ตอนที่ 42 คนเสแสร้ง

“เงินแต่งงานหรือ?” เหอยาโถวลืมเรื่องนี้เสียสนิท เขาชะงักชั่วครู่ก่อนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ๆ พี่รองแอบให้เงินข้าน่ะ ท่านแม่ไม่มีทางรู้หรอก”

“เอาอย่างนี้ไหม?” ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในหัวของหยุนเชวี่ย “เจ้ามาเป็นหุ้นส่วนกับข้าแล้วขายลูกบ๊วยด้วยกัน… ดีหรือไม่?”

“หุ้นส่วนหรือ?”

“เราจะจ่ายค่าลูกพลัมสด น้ำตาลคนละครึ่ง หากได้เงินจากการขาย ข้าจะแบ่งเงินหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญในส่วนของข้าให้เจ้า และในภายภาคหน้าถ้าขายแล้วได้กำไร เราก็จะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง ตกลงไหม?”

เหอยาโถวพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ตกลง!”

“แต่ถ้าเราขายไม่ได้ เงินของเจ้าจะถูกหักครึ่งหนึ่ง และเจ้าสามารถแบ่งลูกพลัมได้ครึ่งตะกร้าเท่านั้น”

“ข้าพอจะรู้เรื่องค้าขายอยู่บ้าง” เหอยาโถวถูฝ่ามือไปมาด้วยความตื่นเต้น “ตอนบ่ายข้าจะไปหาพี่รองและถามนางว่าขบวนพ่อค้าเร่ที่ไปทางตอนใต้จะกลับมาเมื่อไหร่”

ณ หมู่บ้านไป่ซี

เด็กทั้งสามคนเข็นรถเข็นเข้าหมู่บ้านเพื่อกลับไปที่บ้านของหยุนเชวี่ย ชาวบ้านที่กำลังทำนาต่างตะโกนทักทายพวกเขาตลอดทาง

“หยุนเชวี่ย เหอยาโถว สิ่งที่อยู่บนรถเข็นคืออะไรหรือ?”

“เหล้าหมักเจ้าค่ะ”

“โถใหญ่ขนาดนี้ เอามาให้พ่อของเจ้าล่ะสิ หยุนลี่เต๋อต้องมีความสุขมากแน่นอน!”

หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข เส้นผมของนางพลิ้วไหวไปตามสายลม ใบหน้าแดงก่ำนั้นดูมีความสุขเป็นพิเศษ

“มันคือของรางวัลล้ำค่าที่เสี่ยวอู่ได้มาจากในเมือง ไม่มีขายที่ไหนอีกแล้ว!” เหอยาโถวขมวดคิ้วพร้อมกล่าว

“เสี่ยวอู่หรือ?”

ชาวบ้านต่างจ้องมองเด็กชายที่มีบุคลิกเงียบขรึม เด็กชายตัวเล็กไม่แม้แต่จะเผยสีหน้าใด ๆ ออกมา

เขา…ไม่ได้โง่หรอกหรือ?

“อย่าดูถูกเขาสิ เสี่ยวอู่มีความสามารถกว่าที่พวกท่านคิดนะ ในหมู่บ้านเรานอกจากเฟิงซิ่วไฉ่ก็มีเสี่ยวอู่นี่แหละที่เก่งที่สุด!”

เหอยาโถวโบกนิ้วเรียวยาวราวกับกล้วยไม้ทั้งสองข้างของตนขึ้นอย่างมีชัย ส่งผลให้รถเข็นไหลด้านหน้าจนเกือบชนหยุนเชวี่ยจนล้มหัวคะมำ

ฉับพลันท่อนแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งก็จับรถเข็นเอาไว้เสียก่อน

“สิ่งนี้คืออะไร?” ใบหน้าคมคายของหยุนลี่เต๋อเต็มไปด้วยเหงื่อ กางเกงเปื้อนเศษดินเล็กน้อย เขาได้ยินผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันบอกเขาบนสันเขาว่าลูกชายและลูกสาวของเขากลับมาแล้ว

“ท่านพ่อ!” หยุนเชวี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมเขย่าแขนบิดา “มันคือของรางวัลจากเถ้าแก่หู เนื่องจากเสี่ยวอู่ชนะการประลองเจ้าค่ะ!”

“โถใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ! พวกเจ้าทั้งสามเหนื่อยมากแล้ว!” แม่นางเหลียนรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของเด็กทั้งสาม ความรู้สึกผิดจึงก่อตัวขึ้นมาในใจ

“ไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว! รีบกลับบ้านเร็ว จะได้ดื่มน้ำดื่มแล้วพักผ่อน…”

ร่างกายของหยุนลี่เต๋อแข็งแรงมาก เขาจึงใช้มือเปล่ายกโถเหล้าหมักไปในบ้านได้อย่างสบาย ๆ จากนั้นรินเหล้าใส่ในน้ำเต้าก่อนฝากให้เหอยาโถวเอามันกลับไปให้พ่อของเขาชิม

“โอ้ เชวี่ยเอ๋อเข้าเมืองไปหาเงินไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงมีโถเหล้าติดมือกลับมาให้พ่อของเจ้าด้วยเล่า” แม่นางเฉินเอ่ยถาม “บอกว่าไม่มีซื้อขนมเปี๊ยะสอดไส้ ใครจะเชื่อกัน…”

“เชวี่ยเอ๋อเอามันไปให้ท่านปู่ที” หยุนลี่เต๋อหยิบน้ำเต้าอีกอันขึ้นมา

“นี่เจ้า!”

แม่นางเฉินไม่ยอมแพ้ นางกลอกตาอยู่สองสามครั้งก่อนเอ่ย “เจ้าซื้ออะไรอร่อย ๆ มาอีกไหม? ครอบครัวเดียวกันต้องแบ่งปันกันสิ”

ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจแก่นาง

ทว่านางยังคงหน้าด้านและหันไปพูดกับแม่นางเหลียน “พี่สะใภ้รองเก็บมันไว้หรือ? เอาออกมาแบ่งกันหน่อยสิ”

แม่นางเหลียนมีท่าทีอึกอัก “น้องสะใภ้ เหล้าหมักนี้เป็นของรางวัลที่เด็กทั้งสามคนได้มาจากการประลองในเมือง ไม่ได้เสียเงินซื้อ…”

“ของรางวัล? ไม่ได้เสียเงินซื้อ?” แม่นางเฉินกัดริมฝีปากพร้อมองหยุนเชวี่ย ก่อนมองไปที่เสี่ยวอู่อย่างไม่เชื่อ “เด็กพวกนี้มีความสามารถถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ใครกัน…”

แม่นางเหลียนกล่าวไม่ออก

“ข้าจะเทเหล้าที่เหลือทิ้ง ส่วนเจ้ากลับบ้านไปเถอะ” หยุนลี่เต๋อไม่อยากต่อปากต่อคำกับแม่นางเฉินจึงเดินออกไปทันทีที่พูดจบ

หยุนเชวี่ยถือน้ำเต้าไว้ในมือและเดินเข้าไปในเรือนของท่านปู่

ภายในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาหยุนลี่เซี่ยวแสร้งทำเป็นป่วยนอนติดเตียง ส่วนท่านปู่ยังไม่กลับจากการทำสวนจึงมีเพียงแม่เฒ่าจูและหยุนซิ่วเอ๋อเท่านั้นที่อยู่ภายในบ้าน

“ท่านย่าเจ้าคะ” หยุนเชวี่ยตะโกนพลางวางน้ำเต้าลงบนโต๊ะเล็ก ๆ “ท่านพ่อฝากเหล้าหมักมาให้ท่านปู่เจ้าค่ะ”

เมื่อแม่เฒ่าจูที่กำลังนั่งเย็บผ้าได้ยินเสียงของหยุนเชวี่ย นางจึงเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจก่อนกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าหลังจากแยกบ้าน พวกเจ้าจะมีความคิดขึ้น เฮ้อ ไม่คิดเลยว่า…”

หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าบิดาของตนแบ่งเหล้าหมักให้ท่านปู่เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู และนางไม่อยากพูดให้มากความจึงวางน้ำเต้าไว้บนโต๊ะและรีบเดินออกไปทันที

“นี่! นังเด็กคนนี้นึกว่าตนเองเก่งนักหรืออย่างไร!” หยุนซิ่วเอ๋อกลอกตาพร้อมตะโกนด่า

แม่นางเฉินมองหยุนเชวี่ยครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปในบ้าน

ไม่นานเสียงก่อนด่าของแม่เฒ่าจูก็ดังขึ้น “เลวมาก ปฏิบัติกับพ่อตนเหมือนขอทาน ถ้าคนแปลกหน้ามาเห็นพวกเขาจะคิดอย่างไร!”

แม่นางเหลียนที่กำลังก่อฟืนอยู่ในครัวถอนหายใจพลางกล่าวคำเบา “ดูสิ เราแสดงความกตัญญูไปแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก? ทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจนางสักอย่าง…”

“เรามีเหล้าหมักเพียงโถเดียว แม้จะเอาทั้งโถไปประเคนให้ นางก็ยังคงก่นด่าเราอยู่ดี” หยุนเชวี่ยขยับพัดไปมา “ท่านย่าโลภมากเกินไปแล้ว นางคงอยากได้ทุกอย่างไว้ในมือของตนเอง”

แม่นางเหลียนส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

“อ้อ ท่านแม่ นี่คือเงินจากการขายของเจ้าค่ะ”

แม่นางเหลียนมองดูกระเป๋าเงินที่ปูดโปนออกมาอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

“วันนี้ขายได้สองร้อยสี่สิบห้าเหรียญ พวกเราเอาเงินไปซื้อเกี๊ยวน้ำหนึ่งชาม น้ำตาล และเกลือ เงินจึงเหลือสองร้อยเหรียญเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเขย่ากระเป๋าเงินให้เงินกระทบกันส่งเสียงอันไพเราะ “รับไปสิเจ้าคะท่านแม่”

“หืม เหตุใดถึงได้เงินมากเช่นนี้?”

แม้ทั้งห้าคนจะกินอาหารครบสามมื้อและกินซาลาเปาลูกใหญ่เป็นของว่าง แต่เงินที่ได้มาก็เพียงพอที่จะใช้ได้เป็นเวลาครึ่งเดือน!

“ไม่ได้มีเพียงเท่านี้นะเจ้าคะ ท่านลุงกับท่านป้าที่อยู่ในเมืองสั่งเนื้อสัตว์และต้องการให้เราไปส่งถึงหน้าบ้านของพวกเขาด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่นางเหลียนก็เร่งมือทำอาหารทันที “อืม ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบทำอาหาร พ่อของเจ้าจะได้รีบขึ้นไปบนภูเขา!”

หยุนลี่เต่อดื่มเหล้าสาลี่หมักไปแล้วครึ่งโถภายในเวลาเพียงครึ่งวัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย และพูดชมรสชาติของเหล้าไม่ขาดปาก “เหล้ารสเลิศ! เหล้าชั้นดี!”

“พ่อของเจ้ากำลังมีความสุข ดื่มน้ำเปล่ายังบอกว่าหวานเลย” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะคีบผักใส่ในชามของเด็ก ๆ

“ข้ามีความสุขมาก!” หยุนลี่เต๋อโพล่งขึ้น “ข้าออกไปข้างนอกทีไร ทุกคนต่างพูดชื่นชมลูกของเราว่าเป็นเด็กฉลาด กตัญญู มีไหวพริบทุกทีซึ่งมันทำให้ข้ามีความสุขกว่าสิ่งอื่นใด!”

“เชวี่ยเอ๋อได้เงินกลับมาตั้งสองร้อยเหรียญ” แม่นางเหลียนมองไปที่บ้านอีกหลังหนึ่งพร้อมลดเสียงลง “หากใกล้ถึงวันตรุษจีน ข้าจะตัดเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเจ้าทั้งสามคน”

หยุนลี่เต๋อถูฝ่ามือเข้าด้วยกันพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปล่าสัตว์ที่ภูเขาหลังหมู่บ้าน ส่วนเจ้านั่งตัดชุดสวย ๆ ให้ลูก”

แม่นางเหลียนฉีกยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มของนางสดใสราวกับดอกท้อแรกแย้ม

ทั้งห้องถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวเราะ ในขณะที่บ้านอีกหลังหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน

“ไอ้หยุนลี่เต๋อจอมขี้ขลาดได้เหล้าหมักชั้นเลิศมาหนึ่งโถ แต่แบ่งให้แค่ท่านพ่อกับพ่อของเหอยาโถว แต่ไม่แบ่งข้าที่เป็นพี่น้องแท้ ๆ” หยุนลี่เซี่ยวคีบข้าวเข้าปากพลางก่นด่าด้วยความโกรธเคือง “รู้จักประจบสอพลอตระกูลเหอแล้วสินะ ถุย! ไอ้หมาข้างถนน!”