบลงไปบนศีรษะ

ปัง! มันดูราวกับเวลาที่มนุษย์คนหนึ่งตบยุง ฉินเย่นั้นตัวเล็กมากเมื่อเทียบกันหุ่นเชิดหยิน

“เฮือก!!” “นายท่านโดนโจมตีอย่างนั้นหรือ?” “เหตุใดท่านถึงไม่หลบมัน?!”

และขณะที่เหล่าวิญญาณทั้งหมดมองภาพตรงหน้าอย่างหวาดกลัว ความโกรธแค้นก็กำมือของมันรอบร่างของฉินเย่และบีบจนแน่น กักขังฉินเย่ไว้ในกำมือของมัน

“นี่คือความสามารถทั้งหมดของหุ่นเชิดหยินสินะ….” ฉินเย่เอ่ยอย่างใจเย็น “ตอนนี้กลับเป็นข้าเองแล้วที่เริ่มสงสัยว่าเจ้ากำลังหวาดกลัวมากเพียงใด…เหตุใดตัวตนเช่นเจ้าจึงกล้ามาแสดงความไม่พอใจและกำเริบเสิบสานในยมโลก?!”

นี่คือการแสดง

การแสดงความแข็งแกร่ง

เขาต้องการจะเตือนเหล่าวิญญาณที่กำลังดูสิ่งที่เกิดขึ้น ให้รู้จักสำรวมท่าทีของตนและมีความเคารพต่อยมโลก

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าผู้ที่ให้ที่พำนักแก่พวกเจ้าหลังจากการตายคือใคร?”

กึก กึก….ดวงตาสีทองของมันมองขึ้นด้านบนโดยไม่รู้ตัว เพียงเพื่อที่จะพบว่ามือที่กำแน่นของมันถูกบังคับให้แยกออกในทันที

แซ่กก…ซ่าาาา!! มันร้องออกมาอย่างคับแค้นใจ กระดูกในมือของมันสั่นเทาจากการใส่แรงมากเกินไปและเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอยู่รอบ ๆ มันก็โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง แต่เวลานี้…มันไม่สามารถกำมือรอบร่างของฉินเย่ได้อีกต่อไป

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยบอกให้เจ้าอดทนจนกว่ายมโลกจะกลับสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์อีกครั้ง? ข้าเองก็ต้องอดทนครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเห็นว่าพวกเจ้าไม่กระตือรือร้นและเดินไปมาเพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์…จะไม่รู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มีสินะ”

“เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าก็คงไม่ถามหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หากเจ้ารู้จักคำ ๆ นั้น”

ตูม!

มือของความโกรธแค้นระเบิดออก เศษซากกระดูกกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ขณะที่เสียงกรีดร้องน่าสังเวชดังให้ได้ยินไปทั่ว ฉินเย่ไม่ได้ขยับมือแม้แต่น้อย เขายังคงจับไม้ขกสังปั๊งในมือแน่น แต่มันกลับมีชั้นบาง ๆ ของพลังหยิน ก่อตัวขึ้นรอบ ๆ ร่างของเขาแทน

ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจ

ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจของยมทูตขาวดำ

ไม้ขกสังปั๊งของฉินเย่นั้นมีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับร่างของความโกรธแค้นจนมันดูไม่ต่างกับเข็มที่อยู่ในมือมนุษย์เลยสักนิด แต่มันกลับสามารถตรึงร่างของความโกรธแค้นอยู่กับพื้นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ โครงกระดูกขนาดใหญ่กรีดร้องออกมาและพยายามตะเกียกตะกายสุดกำลัง แต่ก็ไร้ประโยชน์

ภาพความยิ่งใหญ่ของฉินเย่ ทำให้วิญญาณทั้งหมดลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว

สายลมนรกพัดโหมกระหน่ำราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดเข้าฝั่งในขณะที่เปลวไฟนรกที่น่าสะพรึงกลัววูบไหวอยู่บนฟ้าราวกับดวงดาว มันดูเหมือนกับภาพของความโกลาหลที่เกิดขึ้นในยมโลกอันกว้างใหญ่ ทว่าจุดสนใจเพียงอย่างเดียวในขณะนี้กลับเป็นเด็กหนุ่มผู้สามารถปราบมารร้ายขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า และยืนอยู่บนร่างของมันราวกับจ้าวแห่งนรกที่กำลังประกาศชัยชนะอย่างสง่างาม

ซึ่ง…เขาก็คือจ้าวแห่งนรกจริง ๆ

พลังหยินพุ่งที่ออกมาอย่างรุนแรงปะทะเข้ากับไม้ขกสังปั๊งอย่างจัง เด็กหนุ่มลูบที่ด้านบนสุดของไม้อย่างแผ่วเบา “หากข้ายังอยู่ พวกที่ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มี…ก็จงตายไปซะ”

สิ้นสุดเสียงพูด เสียงกรีดร้องที่ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือนก็ดังก้องไปทั่วทุกมุมของนรก

ฉึก!!!

ปลายอีกด้านหนึ่งของไม้แทงลงไปที่กะโหลกของหุ่นเชิดหยินลึกกว่าเดิม ส่งผลให้เศษกระดูกกระเด็นออกมา แกร๊ก แกร๊ก….เหล่าวิญญาณมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงขณะที่รอยแตกดังกล่าวกระจายไปทั่วร่างที่มีความยาว 50 เมตรจนดูราวกับเป็นแจกันกระเบื้องที่กำลังจะแตก!

เพล้ง…จากนั้นพร้อมกับเสียงที่ดังฟังชัด ร่างของหุ่นเชิดหยินพลังทลายลง กลายเป็นเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าไปในประตูนรกและตรงไปที่รูปปั้นขนาดใหญ่ จุดเทียนจำนวนมากด้วยเปลวไฟสีเขียวหยก ประตูนรกพลันสว่างวาบขึ้นในชั่วพริบตา!

“พระเจ้า….” วิญญาณสูงอายุตนหนึ่งอ้าปากค้าง ขณะเอนหลังพิงกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังของตนและลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว

น่ากลัว

เขารู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เหล่าวิญญาณเริ่มว่างงานเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ และคำพูดลับหลังมากมายก็เริ่มมีให้ได้ยินมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน อย่างเช่น

“นายเคยเห็นผู้ที่ดูแลทั้งหมดนี่หรือไม่?”

“ฉันเห็น เขาเป็นแค่เด็กที่มีจิตใจโหดเหี้ยมคนหนึ่ง”

“ใครสนกันว่าเขาจะโหดเหี้ยมหรือไม่? เราไม่มีอะไรให้ทำ! ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต…นี่เขาพยายามจะล้างสมองเราหรืออย่างไร?”

“ชู่ววว เบา ๆ หน่อย ฉันจะบอกอะไรให้นะ นายรู้ไหมว่า เขากำจัดวิญญาณไปกี่ตนก่อนที่พวกนายจะมาถึง?”

“แล้วอย่างไร? นายคิดจริง ๆ หรือว่าเขาจะกำจัดพวกเราทุกตนที่นี่ได้?”

“ใช่! เหตุใดเขาถึงไม่ให้เราไปเกิดใหม่สักที ถ้าไม่มีงานอะไรให้เราทำแบบนี้?! นี่เราต้องแสร้งทำเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ภายใต้การควบคุมของเด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้นหรือ”

“ช่างเถอะ….ฉันได้ยินว่าเขาน่ากลัวมาก”

“น่าเบื่อ!”

คำพูดพวกนี้ลุกลามอย่างรวดเร็วเหมือนกับไฟป่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังในเหตุการณ์สองครั้งที่ผ่านมา

เขามองฉินเย่ที่ค่อย ๆ ลงมาที่พื้น น้ำพุวิญญาณยังคงพุ่งออกมาจากใจกลางของหุ่นเชิดหยิน แต่เด็กหนุ่มกลับเดินออกมาจากที่เกิดเหตุอย่างยิ่งใหญ่

เขาดูสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก และมันยังให้ความรู้สึก…สง่างามทว่าดุดันอีกด้วย

ในเวลานี้ ชายสูงวัยสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวยามเมื่อความตายมาเยือนอีกครั้ง

วิญญาณตนที่สองลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ตามมาด้วยตนที่สาม…สิบ…ร้อย…พัน…หมื่น…ห้าหมื่น!

ทั้งหมดมองดูการก้าวเดินของฉินเย่อย่างเงียบเชียบ สลักภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ในหัวของตัวเอง

ฉินเย่เดินกลับมายังจุดที่ตนเคยยืนอีกครั้ง ไม่มีวิญญาณตนใดกล้าเข้าใกล้เขาในระยะสิบเมตรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่พวกที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในประตูนรกเองก็เผลอก้าวถอยหลังและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้นเอง ใครบางคนก็พูดขึ้นเสียงดัง “ท่านจ้าวนรก…ผู้ยิ่งใหญ่…[1]”

ตลกชะมัด มันยังมีใครใช้คำพูดโบราณพวกนี้อยู่อีก?

แต่กลับไม่มีใครหัวเราะออกมาเลยแม้แต่น้อย

กลับกัน วิญญาณอีกตนหนึ่งตะโกนซ้ำออกมา “ท่านจ้าวนรก…ผู้ยิ่งใหญ่!”

“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่!” “จ้าวนรกผู้ยิ่งใหญ่!” “นายท่านฉินผู้ยิ่งใหญ่!”

ขณะที่ฉินเย่เดินไป เสียงกู่ร้องของเหล่าวิญญาณก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นคำประกาศที่ดังกึกก้องไปทั่วยมโลก!