ตอนที่ 40 พรสวรรค์ของเหอยาโถว
“โอ้ สาวน้อยคนนี้มีหัวการค้าตั้งแต่เด็กเลย”
“ข้าเพิ่งเคยเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ออกมาตั้งแผงขายของ พ่อแม่ของนางต้องภูมิใจแน่ที่มีลูกขยันค้าขายเช่นนี้”
“หากฐานะทางบ้านดี ใครจะอยากปล่อยให้ลูกสาวออกมาจากแดดตากลมขายของเช่นนี้เล่า”
หยุนเชวี่ยแต่งกายด้วยเสื้อสีฟ้าซีดซอมซ่อ สวมกางเกงขายาวซึ่งมีรอยเย็บปะซ่อมแซมอยู่หลายรอย
แม้จะแต่งตัวซอมซ่อ แต่หยุนเชวี่ยยังคงยิ้มแย้มและมีความถ่อมตัว “ท่านพ่อกับท่านแม่มักสั่งสอนข้าเสมอว่าอย่าคิดลักขโมย จงใช้ความสามารถของเราในการทำมาหากินจะได้ไม่ต้องอายผู้อื่นเจ้าค่ะ”
อันที่จริงมีประโยคหนึ่งที่คล้ายกันคือ ‘อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่น’ แต่หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าประโยคนี้ในระบอบศักดินาไม่ได้ นับประสาอะไรกับเด็กน้อยเช่นนาง หรือแม้แต่เถ้าแก่หูยังไม่สามารถพูดประโยคข้างต้นได้เต็มปาก
เว้นเสียแต่สักวันหนึ่งนางจะรวยขึ้นมา
“พูดได้ดี!” เถ้าแก่หูตะโกนเสียงดัง
“ดีมาก!” พ่อค้าหาบเร่ปรบมือชื่นชมเช่นกัน
บรรดาเจ้าของร้านและพ่อค้าแม่ค้าในละแวกนั้นต่างปรบมือให้หยุนเชวี่ยอยู่ครู่ใหญ่
หยุนเชวี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า หรือแม้แต่เจ้าของร้านค้าที่ร่ำรวยยังปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับและความเคารพจากผู้อื่นอยู่ดี
เหอยาโถวมองบรรยากาศรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นพลางสูดหายใจเข้าลึกและตะโกนเสียงดัง “พ่อแม่พี่น้องเร่เข้ามา เนื้อสัตว์จากหมู่บ้านไป่ซี อร่อย สด ราคาถูก อีกทั้งยังทำความสะอาดและหมักเกลือเรียบร้อยแล้ว ท่านสามารถนำไปทำอาหารได้เลยขอรับ!”
ทันใดนั้นหยุนเชวี่ยก็ต้องตกตะลึง
เมื่อมองไปที่เหอยาโถว นางเห็นใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น อีกทั้งยังมีพลังงานล้นเหลือ
หยุนเชวี่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เหอยาโถวออกมาขายของและโห่ร้องเรียกลูกค้าเช่นนี้ เขาช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ!
“ดูนี่ ข้าเพิ่งซื้อมาจากนาง ข้าว่าจะเอามันไปต้มกินสักหม้อ” พ่อค้าร้านปริศนาห่วงตัวต่อช่วยตะโกนเรียกลูกค้า “ถ้ากินแกล้มเหล้าหมักสาลี่จากร้านของเถ้าแก่หูด้วย มันคงวิเศษมาก”
“กระต่ายเหลือแค่สองตัวหรือ?” ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวและถือพัดไว้ในมือเอ่ยถามพลางชะโงกหน้าดูในตะกร้าไม้ไผ่
“ใช่เจ้าค่ะ เหลือตัวใหญ่หนึ่งตัวและตัวเล็กหนึ่งตัว”
“พอดีเลย เพราะเมียเอกของข้าชอบกินตัวเล็ก ส่วนเมียรองของข้าชอบกินตัวใหญ่” ชายคนนั้นบีบด้ามพัดพร้อมเอ่ยเรียกคนใช้ “หยวนเป่า”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังล้วงกระเป๋าเงินออกมาอย่างรวดเร็ว “ราคาเท่าไหร่หรือแม่สาวน้อย?”
“หกสิบเหรียญเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยยื่นมือออกไปรับเงินอย่างมีความสุข
“เนื้อกระต่ายหมดแล้วหรือ?” หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยถามพร้อมมองเข้าไปในตะกร้า “ข้าว่าจะซื้อไปให้คนในครอบครัวกินเสียหน่อย”
“หากท่านน้าอยากได้ก็สั่งข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ หากท่านพ่อล่ามาได้ ข้าจะเอาไปส่งให้ถึงที่บ้านเลยเจ้าค่ะ รับรองว่าเนื้อของมันจะสดใหม่และอร่อยแน่นอน!” หยุนเชวี่ยใช้โอกาสนี้เริ่มทำการค้าทันที
“ดีเลย อย่าลืมทำความสะอาดมันให้ข้าด้วยล่ะ…”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะท่านน้า”
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป กระต่ายและไก่ฟ้าถูกขายหมดเกลี้ยง กระเป๋าเงินในอ้อมแขนของหยุนเชวี่ยหนักอึ้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“แม่สาวน้อย ผลไม้หมดหรือยัง? รีบขายให้หมดแล้วมาถกถึงวิธีแก้ปริศนาห่วงตัวต่อกัน” หญิงสาวผู้ใจร้อนเอ่ยถามพร้อมชี้ไปที่ตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็ก
หยุนเชวี่ยก้มลงหยิบผลไม้ขึ้นมากำใหญ่ “มันคือพุทราป่าจากภูเขาหลังหมู่บ้านของเรา พวกท่านเชิญชิมได้เลย ข้าไม่คิดเงิน หากพวกท่านติดใจ คราหน้าข้าจะเอามาแจกเพิ่มเจ้าค่ะ”
ชาวบ้านทุกเพศทุกวัยที่รวมตัวด้านหน้าแผงลอยต่างกรูเข้ามาหยิบพุทราป่าที่มีอยู่ครึ่งตะกร้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เถ้าแก่หูลูบเคราพลางมองไปที่เด็กสาว “สาวน้อยคนนี้ช่าง…”
เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนถอนหายใจ “ช่างมีจิตใจดีเสียจริง!”
วัยเด็กเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ หากนางเป็นเด็กผู้ชายและได้รับเรียนรู้หรือถูกขัดเกลาสักสองสามปี นางต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าแน่นอน!
เมื่อได้ยินคำชมของเถ้าแก่หู หยุนเชวี่ยจึงเก็บงำความดีใจเอาไว้ข้างในก่อนฉีกยิ้มกว้างและลูบศีรษะของเสี่ยวอู่ด้วยความเอ็นดู “อีกสักพักจะมีการประลองแก้ปริศนาห่วงตัวต่อ เจ้าอยากลงแข่งหรือไม่? หากพี่ลงแข่งเอง เกรงว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งพวกเขามากเกินไป”
เสี่ยวอู่พยักหน้าตอบรับ
หยุนเชวี่ยชี้ไปที่โถเหล้าหมักอีกครั้ง “ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเหล้าชั้นดี ถ้าเจ้าเอาชนะพวกเขาและนำมันกลับไปให้ท่านพ่อ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ”
เสี่ยวอู่พยักหน้าตอบรับเช่นเคย
“พวกท่านทั้งหลาย เราควรฟังนางบอกวิธีแก้ปริศนาก่อนหรือประลองก่อนดีเล่า?” เถ้าแก่หูยืนตะโกนอยู่บนบันไดหินในฐานะผู้จัดการประลอง
“ถ้าอยากประลองก่อน ผู้เข้าร่วมการประลองมีเพียงนายน้อยเฉียน เสี่ยวฝู และเสี่ยวชุนใช่หรือไม่?”
“หรืออยากให้ข้าอธิบายวิธีแก้ปริศนาก่อน ด้วยวิธีนี้จะทำให้การประลองตื่นเต้นขึ้นและคุ้มกับรางวัลใหญ่จากเถ้าแก่หูมากกว่า” หยุนเชวี่ยหันไปถามเด็กหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า “พวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เถ้าแก่หูหยิบของรางวัลขึ้นมาเพื่อสร้างบรรยากาศให้คึกคัก ขณะที่หยุนเชวี่ยกำลังพูดต่อรองกับชาวบ้าน
สองวันที่ผ่านมา ชาวบ้านในละแวกนี้รวมไปถึงนายน้อยแห่งตระกูลเฉียนต่างพากันมาซื้อปริศนาห่วงตัวต่อเพื่อเอาไปฝึกแก้ปริศนา
นายน้อยเฉียนมีความสูงเท่ากับหยุนเชวี่ย ใบหน้าขาวสะอาดตามแบบฉบับผู้ดี เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายชั้นดี และคาดเข็มขัดหยกที่รัดหน้าท้องของเขาจนพุงปลิ้นออกมาด้านหน้า
นายน้อยเฉียนมีคติประจำใจว่า ‘เวลาเล่นให้เล่นเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น’ เมื่อได้ยินหยุนเชวี่ยถามเช่นนั้น เขาจึงยกมืออ้วน ๆ ขึ้นพร้อมเอ่ยตอบ “ข้าเห็นด้วย”
สองพี่น้องเสี่ยวฝูและเสี่ยวชุนมองหน้ากันและกันก่อนเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ “พวกเราเห็นด้วยเช่นกัน!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเริ่มอธิบายเลยแล้วกัน พวกท่านฟังให้ดี ๆ”
ผู้คนในละแวกนั้นต่างพากันมายืนล้อมรอบหยุนเชวี่ย นางทำท่าทางประกอบอย่างช้า ๆ ประกอบกับอธิบายทีละขั้นตอนอย่างละเอียด
เมื่อหยุนเชวี่ยแก้ปริศนาแต่ละจุดสำเร็จ ทุกคนก็จะส่งเสียง “อ๋อ…”
เหอยาโถวไม่ค่อยสนใจเรื่องปริศนาห่วงตัวต่อมากนักจึงหันไปพูดกับเสี่ยวอู่ว่า “อีกสักพักข้าจะพาเจ้าและพี่สาวไปร้านขายเต้าฮวยอันเลื่องชื่อดีหรือไม่? เต้าฮวยร้านนี้ทำสดใหม่ นุ่มละมุนลิ้นยิ่งนัก…”
เสี่ยวอู่ไม่กล่าวคำใดแต่กลับจ้องไปที่โถเหล้าหมักสาลี่อย่างเงียบ ๆ
“เหตุใดเจ้าถึงเมินข้าตลอดเลย? เจ้าไม่ได้เป็นใบ้เสียหน่อย แต่เหตุใดมักชอบทำตัวนิ่งเงียบราวกับรูปปั้น”
เสี่ยวอู่พลันคิดในใจว่าโถใหญ่แบบนี้ต้องหนักมากกว่าสิบจินแน่ และหากได้รางวัล ตนต้องเอามันกลับบ้านด้วยวิธีใด?
หยุนเชวี่ยอธิบายวิธีแก้ปริศนาอย่างละเอียด แม้แต่เถ้าแก่หูยังไม่สามารถทำได้เช่นนาง และยิ่งแก้ปริศนาได้มากเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งกล่าวชื่นชมนางเท่านั้น “ฉลาดมาก การแก้ปริศนาห่วงตัวต่อดูเหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับละเอียดอ่อนจนพวกเราคาดไม่ถึง”
เมื่อแก้ปริศนาห่วงตัวต่อเสร็จ ทุกคนรวมไปถึงหญิงสาวผู้ใจร้อนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “รู้เช่นนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว!”
“แล้ววิธีทำให้มันกลับไปเป็นดังเดิมเล่า?” หลังจากถอดเหล็กทั้งเก้าห่วงแล้ว หยุนเชวี่ยพลันเขย่าห่วงเหล็กเล็ก ๆ ในมือพร้อมจ้องไปที่เสี่ยวฝูและเสี่ยวชุน
สองพี่น้องต่างเกาศีรษะและส่งยิ้มให้นางอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อมองฝูงชนที่ยืนอยู่รอบ ๆ นางก็รู้ได้ทันทีว่าชายทั้งสองไม่ได้สนใจสิ่งที่นางอธิบายแม้แต่น้อย
หยุนเชวี่ยเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “วิธีทำให้มันประกอบกันดังเดิมคือการทำย้อนหลัง แต่ระวัง…”
ครานี้นางอธิบายได้เพียงครึ่งเดียว นายน้อยเฉียนก็เดินกระทืบเท้าออกมาด้านหน้าจนทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน พื้นดินจะสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“ช้าก่อน! ข้าคิดออกแล้ว!”