เล่มที่ 9 บทที่ 244 ท่านต้องเอ่ยชมพี่สะใภ้ใหญ่ ต้องจุมพิต

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวยกอาหารเช้าเดินเข้าห้องโถงด้วยจิตใจที่ไม่สงบ เด็กสองคนก็ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว เมื่อครู่ตอนผัดพริก เซี่ยยวี่หลัวกลัวเด็กสองคนจะรู้สึกเหม็น จึงให้พวกเขาไปเล่นที่สวนหลังบ้าน ตอนนี้เพียงตะโกนเรียก เด็กสองคนล้างมือจนสะอาดก็มาทันที

เซียวยวี่ยังไม่มา

“จื่อเซวียน ไปตามพี่ใหญ่ของเจ้ามากินข้าวได้แล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าว

เซียวจื่อเซวียนขานตอบทีหนึ่ง ก่อนกระโดดโลดเต้นไปยังห้องของเซียวยวี่

เซียวยวี่ยังคงเช็ดตาอยู่

ดวงตาแดงก่ำ ไม่ต่างจากดวงตาของกระต่ายที่อยู่ในสวนหลังบ้านมากนัก พริกนั่นเผ็ดเสียจริง เผ็ดจนตอนนี้ดวงตาของเขายังแสบอยู่

พอคิดว่าเซี่ยยวี่หลัวอยู่ในห้องครัวจามไม่หยุด เซียวยวี่ก็รู้สึกทนไม่ได้

หากไม่ใช่เพราะเขาชอบกินอาหารรสเผ็ด เซี่ยยวี่หลัวก็คงไม่ต้องทนลำบากเช่นนี้!

เซียวยวี่ผงะไป ย้อนถามตัวเอง นี่เจ้ากำลังเห็นใจเซี่ยยวี่หลัว?

ตอนคำว่าเห็นใจผุดขึ้นมา เซียวยวี่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะรู้สึกเห็นใจเซี่ยยวี่หลัวได้อย่างไร?

แต่หากไม่เห็นใจ เหตุใดเจ้าต้องไปห้องครัวเพื่อช่วยนางด้วยเล่า?

นั่นเป็นเพราะข้า…

ภายในใจเหมือนมีเสียงที่ต่างกันสองเสียงกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ทำให้เซียวยวี่รู้สึกลำบากใจ

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่…” จู่ๆ เสียงของเซียวจื่อเซวียนก็ดังขึ้น ทำให้เซียวยวี่ตกใจจนสะดุ้ง

เซียวยวี่ตกใจจนแทบกระโดดขึ้น “มีอะไร? ”

เซียวจื่อเซวียนเบิกตากว้างด้วยท่าทีสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป ข้าเรียกท่านสิบกว่าครั้งแล้ว ทำไมท่านถึงไม่สนใจข้าขอรับ! ”

“…” เมื่อสบเข้ากับสายตาของเซียวจื่อเซวียนที่ฉายประกายสงสัย เซียวยวี่รีบอธิบาย “อ่อ ข้า ข้ากำลังขบคิดปัญหาในตำราอยู่”

ขบปัญหาในตำรา?

เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ในตำราเขียนอะไรหรือขอรับ จึงทำให้ท่านรู้สึกเห็นใจ? เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าเห็นใจอยู่หลายครั้งทีเดียว! ”

ปากบอกว่าเห็นใจ แม้แต่ดวงตาก็แดงแล้ว

เซียวยวี่ “…”

ที่แท้ระหว่างที่ตนเองไม่รู้ตัว ก็ได้กล่าวคำว่าเห็นใจออกมาแล้ว

“หา? เปล่านี่ ข้าเคยบอกว่าเห็นใจเมื่อไรกัน! ” เซียวยวี่กล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจ

เซียวจื่อเซวียนไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านพูดเอง นอกจากนั้น ดวงตาของท่านแดงถึงเพียงนี้ ในตำราเขียนอะไรให้ท่านรู้สึกเศร้าถึงเพียงนี้ขอรับ? ”

เซียวยวี่อ้าปาก ตำราวิชาการที่ไหนจะเขียนเรื่องเหล่านี้กัน

เซียวยวี่รีบอธิบาย “อ่อ ก็คือนิทานที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังเมื่อวาน เขาโดนพระยูไลทับอยู่ใต้ภูเขาหวูจื่อซาน ช่างน่าสงสารจริงๆ”

ที่แท้ก็เพราะซุนวู่คงนี่เอง!

เซียวจื่อเซวียนกล่าวอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่ ท่านจะเห็นใจทำไมขอรับ? ผ่านไปอีกห้าร้อยปี ย่อมมีคนมาช่วยซุนวู่คงเองขอรับ”

พระถังซานจ้างไปชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระคัมภีร์ ก็ต้องพาซุนวู่คงไปด้วยไม่ใช่หรือ!

เซียวยวี่ผงะไป จ้องเซียวจื่อเซวียนพร้อมเอ่ยถาม “อีกห้าร้อยปีให้หลัง? ”

ทั้งที่ในตำราเขียนไว้เพียงเรื่องราวที่ซุนวู่คงประลองกับพระยูไล ซุนวู่คงพ่ายแพ้ให้พระยูไล จึงถูกพระยูไลขังไว้ใต้เขาหวูจื่อซาน เรื่องราวต่อจากนั้นยังไม่มี เนื้อเรื่องหลังจากนั้น เซียวจื่อเซวียนรู้ได้อย่างไร?

เซียวยวี่จ้องมองเซียวจื่อเซวียนด้วยความประหลาดใจ เซียวจื่อเซวียนรู้ว่าตัวเองหลุดปาก แอบคิดว่าแย่แล้ว รีบกล่าวกลบเกลื่อน “อ่อ ข้าเพียงแค่เดาขอรับ”

“เมื่อวานเจ้านอนหลับไปไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่ได้ฟังเสียหน่อย”

“ข้านอนหลับก็จริง แต่ข้านอนอย่างสะลึมสะลือ จึงฟังไปไม่น้อย ดังนั้นข้าจึงพอรู้คร่าวๆ ขอรับ เรื่องราวหลังจากนั้นข้าก็เพียงแค่คาดเดา ซุนวู่คงต้องไม่ตายแน่ จริงหรือไม่ขอรับ? ดังนั้นข้าจึงเดาว่าจะมีคนมาช่วยเขา”

เซียวยวี่พยักหน้าเงียบๆ เขาเองก็คาดเดาเช่นนี้

เนื้อเรื่องเล่มแรกบอกเล่าเกี่ยวกับซุนวู่คงทั้งหมด เช่นนั้นเขาคงไม่อยู่ใต้เขาหวูจื่อซานไปชั่วชีวิตแน่ อย่างไรเขาก็ต้องออกมาทำเรื่องราวอื่นอีกเป็นแน่!

“ข้าก็คิดว่าซุนวู่คงไม่น่าจะตาย”

เห็นพี่ใหญ่เชื่อวาจาของตนเอง เซียวจื่อเซวียนรีบถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เกือบไป เกือบโดนพี่ใหญ่จับพิรุธได้

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ให้ข้าตามท่านไปกินข้าวขอรับ! ” ในที่สุดเซียวจื่อเซวียนก็นึกจุดประสงค์การมาของตนเองได้แล้ว

เซียวยวี่ลุกขึ้น สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไปข้างนอก “ไปกัน! ”

กลับถึงห้องโถง บนโต๊ะมีผัดแตงกวาหนึ่งจาน ผัดพริกหนึ่งจาน ในจานยังมีไข่ไก่สี่ฟองที่แกะเปลือกไว้แล้ว ตรงหน้าแต่ละคนมีโจ๊กชามใหญ่หนึ่งชาม

เมื่อเซียวยวี่เห็นโจ๊กข้นสีขาวผ่องดุจหิมะ แล้วจึงมองไปทางผัดพริก ก็กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างอดไม่ได้

เซี่ยยวี่หลัวเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองเซียวยวี่แวบหนึ่ง ภายในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “นั่งลงกินข้าวกัน! ”

ทั้งสี่คนนั่งลง เซี่ยยวี่หลัวรีบนำไข่ไก่ที่แกะเปลือกเสร็จแล้วใส่ไว้ในชามของเซียวจื่อเมิ่ง ใช้ช้อนตักแกงบดไข่จนละเอียด คลุกกับโจ๊ก โจ๊กที่เมื่อครู่ยังเป็นสีขาวผ่องดุจหิมะ ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเพราะไข่แดง เซียวจื่อเมิ่งกินไข่ไก่ทั้งฟองไม่ไหว ปกติตอนจะกินไข่ไก่ จึงบดละเอียดแล้วค่อยกิน

เซียวจื่อเมิ่งนั่งอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัวอย่างว่าง่าย มองดูเซี่ยยวี่หลัวบดไข่

เซี่ยยวี่หลัวยกอาหารไปวางตรงหน้านาง เซียวจื่อเมิ่งกล่าว “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่สะใภ้ใหญ่” ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เซี่ยยวี่หลัวลูบศีรษะของนาง แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

เซียวยวี่เห็นดังนั้น ก็เคี้ยวไข่ไก่ในปากเงียบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูบึ้งตึงเล็กน้อย

เซี่ยยวี่หลัวกินข้าวอย่างตั้งอกตั้งใจ ผัดพริกยังถือว่าอร่อย ใส่พริกในชามเล็กน้อย แล้วจึงตักน้ำแกงพริกหนึ่งช้อน คลุกกับโจ๊กแล้วกิน ช่างเป็นอาหารโอชารสเสียจริง

เซียวยวี่ชอบกินอาหารรสเผ็ด คีบพริกไปไม่น้อย ทั้งสองคนกินกับข้าวจานนั้นอย่างเป็นนัย ต่างก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

ภายในใจเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกว้าวุ่นยิ่งนัก นางเดาไม่ออกว่าท่านราชบัณฑิตน้อยคิดเช่นไร ภายในใจเซียวยวี่ก็รู้สึกว้าวุ่น ไม่รู้ว่าควรกล่าวเช่นไร เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอึมครึมในยามนี้

เด็กสองคนก็ก้มหน้ากินข้าว เซียวจื่อเซวียนพบความผิดปกติเล็กน้อย แววตาสงสัยใคร่รู้จ้องมองไปมาระหว่างเซี่ยยวี่หลัวและเซียวยวี่

อาหารเช้าหนึ่งมื้อ ถูกกินจนหมดท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดไร้เสียงพูดคุย

เซียวจื่อเซวียนเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวอะไรบางอย่างกับเซียวจื่อเมิ่งครู่หนึ่ง เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนวิ่งไปยังห้องหนังสือของเซียวยวี่ทันที

“พี่ใหญ่ ตอนเช้าพี่สะใภ้ใหญ่ผัดพริกจนร้องไห้ด้วยเจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส

ตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่ผัดพริกอยู่ในห้องครัว นางจามไม่หยุด น้ำตาและน้ำมูกล้วนไหลออกมา นางเองเข้าไปในห้องครัวก็จามไม่หยุดเช่นกัน รู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย พี่ใหญ่ชอบกินพริก พี่สะใภ้ใหญ่จึงผัดพริก เผ็ดจนนางทรมานถึงเพียงนั้น ควรบอกกล่าวกับพี่ใหญ่เหมือนกัน

เซียวยวี่เงยหน้าขึ้น มองดูเซียวจื่อเมิ่ง พยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ “อืม” เรื่องนี้เขารู้

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ลำบากถึงเพียงนั้น ทั้งยังผัดอาหารได้อร่อยถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่เอ่ยชมพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวต่อ

“เจ้าจะให้ข้าเอ่ยชมพี่สะใภ้ใหญ่? ” เซียวยวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ หากข้าช่วยพี่สะใภ้ใหญ่ทำอะไร พี่สะใภ้ใหญ่ก็จะชมข้าเจ้าค่ะ! ”

“อ่อ พี่สะใภ้ใหญ่ชมเจ้าเช่นไร? เจ้าลองบอกให้ข้าฟัง! ” จู่ๆ เซียวยวี่ก็แย้มรอยยิ้ม เขาอยากรู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวกล่าวชมผู้อื่นอย่างไร

เซียวจื่อเมิ่งกระแอมทีหนึ่ง กล่าวอย่างตั้งใจโดยเลียนแบบท่าทางของเซี่ยยวี่หลัว “จื่อเมิ่งของข้าช่างเก่งเสียจริง ยังเด็กถึงเพียงนี้ก็ทำอะไรเป็นมากมายแล้ว เก่งกาจจริงๆ สุดยอดไปเลย จุ๊บ…”

เซียวจื่อเมิ่งจับใบหน้าพี่ใหญ่ของตนเองไว้ ริมฝีปากอ่อนนุ่มประทับลงบนหน้าผากเซียวยวี่

เซียวยวี่ผงะไป