ทำเลที่ตั้งเรือนของเฉิงเจียวเหนียงนั้นดียิ่งนัก แม้จะอยู่ท่ามกลางตลาดที่วุ่นวาย ทว่าแต่ก่อนนั้นถนนทั้งตรอกนี้เป็นของอำมาตย์ใหญ่คนหนึ่ง หลังจากเขาทำงานผิดพลาดก็ถูกแบ่งขายไป เรือนหลังอื่นๆ ก็ถูกขุนนางคนอื่นแอบซื้อไว้เหมือนกับที่ตระกูลเฉินได้มาหลังหนึ่งเช่นกัน

พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินจากค่าเช่ามาเลี้ยงชีพ เพียงแต่เก็บไว้ให้เหล่าลูกหลานก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นจนถึงบัดนี้สองฝั่งซ้ายขวาจึงยังไม่มีเพื่อนบ้านเป็นตัวเป็นตน จะมีก็แต่คนงานที่เฝ้าบ้านอยู่

ยามปกติก็ไม่เคยไปมาหาสู่กัน จู่ๆ ก็ยื่นหน้ามาถามจากกำแพง ใครทำใครตกใจกันแน่

“ท่านอีกแล้ว!” สาวใช้เลิกคิ้วตะโกน

“เจ้าอีกแล้ว!” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเองก็เอ่ยขึ้น “สาวใช้คนนี้ ข้าคุยกับนายหญิงของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้”

“แล้วพูดจาอย่างท่านล่ะ ใช้ได้ที่ไหนกัน” สาวใช้ตะโกน

นางยังพูดไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มบนกำแพงนั้นก็เซไถลลงไป

บ่าวและสาวใช้ในเรือนต่างกรีดร้องกันขึ้นมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าดันให้มันดีๆ หน่อย” เขาพูดกับคนข้างล่างแล้วเงยหน้าขึ้นมาพร่ำบ่นกับเฉิงเจียวเหนียง “กำแพงนี้ช่างสูงเสียจริง”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย

“ใช่” นางเอ่ย

สาวใช้ส่งเสียงขุ่นเคืองแล้วยื่นมือไปพยุงเฉิงเจียวเหนียง

“นายหญิงเราเข้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

“เจ้านี่ ไม่ได้ยินหรือว่าข้าจะคุยกับนายหญิงของเจ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “ข้าอุตส่าห์ตั้งใจคิดวิธีนี้มา เพื่อจะได้คุยดีๆ สักหน่อย”

เช่นนี้เรียกคุยดีๆ หรือ

สาวใช้เหลียวหลัง หมดคำจะพูด

นางเป็นคนปากคอเราะร้ายมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็รับมือได้ แม้กระทั่งครั้งนั้นที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าก็ยังไม่เคยจะตกใจจนเข่าอ่อน แต่กลับมีสองสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง หนึ่งคือได้ยินเรื่องสังหารคน สองคือเมื่อพบเด็กหนุ่มประหลาดผู้นี้

นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวกว่าสัตว์ร้าย หนุ่มน้อยผู้นี้ก็ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นหรือ

สาวใช้มองดูหนุ่มน้อยบนกำแพงอย่างอดไม่ได้

ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นใบหน้าของเขาขาวเนียนละเอียดดั่งกระเบื้องเคลือบ ทั้งยังมีความอาจหาญที่เหล่าหญิงสาวไม่มี บนใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาดำขลับดูเปล่งประกายเพราะรอยยิ้มของเขา

หนุ่มน้อยเช่นนี้มีแต่คนแย่งกันดู ไม่ได้น่ากลัวเสียหน่อย

ขณะที่นางเหม่อลอย เฉิงเจียวเหนียงก็หันไปมอง

“เจ้าจะพูดอะไรกับข้า” นางถาม

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม ก่อนจะวางแขนบนกำแพง

“ข้าซื้อที่นี่แล้ว ต่อจากนี้เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว” เขาเอ่ย

ช่างหน้าไม่อายนัก!

สาวใช้ตั้งสติได้ก็โมโหจนตาเบิกโพรง

“อ่อ” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มออกมาอีกครั้ง เหมือนกับว่าเขานึกอะไรขึ้นได้จึงได้มองลงไป

“เจ้ารอประเดี๋ยว” เขาเอ่ยพลางยื่นมือลงไปข้างล่าว “เอามา”

เพราะใช้มือเพียงข้างเดียวเกยกำแพงไว้ ร่างกายของเขาจึงดูสั่นไหวไปมา สาวใช้และจินเกอร์ที่อยู่ในเรือนเห็นดังนั้นก็รู้สึกหวาดเสียวตาม ปั้นฉินเดินไปทำธุระของตนตั้งแต่ตอนที่เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยปากตอบชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว

“ตกลงไปสิจะสมน้ำหน้าให้!” สาวใช้พึมพำ

ทว่าเสียดายที่ไม่สมดังหวัง หนุ่มน้อยผู้นั้นยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง ในมือถือกล่องกล่องหนึ่งไว้

“ข้าเอาขนมมาฝากเจ้า” เขาเอ่ย แล้วเขย่ากล่องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เฉิงเจียวเหนียงมองดูเขา

“รับมาแต่ไม่ให้กลับ เสียมารยาทนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางโบกมือให้จินเกอร์ที่ยืนเหม่ออยู่ “หนุ่มน้อย มานี่”

จินเกอร์ถูกเรียกจึงชะงักไป หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างลังเล

“ไปเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

จินเกอร์ขานรับแล้วจึงเดินไปยังข้างกำแพง

จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับลังเล

“เจ้าไหวหรือไม่ รับได้หรือไม่” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้ว แล้วลองคะเนระยะห่าง “น่าจะต้องมัดเชือกแล้วหย่อนลงไป”

ขณะที่พูดอยู่ก็ก้มหน้าลงไปสั่งคนด้านล่าง ไม่นานก็ส่งเชือกขึ้นมาให้

วุ่นวายกันอยู่สักพัก เฉิงเจียวเหนียงจึงนั่งรออยู่ที่โถงทางเดิน ส่วนสาวใช้ก็ไม่พูดอะไรต่อ

“ได้แล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงและสาวใช้หันไปมอง ชายหนุ่มจับเชือกที่ผูกอย่างบิดเบี้ยวหย่อนลงมา ทว่าเชือกนั้นสั้นเกินไป

จินเกอร์เอื้อมมือไปรับไม่ถึง เมื่อจิ้นอันจวิ้นอ๋องปล่อยมือ กล่องนั้นก็หล่นลงในอ้อมอกของจินเกอร์อย่างพอดิบพอดี

ทั้งสองต่างโล่งใจ เหมือนดั่งสำเร็จการใหญ่มิปาน

“ขนมของเจ้าอร่อยมาก” เขามองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ตรงทางเดิน “เจ้าลองชิมของข้าดู”

จินเกอร์ยกมายื่นให้สาวใช้

สาวใช้ยกกล่องขนมที่ท่านชายโจวหกมอบให้ออกมาอย่างจงใจ

“มีตั้งสองกล่อง นายหญิงจะกินกล่องไหนก่อนดีจ้าคะ” นางถาม

เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่นาง

“สองกล่องนี้ไม่เหมือนกัน” นางเอ่ย “กล่องหนึ่งเป็นของกิน กล่องหนึ่งคือสาส์น”

สาวใช้ชะงักไป มองดูกล่องทั้งสองในมือ

ไม่เหมือนกันหรือ

“มีคนไปเจียงโจว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

สาวใช้เข้าใจในทันใด จากนั้นจึงก้มหน้ามองดูกล่องในมือ ‘วัดเสวียนเมี่ยว’

“พวกเขาไปเจียงโจวทำไมกัน” นางถาม

“สู่ขอกระมัง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

สาวใช้สีหน้ายุ่งเหยิง จริงสิ ถึงแม้เรื่องของตระกูลฉินจะจบไป แต่นี่ก็เป็นการเตือนสติตระกูลโจวว่านายหญิงผู้นี้ใช่ว่าจะไม่มีใครเอา ไม่มีตระกูลฉิน ก็ยังมีตระกูลอื่นๆ ในเมืองหลวงอีกมากมาย ถึงอย่างไรก็สามารถเลือกตระกูลที่พวกเขาพอใจและเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาได้

เมื่อเห็นนายบ่าวพูดคุยกันเอง จิ้นอันจวิ้นอ๋องจึงจำต้องส่งสัญญาณเตือน พูดแทรกขึ้นให้ทั้งสองมองกลับมา

“ข้าจะไปแล้ว” เขาเผยยิ้มบาง

สาวใช้กลอกตา

ไม่มีใครรั้งเสียหน่อย นางพึมพำในใจ

“ขอบคุณ” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขาแล้วคำนับ

จิ้นอันจวิ้นอ๋องสีหน้ายิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยพลางโบกมือ

อาจเป็นเพราะยืนนานจนลืมไปว่าตนอยู่บนบันได จึงได้โซเซจนต้องคว้ากำแพงไว้อย่างทุลักทุเล

สาวใช้หัวเราะสะใจ

เฉิงเจียวเหนียงก็ยิ้มเล็กน้อย

“สูงจริงๆ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วหัวเราะตาม “ไม่เชื่อเจ้าลองดูสิ ทรงตัวไม่ค่อยอยู่”

“ใช่” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

“เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม เขาเกาะกำแพงพลางนึกอะไรได้บางอย่าง จึงหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง “อ้อจริงสิ มีอีกเรื่อง ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีคนชักนำฝูงหมาป่ามา”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา ฤดูร้อนอันสดใสก็มืดครึ้มขึ้นมาชั่วขณะ หนุ่มน้อยผู้นั้นยืนอยู่บนกำแพง ราวกับว่าหัวไหล่ที่โผล่พ้นกำแพงมานั้นจะบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ ฉายเป็นเงาปกคลุมไปทั้งเรือน

ฤดูร้อนอันสดใสกลับกลายเป็นเหมือนดั่งฤดูใบไม้ร่วงในทันใด

สาวใช้กำมือทั้งสองข้างไว้แน่น

นางนึกถึงเช้าวันหนึ่ง ณ หุบเขาแห่งนั้น นายหญิงเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มผู้นี้แล้วพูดกระซิบอะไรกันสักอย่าง สีหน้าของหนุ่มน้อยคนนั้นในตอนนั้น คงจะเหมือนกับสีหน้าของตนในตอนนี้กระมัง

หวาดผวา

นางไม่เคยถามนายหญิงเลยว่าพูดอะไรกับเขา แม้จะเคยแอบเดาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ เดิมทีนึกว่าเพียงแค่พบเพื่อผ่านคงไม่ได้เจอกันอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกันที่เมืองหลวงอีกครั้ง

ที่แท้ในตอนนั้น ประโยคที่นายหญิงพูดคงจะเป็นคำนี้

‘ฝูงหมาป่า มีคนชักนำมา…’

เป็นดั่งที่คิดไว้ ที่น่ากลัวนั้นไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่เป็นคน

หนุ่มน้อยผู้นี้เดินทางยามค่ำคืน ด้านหลังก็มีฝูงหมาป่ารุมโจมตี เห็นได้ชัดว่าถูกคนจ้องจะหมายเอาชีวิต ไปทำอะไรให้ศัตรูเคียดแค้นถึงเพียงนั้น

มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ นางถึงได้รู้สึกว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ช่างอันตรายนัก

หนุ่มน้อยผู้นี้วางแผนเข้าใกล้นายหญิง แอบจ้องมอง เห็นได้ชัดว่าสงสัยนายหญิง

ฟังดูแล้วเหมือนว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะไม่รู้ว่าฝูงหมาป่านั้นถูกคนชักนำมา แต่นายหญิงกลับรู้ พบกันโดยบังเอิญแต่กลับรู้เรื่องที่เจ้าตัวไม่รู้ จะไม่ให้คนสงสัยได้อย่างไรเล่า

สาวใช้มองดูเฉิงเจียวเหนียงด้วยสีหน้าร้อนรน

นายหญิง… รู้ได้อย่างไรว่ามีคนชักนำฝูงหมาป่ามา

นายหญิงเจ้าคะ… จะตอบอย่างไรดี

………………………………………………..