ตอนที่ 41 การประลอง
ดูเหมือนว่านายน้อยเฉียนจะฉลาดกว่าที่เห็น เขาใช้ความคิดและนิ้วอ้วน ๆ ประกอบห่วงทั้งเก้าอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่นาที นายน้อยเฉียนก็ประกอบปริศนาห่วงตัวต่อให้กลับมาดังเดิมได้สำเร็จ
“นายน้อยของข้าฉลาดและมีไหวพริบยิ่ง นับว่าเป็นอัจฉริยะเด็กที่หาตัวจับยากในมณฑลผิงอัน…” คนรับใช้ของตระกูลเฉียนกล่าวประจบสอพลอพร้อมยกนิ้วโป้งให้เจ้านาย
เมื่อนายน้อยเฉียนกู้หน้าให้ตนเองสำเร็จ เขาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนยืดตัวตรง “โชคดีต่างหาก อย่าเพิ่งลำพองใจไป”
หยุนเชวี่ยคิดในใจว่าแม้นายน้อยเฉียนจะยังเด็ก แต่เขาก็มีความถ่อมตนอยู่พอควร หลังจากเงียบไปชั่วครู่ นายน้อยเฉียนจึงกล่าวขึ้นว่า “รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้เถิด”
หยุนเชวี่ยตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
พ่อค้าเร่ยกระฆังขึ้นตีสองสามครั้ง ‘เกร๊ง ๆ ๆ’ จากนั้นเถ้าแก่หูจึงประกาศเริ่มการประลอง
ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างหยุดชมการประลองด้วยความตื่นเต้น ทว่ามีเพียงเสี่ยวอู่ที่ยืนนิ่ง ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ใดอยู่ท่ามกลางฝูงชน เนื่องด้วยเขาเป็นเด็กตัวเล็กจึงไม่ดึงดูดสายตาเท่าไร
“ของเล่นชิ้นนี้ทำมาเพื่อจุดประสงค์อะไร? เหตุใดผู้คนในเมืองถึงให้ความสนใจนัก?” เหอยาโถวแตะคางของตนเองพร้อมพึมพำอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าดูบรรยากาศสิ ของสิ่งนี้ไม่ได้หายากหรอก มันทำมาเพื่อฝึกไหวพริบให้กับเด็ก ๆ ต่างหาก”
“ผู้เข้าแข่งขันมีแต่คนที่อายุยังน้อย หากพิจารณาจากการแต่งกายแล้ว ครอบครัวของพวกเขาต้องมีฐานะแน่ และส่วนใหญ่เข้าร่วมเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
“นอกจากนี้ยังมีคนหัวรุนแรงเช่น หญิงสาวผู้ใจร้อน คู่พี่น้องเสี่ยวฝูและเสี่ยวชุน และเจ้าอ้วนคนนั้น ซึ่งตอนนี้ทั้งสี่คนกำลังประลองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร…”
หยุนเชวี่ยวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา
“แล้วลุงที่มีเคราครึ้มจะได้อะไรตอบแทนล่ะ?” เหอยาโถวกระซิบถามพร้อมเหลือบมองเถ้าแก่หู
“ร้านของเขาจะได้รับชื่อเสียงที่มากขึ้นน่ะสิ” หยุนเชวี่ยเอ่ยตอบ “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเถ้าแก่หูมีหัวการค้ามากเพียงใด ส่วนท่านลุงพ่อค้าเร่ก็ได้ประโยชน์ในเรื่องยอดขาย เพราะเมื่อจบการประลองผู้คนจะไปแห่ซื้อปริศนาห่วงตัวต่อที่ร้านของเขาอย่างไรล่ะ…”
หากอยากให้ธุรกิจรุ่งเรือง จงศึกษาแนวทางจากเถ้าแก่หู!
“โอ้…” ฉับพลันเหอยาโถวก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “เถ้าแก่หูคือคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด!”
“จะพูดเช่นนั้นย่อมได้ เจ้าของร้านขายของได้เยอะ ส่วนพวกเราก็ขายของหมดเกลี้ยง ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์เหมือนกัน ไม่มีฝั่งใดฝั่งหนึ่งถูกเอาเปรียบ” หยุนเชวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราควรเรียกมันว่าการค้าแบบได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะต่างฝ่ายต่างได้เงินทั้งคู่”
“เป็นแผนการค้าที่สามารถทำเงินได้ดีทีเดียว” เถ้าแก่หูที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ด้านหลังหยุนเชวี่ยตั้งแต่เมื่อไรเอ่ยขึ้น
“ข้าก็พล่ามไปเรื่อยตามประสา น่าอายยิ่งนัก” หยุนเชวี่ยเผยรอยยิ้มไร้เดียงสา
“ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเจ้าเลย”
“ข้าชื่อหยุนเชวี่ยเจ้าค่ะ หยุนมาจากท้องฟ้า ส่วนเชวี่ยมาจากนกกระจอกเจ้าค่ะ”
สำหรับเด็กหญิงที่อายุยังน้อยเช่นนางถูกพ่อค้าผู้ชาญฉลาดอย่างเถ้าแก่หูถามชื่อแซ่แล้ว หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าตนถูกยกฐานะให้สูงขึ้นแล้ว
“หยุนเชวี่ย” เถ้าแก่หูลูบเคราพร้อมหรี่ตามองหหยุนเชวี่ยก่อนยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าสามารถบินไปได้ไกล”
หยุนเชวี่ยพลันคิดในใจว่าเขาประเมินตนสูงเกินไป ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเหอยาโถวตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “โอ้! เสี่ยวอู่! เสี่ยวอู่!”
หยุนเชวี่ยเห็นนายน้อยเฉียน เสี่ยวฝู เสี่ยวชุน และเสี่ยวอู่ชูวงแหวนวงสุดท้ายขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน
เสียงปรบมือของฝูงชนดังอยู่ครู่ใหญ่
“มีผู้ใดทันเห็นบ้าง? คนไหนชูขึ้นคนแรกหรือ?”
“ดูเหมือนจะเป็นนายน้อยเฉียนหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ เขาตัวสูงจึงดูเหมือนว่าเขายกขึ้นเร็วที่สุด ข้าเห็นว่ามือที่ยกขึ้นเร็วที่สุดคือเล็ก ๆ ข้าจ้องมองมันตลอดเวลา!”
“ข้าก็จ้องดูเหมือนกัน ข้าเห็นเสี่ยวชุนยกมือช้ากว่าคนอื่นไปแค่พริบตาเดียว”
ผู้เข้าชมการประลองต่างมีความคิดเห็นที่ต่างกันออกไป ทว่าของรางวัลมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เห็นทีต้องลำบากเถ้าแก่หูแล้ว
“เถ้าแก่หูคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ข้าขอสละรางวัล” นายน้อยเฉียนสะบัดแขนเสื้อพลางเหลือบมองเสี่ยวอู๋ เสี่ยวฝู และเสี่ยวชุนด้วยท่าทีมีความสุข “ข้าไม่ได้เข้าร่วมการประลองเพื่อรังแกคนที่เด็กกว่า อีกทั้งไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาชนะ”
“นายน้อยของข้าช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียจริงขอรับ!” คนรับใช้ของตระกูลเฉียนกล่าวเยินยอเจ้านายเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจ
เมื่อเห็นนายบ่าวเยินยอกันเอง ทุกคนจึงหันไปให้ความสนใจกับเสี่ยวฝูและเสี่ยวชุน
ทั้งสองคนไม่อยากแสดงจุดอ่อนให้ผู้ใดเห็น ดังนั้นเสี่ยวฝูจึงเชิดหน้าขึ้นและกล่าวว่า “พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ปรารถนาที่จะรับของรางวัล”
เสี่ยวอู่ยังคงนิ่งเงียบ…
เขาไม่พอใจที่ตนมักถูกปฏิบัติอย่างเด็กน้อย ทว่าทั้งสามคนกลับเสียสละไม่รับรางวัล เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด
“เพื่อเป็นการไม่ดูหมิ่นน้ำใจ ข้าขอขอบคุณคุณชายทั้งสามที่เสียสละรางวัลให้กับน้องชายของข้า” หยุนเชวี่ยดีใจมากจึงโค้งตัวขอบคุณทั้งสามคน
เหอยาโถวหันไปมองโถเหล้าหมักสองครั้งก่อนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มันต้องหนักมากแน่ เราจะแบกมันกลับได้อย่างไร?”
“เจ้าอยากขายมันให้ข้าหรือไม่?” พ่อค้าหาบเร่กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “เหล้าสาลี่หมักถึงสิบปี เหล้าชั้นดี!”
“ข้าไม่ขายเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าจะนำมันกลับบ้านแล้วมอบมันเป็นของรางวัลในการทำงานหนักให้แก่ท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม้ครอบครัวจะยากจน แต่หยุนเชวี่ยก็ไม่อยากใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเช่นนี้ตลอดไป และอีกอย่างเหล้าไหนี้เป็นของรางวัลที่เสี่ยวอู่ชนะการประลอง หากท่านพ่อได้ลองชิมแล้ว เขาจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่
“ลูกกตัญญูอย่างเจ้าหายากนัก” เถ้าแก่หูกล่าวพร้อมโบกมือ จากนั้นชายหนุ่มสองคนก็ยกไหเหล้าหมักใบใหญ่ขึ้นบนรถเข็นสามล้อ
“เจ้าจะเข้ามาในเมืองอีกเมื่อไร?”
“อีกสองวันเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยโค้งตัวเพื่อขอบคุณ “ข้าจะนำรถเข็นมาคืนในวันนั้นเจ้าค่ะ”
เหล่าพ่อค้าเร่มักใช้รถเข็นสามล้อในการขนส่งสินค้า เนื่องจากโถเหล้าหมักมีน้ำหนักประมาณยี่สิบถึงสามสิบจิน มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กทั้งสามคนที่จะต้องเข็นรถเข็นสามล้อ
เหอยาโถวพับแขนเสื้อของตนขึ้น หน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา แต่เขาก็ยังเข็นรถเข็นอย่างไม่ลดละ “เชวี่ยเอ๋อ วันนี้ขายของได้เงินเท่าไหร่?”
“ไม่ต้องนับก็รู้ว่าได้สองร้อยสี่สิบห้าเหรียญ”
“โอ้โห เพียงแค่ครึ่งเช้าก็ได้เงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ?” เหอยาโถวเบิกตากว้างจนแทบจะเท่าไข่ห่านก่อนกล่าวซ้ำไปมา “ไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจเลย…”
“ไม่แปลกใจอะไรหรือ?” หยุนเชวี่ยขำขันกับท่าทีของเหอยาโถว พลางคิดในใจว่าแม้จะถูกเลี้ยงแบบประคบประหงมดั่งไข่ในหิน แต่แท้จริงแล้วเขาก็หลงใหลในเงินตราเช่นกัน
“ไม่แปลกเลยที่พี่เขยรองจะเข้ามาค้าขายในเมืองน่ะ!” เหอยาโถวกลืนน้ำลายด้วยความอิจฉา “มันหาเงินได้เยอะจริง ๆ!”
“อืม พวกเราเทียบไม่ติดเลยล่ะ”
เมื่อมาถึงหน้าภัตตาคารหลงชิง หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อร้านอันงดงามพลางกล่าว “ที่นี่สิ ถึงจะเรียกว่าหาเงินได้เยอะ!”
“เฮ้ ที่นี่เป็นร้านของพี่เขยสามของข้าเอง!”
“แล้วเจ้าจะไม่เข้าไปทักทายพี่เขยสามสักหน่อยหรือ?”
“ช่างมันเถอะ ข้ากับเขาเคยเจอกันเพียงสามครั้งเท่านั้นจึงไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่” เหอยาโถวเหลือบมองประตูร้านอาหารก่อนส่ายศีรษะ “ท่านแม่เคยบอกว่าไม่ว่าฝ่ายหญิงจะดีเพียบพร้อมเพียงใด แต่หากครอบครัวของฝ่ายชายคิดแต่จะเอาเปรียบและฉวยโอกาสก็อาจทำให้คนอื่นดูถูกและนินทาได้”
ท่านน้าเหอเป็นคนที่เข้าใจสัจธรรมของโลก แต่น่าเสียดายที่หลายคนมักไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ บางทีหัวใจของคนเราก็เป็นอะไรที่เปราะบางเหมือนกระจกเงาและหนีไม่พ้นคำว่า ‘โลภ’
ตัวอย่างเช่นแม่เฒ่าจูที่คิดจะขายหยุนซิ่วเอ๋อให้กับเศรษฐี และคอยคิดว่าจะใช้วิธีใดกอบโกยเงินจากสามีของนางให้มากที่สุด
หยุนเชวี่ยให้รางวัลตนเองโดยการซื้ออาหารที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ถัดจากภัตตาคารหลงชิง เหอยาโถวและเสี่ยวอู่สั่งเกี๊ยวน้ำคนละหนึ่งชาม หลังจากกินเสร็จพวกเขาได้เดินทางไปร้านขายของชำเพื่อซื้อเกลือหนึ่งห่อและน้ำตาลสองห่อ
ขณะนี้เงินในกระเป๋าเหลืออยู่สองร้อยเหรียญ หยุนเชวี่ยชั่งใจชั่วครู่ก่อนยิ้มให้เหอยาโถว “ขอเวลาอีกสองถึงสามวัน ข้าจะหาเงินมาคืนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้เก็บไว้แต่งงานในวันข้างหน้า”