บทที่ 205: ทางออก?

ภายในพริบตาฉินเย่ก็เดินกลับเข้าไปในประตูนรกอีกครั้ง เขากวาดตามองเหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมและเอ่ยสั่งเสียงเย็น “มองอะไร? ไปทำงานของตัวเองได้แล้ว!”

เขาเอ่ยราวกับตัวเองเพิ่งผ่านการทำงานมาอย่างหนัก

“แสดงได้ดี” อาร์ทิสแย้มยิ้มให้กับฉินเย่หลังจากที่ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดแยกย้ายไปทำงานของตน “แต่เจ้าลืมอะไรบางอย่าง”

ฉินเย่กลอกตาใส่อีกฝ่ายและกระซิบตอบเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าท่านควรจะรู้เลยหรือว่าข้าเป็นอัจฉริยะในเรื่องการรักษาหน้าของตัวเอง…ว่าแต่ข้าลืมอะไรไปหรือ?”

“มันควรจะมีเสียงปรบมือดังเกรียวกราวขึ้นสักครั้ง และในแง่ของความไร้ซึ่งยางอาย ดีใจด้วยที่เจ้าเป็นเพียงอันดับ 3 ของคนที่ไร้ยางอายที่สุด จากคนทั้งหมดที่ข้าเคยเห็นมา” นางขยับมือเบา ๆ และผลึกคริสทัลสีดำที่มีขนาดตั้งแต่ปลายนิ้วมือ ไปจนถึงกำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากซากที่เหลืออยู่ของความโกรธแค้นราวกับคลื่นยักษ์และกองลงตรงหน้าของอาร์ทิส ก่อนจะรวมตัวกันเป็นผลึกคริสทัลขนาดใหญ่ มันมีขนาดประมาณเท่าโลงศพ แม้ว่าจะมีรอยร้าวปรากฏให้เห็นก็ตาม

“มันคืออะไร?” ฉินเย่ยื่นมือออกไปสัมผัสกับมันอย่างหวาดระแวง มันเย็นชืดแต่กลับเป็นประกายจากภายในราวกับคริสทัลสีดำที่อันแน่นไปด้วยวิญญาณจำนวนมาก ดูน่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ

“ผลึกแห่งความมืด” เมื่อนางขยับมืออีกครั้ง ผลึกแห่งความมืดก้อนใหญ่ตรงหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย “หุ่นเชินหยินทุกตนจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นเมื่อพวกมันตาย ผลึกแห่งความมืดคือหินวิญญาณระดับสูง มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากแก่นแท้ของหินวิญญาณและหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นผลึก มันค่อนข้างหากยาก ส่วนใหญ่มักจะถูกใช้เป็นแกนกลางของอาณาเขตเวทของยมโลก แต่…มีเฉพาะวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวมันมาได้ หากเป็นวิธีที่เจ้าทำก่อนหน้านี้…ผลึกแห่งความมืดก็ไร้ประโยชน์…”

ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าจำเป็นจะต้องฝึกฝนศาสตร์เฉพาะสำหรับรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ในภายภาคหน้า? ไม่เพียงแต่ห้ามปรามการก่อจลาจลและก่อกบฏ แต่ยังเพื่อเก็บเกี่ยวผลึกแห่งความมืดที่สมบูรณ์มาได้? นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่ข้าจะได้ผลึกแห่งความมืดมาอย่างนั้นหรือ?”

อาร์ทิสพยักหน้า “ดังนั้น จ้าวนรกผู้ปราศจากซึ่งยางอาย ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเปลี่ยนใจเรื่องเศษเสี้ยววิญญาณของโอดะโนบูนางะแล้วหรือยัง?”

ฉินเย่เงียบไป

เขายังไม่ได้คิดจะก่อตั้งกองกำลังรักษาความสงบหรือกองกำลังติดอาวุธขึ้นในตอนนี้ เขารู้ว่ามันยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน’ อยู่ ยมโลกคือดินแดนของเขา หากมีใครมาแย่งชิงอาณาจักรของเขาไปล่ะ?

โดยเฉพาะคนอย่างโอดะโนบูนางะ ผู้ที่แทบจะรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ในขณะนั้น

แทบจะเหมือนกับนางได้ยินความกังวลภายในใจของฉินเย่ อาร์ทิสหัวเราะเบา ๆ “เจ้ากำลังกลัวว่าเขาจะแย่งบัลลังก์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ? นั่นง่ายมาก เจ้ามีบันทึกนรกอยู่ในมือ ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือแต่งตั้งให้เขาอยู่ระดับที่ต่ำกว่าเจ้า จากนั้น เขาจะสามารถทำอะไรได้? ต่อให้เป็นโอดะโนบูนางะก็ต้องอยู่ภายใต้เจ้า และเชื่อข้าเถอะ ตราบใดที่เจ้าสัญญากับเขาว่าเจ้าจะยึดญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่เขาจะไม่แย่งชิงบัลลังก์จากเจ้า แต่เขายังจะเอ่ยคำสาบานกับเจ้าอย่างจริงใจอีกด้วย จากนั้นเมื่อเจ้าทำสิ่งนั้นสำเร็จ เจ้าก็แค่ต้องแต่งตั้งเขาในฐานะเจ้าชายแห่งญี่ปุ่นและมอบดินแดนนั้นให้กับเขา เขาก็จะรับใช้เจ้าไปชั่วนิรันดร์”

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าจะความเข้าใจความโกรธแค้นภายในใจของเขา เขาเกือบจะสามารถรวบรวมญี่ปุ่นได้แล้ว แต่ในวินาทีสุดท้าย เขาก็ถูกทำให้ตายโดยหนึ่งในขุนศึกที่เขาเชื่อใจมากที่สุด อาเกจิ มิตสึฮิเดะ ความคับแค้นใจที่สะสมอยู่ภายในถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีของเขาจึงกลายเป็นสิ่งที่คั่งค้างอยู่ภายในใจของเขามาช้านาน หากเจ้าลองมองย้อนกลับไปในชีวิตของโอดะโนบูนางะ เจ้าก็จะรู้ว่าเขาคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในยุคสมัยนั้น นักการเมืองที่เก่งกาจและนักยุทธศาสตร์ทางการทหารที่มีความสามารถ หากมีชายผู้นี้อยู่ เจ้าจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับกองกำลังป้องกันยมโลกอีกเลย มันจะน่าเสียดายเป็นอย่างมากหากจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป”

ฉินเย่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างในใจ อาร์ทิสนั้นถามในสิ่งที่เห็นชัดเจนอยู่แล้ว แล้วเขาจะเมินเฉยต่อความคิดที่จะแย่งชิงดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะได้อย่างไร?

นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในการหาแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ให้มาอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา แม่ทัพผู้ที่มีความสามารถถึงขนาดรวมทั้งประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว และความสามารถก็คือแรงขับเคลื่อนหลังในการพัฒนาอาณาจักร!

แต่ถึงกระนั้น…

เขาถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ “ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีจะปรากฏตัวขึ้นในงานประมูลใหญ่ที่จะถูกจัดขึ้นในปลายเดือนมิถุนายน ข้าไม่สามารถลาหยุดได้ในช่วงนั้น แล้วแบบนี้ข้าจะสามารถไปเข้าร่วมงานประมูลได้อย่างไร? แล้วต่อให้ข้าไปได้ ข้าจะหาเงินที่ไหนมาประมูลมัน?”

ดวงตาของอาร์ทิสเป็นประกายขึ้น “อันที่จริง…เจ้าก็พอจะมีของมีค่าอยู่….”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ “ท่านกำลังพูดถึง…ไม้ฮวงหัวลี่อย่างนั้นหรือ?”

“แลกไม้ฮวงหัวลี่เพื่อถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี?”

“ไม่ต้องห่วง ราคาซื้อของมันไม่น่าจะเกิดพันล้าน 1 พันล้านเพื่อแม่ทัพผู้มีพรสวรรค์ระดับสูง เจ้าไม่คิดว่ามันคุ้มค่าหรอกหรือ?” อาร์ทิสเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็เป็นเพียงของสะสมเท่านั้น เมื่ออยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดา มีแค่เราเท่านั้นที่จะสามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของมันออกมาใช้ได้!”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เงินพันล้านหยวนสำหรับโอดะโนบูนางะ ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าเขาต้องเสนอราคาประมูลแข่งกับพวกเศรษฐีพันล้านในประเทศอย่างนั้นหรือ? แค่คิดเรื่องพวกนี้เขาก็รู้สึกปวดหัวแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่สามารถปฏิเสธเสียงกรีดร้องภายในใจของเขาได้ เสียงนั้นบอกเขาว่าเขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากเขาปล่อยให้โอกาสครั้งเดียวในชีวิตนี้หลุดลอยไป! ผู้ที่มีพรสวรรค์แบบนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงินทอง! ยมโลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหลและไม่มีความมั่นคงเลยสักนิด และตอนนี้เขาก็ต้องการแม่ทัพมาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด!

ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัว และเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องโถง เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “หาทางออกไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หากเขาสามารถหาทางออกของเรื่องนี้ได้…เขาก็อยากจะลงขันแข่งประมูลกับพวกมหาเศรษฐีพวกนี้เช่นกัน!

“ท่านจะไปแล้วหรือ?” กู่ฉินและคนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำพูดของฉินเย่ต่างก็รีบเอ่ยอย่างประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังคงตกตะลึงจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และต้องการให้ฉินเย่อยู่ที่นี่ต่ออีกสักนิด

ยมโลกน่ากลัวเกินไป…แม่ครับ ผมอยากกลับบ้าน!

“น่าจะใช่” ฉินเย่ถอนหายใจออกมา “น่าเสียดาย…ทั้ง ๆ ที่ใจของข้าต้องการจะทำเช่นนั้น แต่แขนขามันอ่อนแรงเหลือเกิน ช่างมันเถอะ คอยคุ้มกันผู้เฒ่ากู่ให้ดีในขณะที่ข้าไม่อยู่และรายงานข้าทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น”

“รับทราบ!”

หลังจากการปัญหาในยมโลกและพูดคุยถึงแผนต่อเสร็จสิ้น ฉินเย่ก็หันกลับไปกวาดตามองเหล่าวิญญาณที่เหลืออยู่และกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง “ข้าเห็นด้วยกับพวกเจ้าทุกตน”

คำประกาศดังกล่าวส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฉินเย่โดยพลัน เสียงของเขาดังกว่าเดิม “ความปรารถนาและความทะเยอทะยาน คือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของมนุษย์ แต่…ถ้าความปรารถนาและความทะเยอทะยานของพวกเจ้า มันเกินขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าเอง เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าหาที่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องตาย”

“อย่างที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อที่จะให้ยมโลกได้กลับไปสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง พวกเราทั้งหมดจะต้องช่วยกัน ลองตระหนักดูให้ดี ใครคือผู้สร้างยมโลก?”

“ใครคือผู้ที่มองสถานที่พักพิงให้พวกเจ้าหลังจากเสียชีวิต เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนและอาจจะถูกกำจัดโดยเหล่าผู้ฝึกตน พระสงฆ์ และนักพรตบนแดนมนุษย์?”

“ใครกัน…ที่พยายามคิดหาหนทางที่ดีที่สุด ในการทำให้ยมโลกกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้?”

ความโกรธภายในใจของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะข่มมันเอาไว้ ขณะที่กวาดสายตามองวิญญาณที่อยู่โดยรอบทั้งหมด ไม่มีใครกล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อย

ฉินเย่กัดฟันกรอด “ในฐานะของประชากรวิญญาณของยมโลก พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอาแต่ตำหนิทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบแทนที่จะคิดหาวิธีแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า? พวกเจ้ายังโชคดีที่ยังมีชีวิตรอด และข้าก็หวังข้าจะไม่เห็นวิญญาณของพวกเจ้าในหุ่นเชิดหยินตัวต่อไป จงยินดีกับแต่ละวันที่พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งยมโลกอีกครั้ง

แต่ฉินเย่ก็ไม่ได้สนใจความคิดของวิญญาณทั้งหมดเลยสักนิด ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ร่างของเด็กหนุ่มก็เริ่มสลายตัวเป็นสายลมนรกที่เตรียมพร้อมที่จะกลับไปยังแดนมนุษย์

ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กู่ชิงวิ่งออกมาและเรียกฉินเย่เบา ๆ “นะ นายท่าน โปรดรอก่อน”

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ฉินเย่หยุดการใส่พลังห่อหุ้มเศษตราจ้าวนรกทันที เขาหันกลับไปมองชายสูงวัยอย่างประหลาดใจ

“หามิได้…” หลังจากอึกอักอยู่นาน กู่ชิงก็สามารถรวบรวมความกล้าและเอ่ยออกมาได้ในที่สุด “ท่านฉิน…หากท่านสามารถออกไปนอนเมืองได้ และบังเอิญผ่านไปทางเมืองเยียนจิง หากไม่รบกวนเกินไป…ท่านช่วยถ่ายทอดความฝันให้ผมได้หรือไม่? ช่วยบอกครอบครัวของผมว่าผมสบายดี บอกพวกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง”

กู่ชิงมองฉินเย่อย่างคาดหวัง และฉินเย่ก็รู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของเขาค่อย ๆ แดงก่ำด้วยความอาย

นี่คือยมโลก แต่เรากลับไม่มีแม้แต่อำนาจในการถ่ายทอดความฝัน…เขาแทบจะอดไม่ได้ที่จะสบถออกมากับความยากไร้นี้…

ทันใดนั้นอาร์ทิสก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “ตราบใดที่อยู่ในเมืองเดียวกัน เจ้าจะสามารถถ่ายทอดความฝันได้ หรือหากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำมีเพียงก้าวเข้าไปในส่วนใดก็ได้ของเมืองเยียนจิง ในอดีต เรื่องพวกนี้จะถูกแก้ไขโดยการไปที่ศาลาแห่งการหวนคืน แต่จนกว่าที่มันจะถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง นี่เป็นเพียงวิธีเดียวในการถ่ายทอดความฝันในตอนนี้”

“ขอบพระคุณท่านมากจริง ๆ” กู่ชิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนหน้านี้เขาป่วยหนักจนทำให้ไม่ได้สติมาเป็นเวลานานก่อนที่จะเสียชีวิต ดังนั้น เขาจึงไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำลาเลยแม้แต่คำเดียว แต่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับครอบครัว เขาจึงเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะโศกเศร้าเป็นอย่างมากกับการจากไปของเขา สิ่งนี้จึงคล้ายกับสิ่งที่ยังค้างคาใจของเขามาโดยตลอด

ฉินเย่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “อย่าเพิ่งขอบคุณข้าเลย…ข้ามักจะลำเอียงกับผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่เสมอ แต่ข้าคงต้องบอกอะไรท่านสักอย่าง ตอนนี้…ข้าอยู่ที่เมืองเป่าอัน”

รอยยิ้มที่สดใสของกู่ชิงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นทันที

“เมืองเป่าอันไหนอย่างนั้นหรือ?”

“มันมีเมืองเป่าอันแห่งที่สองในแผ่นดินจีนหรืออย่างไร?”

ทุกอย่างตกสู่ความเงียบและสีหน้าของกู่ชิงก็เปลี่ยนเป็นเศร้าโศกโดยสมบูรณ์ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็สามารถรวบรวมสติของตัวเองได้เล็กน้อย และโบกมืออย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไร…เห็นทีว่าพวกเราคงไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ เกรงว่าผมคงต้องรอโอกาสในอนาคตเอาเสียแล้ว ส่วนเรื่องงาน ผมจะวางแบบแผนให้ท่านโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่ท่านจะได้เริ่มงานก่อสร้างสำหรับศาลาแห่งการหวนคืนได้โดยเร็วที่สุด การมีสิ่งให้ตั้งตารอจะต้องสามารถช่วยให้จิตใจที่ระส่ำระสายของเหล่าวิญญาณสงบลงได้อย่างแน่นอน”

ฉินเย่เริ่มใช้เศษตราจ้าวนรกอีกครั้ง เขาหลับตาลงและถามอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “ท่านรู้เกี่ยวกับเหตุในเมืองเป่าอันด้วยอย่างนั้นหรือ?”

“แน่นอน…” พลังหยินเริ่มห่อหุ้มรอบตัวของเขา และกู่ชิงก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเฉยชา “แผนผังของเมืองเป่าอันถูกออกแบบโดยหน่วยงานพิเศษภายในสถาบันออกแบบกลาง ผมไม่รู้รายละเอียดมากนักเนื่องจากต้องรอตรวจสอบสถานที่เสียก่อน น่าเสียดายที่ผมมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันนั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าท่านอยู่ส่วนใดของเมืองเป่าอัน? หากท่านอยู่ในสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกมันก็อาจจะพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่หากท่านเป็นประชาชนธรรมดา…ผมได้ยินจากพวกระดับสูงว่าจะมีการปิดเมืองไปอย่างน้อย 5 ปีก่อนที่พวกเขาจะมีความหวังในการออกไปนอกเมืองอีกครั้ง…โปรดรักษาร่างกายของท่านด้วย นายเหนือหัว…”

ร่างของฉินเย่ถูกกระแสน้ำวนพลังหยินกลืนกินเข้าไปจนหมดแล้ว แต่ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาและฉีกกระชากกระแสน้ำวนดังกล่าว ก่อนที่ฉินเย่จะก้าวออกมาอีกครั้งและจ้องไปที่ชายสูงวัย

“มันอาจจะพอมีความหวังหากข้าอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรกอย่างนั้นหรือ? ท่านช่วยอธิบายความหมายของมันทีได้หรือไม่?”

ตอนนี้เขากำลังอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางออกจากเมืองเป็นอย่างมาก

ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างทั้งคู่อย่างกะทันหัน

ไม่ทันได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย และไม่ทันได้เตรียมใจไว้เลยสักนิด จู่ ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้น…[1]

กู่ชิงมองฉินเย่ราวกับเห็นผีในขณะที่ฉินเย่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างงงัน ครู่ต่อมาชายสูงวัยก็ลูบเคราของตนและอธิบายว่า “เกี่ยวกับเรื่องนั้น…นายท่าน ท่านอยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรก แต่ท่านก็ยังไม่สามารถออกนอกเมืองได้อย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้าโดยที่ยังคงจ้องหน้ากู่ชิงเขม็ง

เขา… รู้วิธีออกไปอย่างนั้นหรือ?

กู่ชิงสามารถอ่านความคิดของฉินเย่ได้ราวกับหนังสือที่เปิดอยู่ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “นายท่าน…ทางสำนักไม่มีโครงการแลกเปลี่ยนเลยหรือ?”

มันเป็นวิธีการที่ง่ายมาก ตอนที่เขาเรียนอยู่ เขาก็มักจะใช้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้ในการโดดเรียนอยู่ตลอดเวลา…และเหตุผลของมันก็สมเหตุสมผลมากด้วย! อันที่จริง เขาอาจจะรู้สึกผิดมากกว่านี้หากไม่คว้าโอกาสนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…

นี่เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลและง่ายที่สุด ทำไมท่านฉินถึงไม่นึกถึงเรื่องนี้? นี่…เป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณของนักเรียนทุกคนไม่ใช่หรือ…?