สาวใช้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจนอกประตู ที่มุมกำแพงก็เหมือนจะมีเสียงดาบกระบี่อยู่รำไร
จู่ๆ ก็มาปรากฏกายอยู่บนกำแพงเรือนพวกนางโดยไม่รู้ตัว จุดประสงค์แปลกประหลาด ไปมาอย่างไรก็ไร้ร่องรอยที่แน่นอน ในเมืองหลวงนี้หากอยากทำให้ใครสักคนหายไปนั้นมีหลากหลายวิธี โดยเฉพาะในเรือนที่มีเพียงสามหญิงกับหนึ่งชายร่างเล็ก
แค่ไฟกองหนึ่ง หรือห่าฝนลูกธนูก็ย่อมทำได้
สืบสวนหลังเกิดเรื่องแล้วอย่างไรเล่า จับคนร้ายได้แล้วจะทำอย่างไรต่อเล่า
แม้จะมีท่านลุงท่านป้าตระกูลโจว แม้จะมีวิชาชุบชีวิต อย่างไรเสียนายหญิงก็เป็นเพียงหญิงกำพร้าคนหนึ่ง
หากตายจากไปก็เพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่คงเป็นสาเหตุว่าเหตุใดนายหญิงถึงไม่ทำการใดเอิกเกริกมาตลอดกระมัง
อย่างที่ว่ากันว่าโลกนี้ช่างอยู่ยากนัก
เพียงชั่วพริบตาเดียว สาวใช้อารมณ์ขึ้นลงเหมือนดั่งพลิกฟ้าพลิกทะเล แต่เฉิงเจียวเหนียงกลับยังคงสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย
“ในหนังสือบอกว่า เวลาเช่นนั้น ไม่ควรมีฝูงหมาป่าออกมาหาอาหารกลางทางยามค่ำคืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะจู่โจมคนและรถม้าเลย” นางมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องแล้วตอบ
ในหนังสือบอกเอาไว้อย่างนั้นหรือ
สาวใช้หันไปมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างอดไม่ได้
นางแน่ใจว่านายหญิงไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ฝูงหมาป่าจู่โจมคนแน่นอน หรือว่าจะอ่านมาจากในหนังสือจริงๆ
แต่ทว่าถึงแม้จะเป็นความจริง พูดออกไปแล้วใครจะเชื่อเล่า!
จะโทษก็ต้องโทษที่นายหญิงซุกซนเกินไป แม้จะดูออก แต่จะบอกกับคนอื่นไปเช่นนั้นได้อย่างไร
เพียงแค่พบกันโดยบังเอิญ ไม่ใช่ญาติมิตรเสียหน่อย จะเป็นจะตายเกี่ยวอะไรกับนางเล่า คำพูดประโยคเดียว
ทำให้ความลับของคนอื่นรั่วไหล
หรือจะบอกว่า นายหญิงจิตใจดีเกินไป
สาวใช้สีหน้าเศร้าหมอง แต่คนที่จิตใจดีมักจะอายุไม่ยืน
“อ้อ จริงด้วย” หนุ่มน้อยบนกำแพงพูดต่อด้วยน้ำเสียงยินดี
ยินดีหรือ
สาวใช้อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้
“นั่นเป็นถนนทางหลวง ฝูงหมาป่าฉลาดนัก รู้แต่แรกว่าไม่ใช่ที่หาอาหาร น้อยนักที่จะอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน นอกเสียจากว่า สัญชาตญาณจะเผยออกมาจนความเคยชินหายไป” หนุ่มน้อยยิ้มแย้มแจ่มใส เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม คล้ายว่าลืมไปว่าตนเองยังอยู่บนกำแพง เขายื่นมือออกมาทำไม้ทำมือ “ตอนหลังข้าไปสืบดูแล้ว ที่แท้เป็นเพราะเลือด โจรชั่วนั้นใช้เลือดม้าเป็นตัวชักนำอยู่ด้านหลัง พวกข้าเดินทางกันตอนกลางคืน ความมืดของยามค่ำคืนทำให้ไม่ทันสังเกต”
สาวใช้ตกตะลึง รู้สึกเหมือนว่าตนได้ยินอะไรบางอย่างแต่ก็อึ้งอึงไปหมด ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มน้อยบนกำแพงอย่างเหม่อลอย
หนุ่มน้อยเกยแขนบนกำแพงมองดูเฉิงเจียวเหนียง
“ข้าดูบันทึกเซ่นไหว้ป่าทึบ เจ้าดูจากหนังสือเล่มใดกัน” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
หนังสืออะไรหรือ
เขาถามว่าดูจากหนังสือเล่มใดหรือ
สาวใช้หูอื้อตาพร่า
“บันทึกความรุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจว…”
“อ่อ มีหนังสือเล่มนี้ด้วยหรือ ข้าจะกลับไปหาดู เจ้าก็ลองดูบันทึกเซ่นไหว้ป่าทึบด้วยสิ สนุกน่าสนใจนะ…”
นางได้ยินทั้งสองคนพูดถามตอบกันไปมา คำพูดเหล่านั้นนางล้วนฟังเข้าใจ แต่กลับรู้สึกเหมือนใกล้แต่ไกลเกินเอื้อม เหมือนความจริงแต่ก็เหมือนภาพลวงตา
“พี่ปั้นฉิน”
มีคนเอ่ยเรียกแล้วยื่นมือมาผลักนาง
สาวใช้สะดุ้งได้สติ
ฤดูร้อนอันสดใส กระบอกไม้ไผ่ในสวนกระทบกันจนเกิดเสียง บนกำแพงก็ไร้ซึ่งผู้ใด
นางรีบเหลียวหลัง ก็เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่ในห้องแล้ว ปั้นฉินกำลังยื่นน้ำร้อนให้
“เราทำหมี่เย็นกินกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
พวกนางกำลังพูดคุยกันเสียงแผ่วเบา
“พี่ปั้นฉิน พี่เหม่ออะไรน่ะ” จินเกอร์ลูบจมูกพลางเอ่ยถามแล้วฉีกยิ้ม “ข้ายังไม่เคยเห็นพี่เหม่อเช่นนี้เลย”
สาวใช้จ้องเขาเขม็ง
“คน… คนนั้นเล่า” นางถามแล้วเงยหน้ามองกำแพง
นี่นางฝันไปหรือไร
“ไปแล้ว” จินเกอร์ตอบอย่างผ่อนคลายพลางชูคันธนูในมือแล้วยิงลูกธนูไปที่มุมกำแพง
ลูกธนูไม้ไผ่บิดเบี้ยวตกลงในกอไผ่
“อย่าเอาแต่เล่น ฟืนเรือนหลังต้องผ่าให้เสร็จนะ” สาวใช้เลิกคิ้วสั่งสอน
จินเกอร์เหลียวหลังเบะปาก ก่อนจะถือคันธนูวิ่งหนีไป
สาวใช้หันหลังกลับไปมองที่ห้องโถง แล้วหันหน้ามามองกำแพงอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
แค่นี้…ก็เรียบร้อยแล้วหรือ
แค่นี้…ก็เชื่อแล้วหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ล้อเล่นหรืออย่างไร
แค่บอกว่าดูจากหนังสือ ใครจะไปเชื่อเล่า!
เขา… เขาจะต้องมีแผนอะไรอย่างอื่นเป็นแน่! ไม่ผิดแน่!
ที่นี่อันตรายเกินไปแล้ว พวกนางจะต้องรีบหาทางหลบหนีแล้ว
สาวใช้ก้าวขึ้นบันได
แต่ทว่านายหญิงฉลาดเพียงนี้ จะต้องให้ตนมาเตือนหรือ
นางนึกถึงยามที่อยู่เจียงโจว นายใหญ่ให้นางไปบ้านตระกูลเฉิง มีคนบอกกับนางว่า คนนั้นเป็นคนสติไม่สมประกอบ เมื่อสอบถามตามท้องถนนเจียงโจว เด็กไม่กี่ขวบยังรู้เลยว่าเรือนตระกูลเฉิงที่ร่ำรวยมีอำนาจนั้นมีเด็กบ้าอยู่คนหนึ่ง
แต่พอนางพบสาวใช้ที่ชื่อปั้นฉิน สาวใช้ผู้นั้นกลับบอกนางว่าไม่ได้บ้า
บ้าหรือไม่บ้า คนอื่นบอกมานั้นเชื่อไม่ได้ ต้องดูเอาเอง
ลองนับดูแล้วนางก็สังเกตมากว่าครึ่งปี ไม่ว่าเมื่อก่อนนางเป็นจะอย่างไร แต่เด็กบ้าเจียงโจวที่นางรับใช้ผู้นี้ ไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ หากจะบอกว่านางบ้าให้ได้ เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะแกล้งโง่เท่านั้น
เหมือนกับว่ามีคนกำลังตบแขนของนาง
“ไม่ต้องกลัว ฟังนายหญิง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
สาวใช้หันกลับไปมอง ก็เห็นสาวใช้ที่ชื่อปั้นฉินเช่นกันส่งยิ้มให้นาง เพียงแต่ตอนนี้ปั้นฉินผู้นั้นติดตามนายใหญ่จางอยู่
นั่นสินะ ติดตามนายหญิง เชื่อฟังนายหญิง เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป
ทุกคนล้วนต้องตายกันทั้งนั้น จะฆ่าก็ฆ่าไป จะเป็นอะไรไปเล่า
นายหญิงใจดีก็จริง แต่ไม่ใช่คนใจอ่อนแน่นอน
สาวใช้ยกกระโปรงเดินเข้าห้องโถงอย่างช้าๆ
“ในบ้านยังมีนกกระทาอยู่ตัวหนึ่ง ทำนกกระทาตุ๋นเหมือนครั้งก่อนดีไหมเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เลี่ยนเกินไป เอามาทอดไม่ดีกว่าหรือ” ปั้นฉินเหลียวหลังมองนางแล้วตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเข้าพระตำหนักด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
“เรื่องนี้โชคดีที่ทำอย่างรอบคอบ” ขันทีที่ติดตามอยู่ด้านหลังเช็ดเหงื่อก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ต่อไปนี้ท่านอ๋องอย่าทำการเสี่ยงเช่นนี้อีกนะขอรับ”
“ข้าก็แค่ให้ของกำนัลกลับไป เจ้ากลัวอะไร ไม่ได้อยู่ในเรือนหลังนั้นทุกวันเสียหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม
“ท่านอ๋องคิดเช่นนี้ก็ดีแล้วขอรับ” ขันทีรีบเอ่ย “รอให้ท่านอ๋องออกจากวังในปีหน้าก่อน ตอนนั้นท่านจะไปที่ใดก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ออกไปข้างนอกอันตรายยิ่งนัก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป ความเคร่งขรึมมาแทนที่
“เป็นไปได้ว่า คงมีคนคิดว่าข้าอาจมีชีวิตรอดได้ไม่ถึงตอนนั้น” เขาเอ่ย
บรรยากาศในห้องตึงเครียด
“ท่านอ๋อง พวกข้าจะไม่ประมาทเหมือนเช่นครั้งก่อนแล้วขอรับ” ขันทีเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร แม้จะประมาทเหมือนครั้งก่อน ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่ดีมิใช่หรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วนั่งเหยียดตัวตรง เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความหยิ่งทะนงและเย็นชา ไร้ซึ่งความสดใสร่าเริงเหมือนยามอยู่ต่อหน้าผู้คน “ข้า ชะตาชีวิตดีกว่าพวกเขา ดูสิ ประมาทถึงเพียงนี้ ฟ้ายังประทานคนมาช่วยข้าเลย”
เขานึกถึงหญิงผู้นั้น ใจกล้าถึงขนาดกับกวักมือเรียกตนเข้าไปใกล้ขนาดนั้น แล้วพูดกระซิบกับตนที่เป็นคนแปลกหน้า
‘เมื่อคืน ฝูงหมาป่า มีคน ชักนำมา’ นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มที่มุมปาก สีหน้าอันเยือกเย็นหายไปในทันใด
“ท่านอ๋อง คำพูดของนายหญิงผู้นั้น เชื่อได้หรือ” ขันที่ที่อยู่ด้านข้างถามเสียงแผ่วเบา
“เชื่อได้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องตอบอย่างไม่ลังเล
เพราะเหตุใดกัน
เพราะดูหนังสือหรือ ในหนังสือบอกไว้หรือ ง่ายดายเพียงนั้นเลยหรือ
“ท่านอ๋อง ข้าไปหาบันทึกความรุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวมาให้นะขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ต้อง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย “นางไม่ได้โกหกข้า”
เหตุใดถึงได้แน่ใจเพียงนั้น
ขันทีมองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋อง แล้วเอ่ยถามขึ้นในใจ
“เพราะว่า ความรู้สึกที่ได้ช่วยชีวิตคนนั้น มันน่าสุขใจกว่าการหลอกคน” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง
ขันทีตกตะลึง
นี่มันอะไรกันนี่
“อ้อ จริงสิ เจ้าว่านางเป็นใครกันนะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถาม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขันทีก็ถอนหายใจอีกครั้ง
เขาย่อมไปสืบถามตัวตนพื้นเพของนางแล้ว แต่จวิ้นอ๋องไม่ทันได้ฟังพวกเขาเล่าอย่างละเอียด ก็ไปพบทั้งที่ไม่ควรพบ พูดทั้งที่ควรและไม่ควรพูด
ทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบ้าหรืออีกฝ่ายเป็นคนบ้ากันแน่
แต่ก็เดาถูกแล้ว
“ท่านอ๋อง นายหญิงผู้นี้ เป็นเด็กสติไม่สมประกอบคนหนึ่งจากเจียงโจว…” เขาก้มหน้าเอ่ย
นอกตำหนักไร้ซึ่งผู้คน แต่ก็มีคนแอบคุ้มกันอยู่รอบข้าง เพื่อไม่ให้มีคนได้ยินการสนทนาในห้องนั้น
เด็กสติไม่สมประกอบจากเจียงโจวไม่มีอะไรน่าเล่านัก ชีวิตสิบสี่ปีแรกนั้นว่างเปล่า ขันทีพูดไม่กี่คำก็เล่าจบแล้ว
“เรื่องราวของนางไม่มีอะไรซับซ้อน ถูกนำมาอวดอ้างกับผู้คนอย่างไม่ปิดบัง เป็นเรื่องที่พูดคุยกันตามท้องถนน ใครๆ ก็รู้กันขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา “เพียงแต่จู่ๆ ก็หายดีอย่างประหลาด คนก็ประหลาด ตามที่ตระกูลเฉินสอบถามมา เหมือนว่านางได้พบกับอะไรสักอย่างเข้าจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่เทพเซียน น่าจะเป็นนักปราชญ์ผู้บำเพ็ญขั้นสูง เหมือนว่าตระกูลเฉินจะสืบได้เรื่องแล้ว กำลังตามหาคนผู้นี้อยู่ ท่านอ๋อง พวกเราจะลองตามหาดูดีหรือไม่ขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับกำลังเหม่อลอย ขันทีจึงต้องถามอีกครั้ง
“ตระกูลเฉินหาแล้วเราจะเหนื่อยเปล่าไปทำไม รอเจอตัวก็พอ” เขาโบกมือแล้วเอนกายพิงพนัก มือกุมหัวทำท่าราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ป่วยจริงดังที่ว่า”
ครั้นพูดอยู่ก็ยิ้มออกมา
“เจ้าดูสิ นางไม่เคยพูดปดเลย” เขาเอ่ย
ขันทีมุมปากกระตุก
ไม่เคยพูดปด บนโลกนี้มีคนเช่นนี้ที่ไหนกัน ท่านอ๋องก็จริงๆ เลย พูดถึงนายหญิงเฉิงทีไร ก็ทำท่าทางประหลาดเช่นนี้ทุกที
ยามเมื่อความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัว เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้ ภาพของหญิงสาวรูปงามสะกดสายตาในพระตำหนักต้าฉือลอยปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในวังไม่เคยขาดหญิงงาม แต่หญิงงามผู้นี้กลับไม่เหมือนกับหญิงงามคนใด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าไม่เหมือนตรงไหน แต่ทำให้มองแล้วอยากมองอีก จากนั้นก็อยากเข้าใกล้ อยากเข้าใจ แต่ไม่กล้าดูแคลน
ทั้งที่นางเป็นเด็กสาวอายุราวสิบกว่าปีเท่านั้น สวมเสื้อผ้าสีดำล้วน ไม่ใส่เครื่องประดับใด แต่เหตุใดกลับดูสดใสสะดุดตา
ตอนนี้ท่านอ๋องก็อายุสิบหกปีแล้ว คนอื่นอายุเท่านี้ต่างก็หารือเรื่องแต่งงานหรือไม่ก็เตรียมงานแต่งกันแล้ว
“นางชื่ออะไร” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามขึ้นมากะทันหัน
ขันทีชะงักไป
“ต้องแลกกฤกษ์เกิดจึงจะรู้ขอรับ” เขาตอบโพล่งออกมา
จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองเขาด้วยความตกตะลึง ขันทีทำหน้าไม่ถูก
“ข้าหมายถึง ชื่อของหญิงสาวมีเพียงคนในบ้านที่รู้ จะบุ่มบ่ามเข้าไปสืบไม่ได้ขอรับ” เขาก้มหน้าพึมพำทำทีปกปิด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า ไม่ได้คิดอะไรต่อและไม่ได้ใส่ใจความผิดปกติของขันที
“เรื่องนี้ข้ารู้ แต่นางก็ต้องมีชื่อเรียกมิใช่หรือ” เขาเอ่ย
“มีขอรับ มีขอรับ” ขันทีตั้งสติแล้วรีบพยักหน้า “เจียวเหนียงสกุลเฉิง เป็นชื่อเล่นที่ท่านยายของนางตั้งให้ขอรับ หรือเรียกว่าเจียวเจียวร์ขอรับ”
เจียงโจว ตระกูลเฉิง
สาวใช้และแม่นมทั้งนอกทั้งในเดินไปมาสีหน้าร้อนรน กระวนกระวาย สาวใช้สองคนยกถ้วยยาเดินตามโถงทางเดินด้วยความรีบเร่ง จังหวะที่เลี้ยวจึงชนเข้ากับสาวใช้มีอายุอีกคน
“ตาบอดหรือไร ซุ่มซ่ามเสียจริง” สาวใช้มีอายุผู้นั้นตะคอกด่าแล้วรีบรับถ้วยยาในมือของสาวใช้มา ก่อนจะหันหลังกลับแล้วรีบเดินไปที่ประตู
ประตูกระดาษเปิดแง้มเพียงครึ่งบาน เสียงร้อนรนของฮูหยินใหญ่เฉิงลอยมาจากด้านใน
“เอาอะไรนะ ชายสิบเจ็ด อย่ารีบร้อนไป พูดดีๆ เดี๋ยวอาหญิงหาให้เจ้าเอง…”
“ข้าจะเอาภาพวาดของเจียวเจียวร์!”
ท่านชายสิบเจ็ดที่นอนแปะแผ่นยาบนเตียงตะโกนโหวกเหวก แสร้งทำเป็นไออย่างอ่อนแรง
“ท่านอาหญิง มิเช่นนั้นอาการป่วยของข้าคงไม่หายดีแน่…”
…………………………………….