ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง
“ชายสิบเจ็ด เจ้าพูดอะไรกันแน่” นางถามด้วยสีหน้ากังวล ยื่นมือมาจับแผ่นยาบนใบหน้าของท่านชายสิบเจ็ด ก่อนจะถามแม่นม “ทำไมจู่ๆ ถึงป่วยได้ ท่านหมอบอกว่าอย่างไร”
แม่นมหน้าแหย เหมือนว่าไม่รู้จะบอกอย่างไรดี
แม่นางเฉิงหกที่อยู่ด้านข้างหัวเราะคิกคัก
“ท่านแม่ หมอบอกว่าพี่ชายสิบป่วยเป็นไข้ใจเจ้าค่ะ!” นางเอ่ยพลางใช้พัดป้องปากแล้วมองดูท่านชายสิบเจ็ดที่นอนอยู่บนเตียง “ท่านพี่ ท่านพี่เดินผ่านสระบัวมาไม่ใช่หรือ เจออะไรเข้าล่ะ”
คำพูดนี้ทำให้สาวใช้และแม่นมสีหน้าเปลี่ยนไป
เรื่องที่ว่าท่านชายเฉิงสี่ป่วยอย่างไร้เหตุผล พอถูกทำให้ตกใจก็หายอย่างน่าประหลาดในตอนนั้น กลายเป็นเรื่องราวลึกลับในบ้านหลังนี้ไปแล้ว ถึงแม้หมอจะอธิบายอาการป่วยอย่างข้างๆ คูๆ แต่สำหรับเหล่าหญิงสาวในบ้านแล้ว คำอธิบายที่ว่าถูกผีสูบวิญญาณต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
พอได้เจอ วิญญาณก็หายไป พอตกใจ วิญญาณก็กลับมา
อุณหภูมิห้องท่ามกลางฤดูร้อนนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่อยู่ที่สระบัวแล้ว!” แม่นางเฉิงเจ็ดร้องออกมาแล้วหันหลังหิ้วกระโปรงวิ่งออกไป
แม่นางเฉิงหกหัวเราะตัวโยก
“แม่นางหก!” ฮูหยินใหญ่เฉิงตะคอกด้วยความโมโห
แม่นางเฉิงหกรีบหยุดหัวเราะ
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองไปรอบๆ สีหน้าของแม่นมและสาวใช้แปลกประหลาดไปยิ่งนัก เมื่อเห็นนางมองมาก็รีบหลบตา จนฮูหยินใหญ่โมโหขึ้นมา
เด็กบ้านั่นถูกไล่ออกไปแล้ว แต่ความโชคร้ายที่เคยนำพาเข้ามายังคงหลงเหลืออยู่ในเรือน
หากแตะต้องเพียงปลายนิ้วก็โชคร้ายไปสามปีจริงๆ !
“ออกไปให้หมด!” นางตะคอก
สาวใช้และแม่นมที่อยู่ข้างในพากันออกจากห้องไป เหลือเพียงสาวใช้และแม่นมที่ติดตามท่านชายสิบเจ็ดไว้คอยปรนนิบัติท่านชายกินยา
“ท่านอาหญิง ข้าไม่อยากกินยาพวกนี้ ยาของข้าไม่ใช่พวกนี้” ท่านชายสิบเจ็ดเอ่ย แล้วโบกมือไล่สาวใช้ที่ป้อนยาให้
ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจ พร้อมพูดโน้มน้าว
“เด็กดีของข้า กินยานี้ก่อน แล้วอาหญิงจะหายาอื่นมาให้” นางเอ่ย
“เช่นนั้นอาหญิงก็เอายาที่ข้าอยากได้มาก่อน” ท่านชายสิบเจ็ดเอ่ย
“อะไรล่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างจนใจ
“ภาพวาดขอรับ” ท่านชายสิบเจ็ดลุกขึ้นนั่ง เอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย “ภาพวาดของเจียวเจียวร์”
“เจียวเจียวร์อะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้ว
“ท่านอาหญิง ภาพเจียวเหนียง แม่นางใหญ่ของบ้านอารองที่ชายสี่เป็นคนวาด” ท่านชายสิบเจ็ดตอบ
ฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไปทันใด
ว่าอย่างไรนะ
“ว่าอย่างไรนะ” นางนั่งเหยียดหลังตรงแล้วตะโกนถาม
ภาพวาดเจียวเหนียงหรืออย่างนั้น! ภาพวาดคนบ้านั่นหรือ!
สองคนในห้องของท่านชายเฉิงสี่กำลังวุ่นวาย
“ไม่ได้ ไม่ได้ ซ่อนที่ห้องข้าไม่ได้เลย” ท่านชายเฉิงสี่นำภาพวาดออกมาจากซุ้มประตูจันทราด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“ท่านชาย ท่านชาย เผาทิ้งเถิดเจ้าค่ะ” ชุนหลานสะอื้น
ใช่ เผาทิ้งปลอดภัยที่สุด ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน
แต่ว่า…
ท่านชายเฉิงสี่ก้มหน้ามองดูภาพวาดในมือ
“นางยังมีชีวิตอยู่ ข้าวาดภาพนางก็เป็นการไม่ให้เกียรตินางอยู่แล้ว หากจะเผาอีก ไม่เป็นการสาปแช่งนางหรอกหรือ” เขาเงยหน้าเอ่ยขึ้น ในมือก็กำภาพวาดไว้แน่น
ชุนหลานกระทืบเท้า
“ท่านชาย เวลาเช่นนี้แล้ว อย่ากังวลเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง
ท่านชายเฉิงสี่กำภาพวาดไว้แน่นไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็รีบยัดภาพวาดให้ชุนหลาน
“เจ้าเอาไปไว้ที่จั่งหมิง ให้เขาเก็บเอาไว้ก่อน” เขาเอ่ย “บอกเขาว่า ห้ามดู มิเช่นนั้นขาดกัน”
ชุนหลานสีหน้าลังเล
“รีบไป” ท่านชายเฉิงสี่เร่งเร้า
ชุนหลานขานรับแล้วกอดภาพวาดเอาไว้ ก่อนจะหันหลังแล้วรีบวิ่งออกไป
ท่านชายเฉิงสี่โล่งใจ กำลังจะหันหลังกลับ แต่ก็เห็นชุนหลานถอยกลับมาอีก
“เจ้า…” เขาขมวดคิ้วตะโกน ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็มองไปที่ประตูเช่นกัน
แม่นมผู้ดูแลบ้านสองคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยื่นมือมาคว้าภาพวาดในอ้อมอกของชุนหลานที่ใบหน้าซืดเผือด
“อันนี้ใช่หรือไม่” นางถาม แต่ไม่รอให้ชุนหลานตอบ แม่นมหันไปมองท่านชายเฉิงสี่แล้วยิ้มให้ “ท่านชายสี่ ฮูหยินเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
แม่นมทั้งสองคลี่ภาพวาดออกอย่างช้าๆ
แปลกตาแต่ก็คล้ายว่าจะคุ้นเคย
เหมือนกับย้อนกลับไปในคืนนั้น ยามที่นางและนายรองเฉิงวิ่งไปหน้าประตู แล้วได้เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟ ค่อยๆ เปิดหมวกคลุมออก
ภายใต้แสงไฟที่สั่นไหวนั้น หญิงสาวใบหน้าซีดเซียว ดวงตาแข็งทื่อ สวมชุดสีดำล้วน มองแล้วหดหู่ยิ่งนัก
ตั้งแต่นาทีที่นางละสายตามา นางไม่กล้ามองหญิงผู้นี้อีก
แต่ทว่าความทรงจำบางอย่างใช่ว่าอยากจะลืมก็เลือนรางหายไปเองได้
นานมาแล้ว นางคุ้นเคยกับหญิงผู้นี้นัก เสียงร้องไห้แรกของหญิงผู้นี้ดังขึ้นในมือของนาง คนที่อุ้มหญิงผู้นี้คนแรกก็คือนางเช่นกัน
เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังขึ้นข้างหู เสียงร้องโอดครวญของหญิงสาวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“แม่นางห้า แม่นางห้า ออกแรงหน่อย ออกแรง เด็กจะออกมาแล้ว…” นางจับมือหญิงสาวบนเตียงไว้แน่นแล้วเอ่ยอย่างร้อนรน
ฮูหยินสาวบนเตียงใบหน้าขาวซีด เนื้อตัวเปียกแฉะเหมือนเพิ่งถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ
“พี่สะใภ้ พี่สะใภ้ ข้าไม่ไหวแล้ว…” ฮูหยินสาวร่ำไห้อย่างอ่อนแรง
“อย่าพูดบ้าๆ น่ะ! อย่าลืมสิ ว่าเจ้าชื่อเกอเหนียง เก่งกาจคมดาบคมอาวุธ จะไม่ไหวได้อย่างไร! รีบออกแรงเร็วเข้า!” นางจับมือฮูหยินสาวแล้วตะโกนใส่
“จะออกแล้ว!”
เมื่อเสียงตะโกนดังขึ้น ฮูหยินสาวก็เหมือนถูกสูบแรงไปหมดสิ้น จนกระทั่งหมดสติไป
“ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่ เด็กไม่ร้องเจ้าค่ะ”
ภายในห้องวุ่นวายไปหมด บ้างก็ไปปรนนิบัติฮูหยินที่เป็นลมหมดสติไป บ้างก็ยืนล้อมเด็กด้วยความกระวนกระวาย
นางยื่นมือมาอุ้มเด็กคนนั้น ผิวหนังอันเหี่ยวย่นไม่ได้รับการเช็ด เนื้อตัวเลื่อมซีดเขียวของเด็กทารกที่ห่อด้วยผ้าผืนเดียวนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด
“ฮูหยิน ตีเจ้าค่ะ” หมอตำแยตะโกน
นางมือสั่นเทา จับขาเด็กห้อยหัวลงแล้วตีลงไปอย่างแรง
เสียงร้องไห้ของเด็กที่เหมือนเสียงแมวร้องนั้นดังขึ้นในห้อง
ชั่วพริบตา ในห้องก็สงบลงและเต็มไปด้วยความอบอุ่น เนื่องด้วยอยู่ในช่วงอยู่เดือน จึงปล่อยผ้าม่านในห้องลงเพื่อบังประตูหน้าต่าง แสงไฟในห้องมืดสลัว
“สะใภ้ใหญ่ ให้ข้าดูหน่อย” ฮูหยินสาวที่นอนอยู่บนเตียงสีหน้าอ่อนแรงแต่ก็ยังแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
นางหันมา อุ้มห่อผ้าเอาไว้ในอก
“เป็นเด็กดีจริงๆ” นางเอ่ยแล้วนั่งคุกเข่าลงวางห่อผ้าไว้บนเตียง
ฮูหยินทั้งสองต่างก็ก้มหน้าลง
ทารกตัวน้อยในห่อผ้านั้นกำลังนอนหลับฝันหวาน กำปั้นเท่าผลมันฮ่อวางไว้ข้างหู
“น่าเกลียดจัง” ฮูหยินสาวเอ่ย
“พูดอะไรน่ะ! พี่หญิงใหญ่ของเราน่าเกลียดตรงไหน!” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมยื่นมือไปลูบหน้าทารกน้อยเบาๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่หญิงใหญ่ของเราสวยที่สุดเลย”
ผิวของทารกเนียนละเอียด กำลังนอนหลับอย่างสบาย นางมองด้วยความพออกพอใจ
“เจ้าอย่ากังวลไป มีลูกสาวแล้ว จะไม่มีลูกชายหรือ” นางก้มหน้ากระซิบกับฮูหยินสาว “ท่านพ่อดีใจนัก อยู่ในห้องหนังสือมาหลายวันแล้ว บอกว่าจะตั้งชื่อให้พี่หญิงใหญ่…”
ฮูหยินสาวทั้งดีใจและปลาบปลื้มใจ
ธูปถูกจุดขึ้นภายในห้อง ด้านนอกของม่านมีสาวใช้และแม่นมเดินมาเป็นครั้งคราว เหล่าสะใภ้ต่างก็ยื่นหน้ามาพูดอย่างแผ่วเบา ทารกน้อยหลับอย่างสงบ ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุข จนกระทั่ง…
นางก้มหน้าลงดูเด็กทารกในห่อผ้า ทารกน้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทว่าดวงตานั้นแทบจะมองไม่เห็นตาดำ
ฮูหยินใหญ่เฉิงกรีดร้องออกมาทันใด
แม่นมทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าตกใจสะดุ้งขึ้นมา จนภาพวาดในมือสั่นไหว
“ท่านอาหญิง เป็นอะไรหรือ”
เสียงชายหนุ่มเอ่ยถาม
ฮูหยินใหญ่เฉิงยื่นมือมากุมหน้าอก แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ
ประตูหน้าต่างเปิดอ้า ลมร้อนพัดผ่านห้องโถง แม่นมและสาวใช้นั่งคุกเข่าอยู่ทั้งสองฝั่ง เด็กหนุ่มที่ยื่นอยู่ซ้ายขวาจ้องมองมาที่ สีหน้าของทั้งสองยากจะอธิบาย
“ฮูหยินเจ้าคะ” แม่นมถามเสียงแผ่วเบา “ภาพวาดนี้…”
ฮูหยินใหญ่เฉิงยื่นมือมาตบภาพวาดนั้น
ปีศาจชั่วตนนี้ เหตุใดต้องมาวนเวียนกับตระกูลเฉิงด้วย!
“ท่านอาหญิง!”
“ท่านแม่!”
เสียงร้องตกใจสองเสียงดังขึ้นในห้อง แต่คนที่กระโจนเข้ามานั้นมีเพียงคนเดียว
“ท่านอาหญิง! อย่าทำเสียของสิขอรับ!” ท่านชายสิบเจ็ดแย่งภาพวาดมาจากมือแม่นมแล้วตะโกนขึ้นมา
ท่านชายเฉิงสี่นั่งคุกเข่าลงอย่างโล่งใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอแค่รักษาภาพวาดไว้ได้ก็พอ
“เจ้าทำอะไร ฉีกทิ้งเสีย!” ฮูหยินใหญ่เฉิงเลิกคิ้วตะคอก
ท่านชายสิบเจ็ดกลับไม่กลัวแล้วหัวเราะคิกคัก ไม่ได้มีอาการของคนป่วยแต่อย่างใด
“ท่านอาหญิง ภาพวาดงดงามเช่นนี้ จะฉีกทิ้งเสียก็เสียดายแย่” เขาเอ่ย “หลานจะเอา นี่เป็นของหลาน ท่านอาหญิงไม่มีสิทธิ์จัดการกับภาพนี้แล้วนะขอรับ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงโมโหจ้องตาเขม็ง ตะโกนเรียกแม่นมและสาวใช้ให้แย่งคืนมา พวกนางกลับก้มลงแล้วเขยิบไปข้างหน้า
ท่านชายสิบเจ็ดม้วนภาพวาดเก็บแล้วไปก่อนเสียแล้ว
“ข้าสั่งสอนอะไรเจ้าไม่ได้ ให้แม่ของเจ้ารับกลับไปเสีย” ฮูหยินใหญ่เฉิงโมโห
ท่านชายสิบเจ็ดร้อง ‘โอ๊ยๆ’ กุมหัวแล้วนั่งลงไปบนพื้น
“ข้าไม่สบาย เวียนหัว” เขาร้อง
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจรีบเข้าไปดู ทั้งยังเร่งเร้าให้คนส่งกลับห้องไป ท่านชายสิบเจ็ดกอดภาพวาดเอาไว้แล้วให้คนพยุงออกไปอย่างพออกพอใจ
ฮูหยินใหญ่เฉิงส่งเขาด้วยสายตาอยู่หน้าประตู สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ฮูหยินใหญ่เฉิงเหลียวกลับไปมอง
ท่านชายเฉิงสี่หยุดยืนอยู่กับที่ในทันทีแล้วก้มหน้าลง
“ปีหน้าเจ้าก็ต้องเข้าสอบแล้ว” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอื้อนเอ่ย แล้วหันหน้าไปมองท่านชายเฉิงสี่ “ข้าให้พ่อเจ้าหาสำนักดีๆ ให้ เจ้าออกไปเรียนหนังสือก็แล้วกัน”
ท่านชายเฉิงสี่ขานรับ ชุนหลานที่ยืนอยู่ในเรือนสีหน้าขาวซีด น้ำตาจากดวงตาทั้งสองก็ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ร้องไห้อะไรกัน” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย
เขากลับไปยังห้องหนังสือ มองดูชุนหลานที่ปิดหน้าสะอื้นร่ำไห้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ท่าทางคงอีกไม่กี่วันแล้ว รีบเก็บของที่จะต้องเอาไปด้วยเถิด” เขายิ้ม
“ท่านชาย…” ชุนหลานก้มหน้ากัดปากร้องไห้ “ก็แค่ภาพวาดภาพเดียว ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ!”
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้ม
“ภาพวาดนั้นเป็นแรงกายแรงใจของข้าทั้งนั้น” เขาเอ่ยโอดครวญ “คนที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูมาจนถึงวันนี้ ยิ่งต้องทุ่มแรงกายแรงใจ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็หวังว่าจะดีกันถ้วนหน้า”
คนบ้านั่น ก็เป็นแรงกายแรงใจอย่างนั้นหรือ
ชุนหลานสีหน้าหดหู่ แฝงไปด้วยความไม่เข้าใจและความเศร้าโศก ครั้นพูดถึงคนบ้านั่น ก็ไม่รู้ว่าจินเกอร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
“ท่านชาย ฮูหยินเอ็นดูท่านมาตลอด ครั้งนี้เหมือนว่าจะโมโหจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ” นางสะอึกสะอื้น
“ท่านแม่ไม่ทำให้ข้าลำบากใจหรอก หากจะหาสำนักข้างนอกให้ ท่านอาจารย์เจียงโจวก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว คาดว่าคงต้องให้ท่านอารองเขียนจดหมายแนะนำให้ ข้าน่าจะได้ไปเมืองหลวงแล้ว” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยแล้วยิ้มให้ชุนหลาน “เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ไม่มีภาพวาด อาจจะได้พบกับเจ้าตัวแล้วก็ได้”
ชุนหลานสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าตนจะได้พบกับน้องชายแล้ว แต่ทว่ากลับรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันในใด
ออกไปเรียนข้างนอกย่อมเทียบไม่ได้กับอยู่ที่บ้าน จะต้องตรากตรำ มัธยัสถ์ พาไปได้เพียงบ่าว พาสาวใช้ไปด้วยไม่ได้
“ท่านชาย ท่านอยู่ข้างนอกก็ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ” นางสะอื้น
ฮูหยินใหญ่เฉิงดื่มชาอยู่ในห้อง นางยังคงจุกอยู่ในอก
“เหตุใดนายใหญ่ยังไม่กลับมากัน” นางตะโกนออกไปข้างนอก “ที่บ้านเกิดเรื่อง ไปเรียกนายใหญ่กับนายรองมาก่อน อย่าเพิ่งทำสงครามน้ำลายกับพวกตระกูลโจว เรื่องบ้านเราสำคัญกว่า”
แม่นมขานรับแล้วออกไปถาม ไม่นานก็เข้ามาอย่างร้อนรน
“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ นายรองกับฮูหยินรองตกลงเรื่องสู่ขอแล้วเจ้าค่ะ!” นางเข้ามานั่งคุกเข่ากระซิบอย่างกระวนกระวาย
ฮูหยินใหญ่เฉิงหัวเราะเย้ยหยัน
“ตกลงเรื่องที่ตระกูลโจวจะหาคนมาสู่ขอหรือ ถึงพวกเขาจะโง่แต่ก็คงไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” แม่นมคลานเข่าเข้าไป “นายรองคุยเรื่องสู่ขอให้คนบ้า… เอ่อ แม่นางใหญ่แล้วเจ้าค่ะ!”
………………………