ว่าอย่างไรนะ

นายรองตอบตกลงให้เจียวเหนียงบ้านั่นหมั้นหมายแล้วหรือ

ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งหลังเหยียดตรงขึ้นมาทันใด

ช่วงนี้ที่ตระกูลมีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลโจวก็เพราะเรื่องแต่งงานของเจียวเหนียง ทะเลาะกันว่าใครจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องแต่งงานของเจียวเหนียงดี

ตระกูลโจวที่เป็นผู้เลี้ยงดูเฉิงเจียวเหนียงอยู่ในขณะนี้ อ้างเหตุนี้มาขอเป็นคนจัดการเรื่องแต่งงาน

จัดการเรื่องแต่งงาน ก็ย่อมเท่ากับได้จัดการเรื่องสินเดิมด้วย

ตระกูลเฉิงย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายยุดยื้อกันอยู่นาน ไม่คิดว่านายรองเฉิงจะชิงตกลงเรื่องแต่งงานให้กับเจียวเหนียงไปเสียอย่างนั้น

เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่ พ่อแม่ควรเป็นผู้ตัดสินใจ หากนายรองเฉิงพูดคำนี้ออกมาก็สมเหตุสมผลยิ่งนัก ทั้งยังตัดข้ออ้างที่ตระกูลโจวมาโวยวายได้อีก

เพียงแต่…

ฮูหยินใหญ่เฉิงกลับไปนั่งอย่างช้าๆ

“เร็วเพียงนี้เชียวหรือ ก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวคราวอะไรมาก่อนเลย หากหาคนสุ่มสี่สุ่มห้าอีก เกรงว่าจะไม่จบง่ายๆ” นางถาม

อย่านึกว่าเพียงเพราะจะขัดขวางตระกูลเฉิงไม่ให้ฮุบสินเดิมไว้ แล้วจะหาคนพิกลพิการ ขอทาน หรือนักเลงข้างถนนมาแต่งงานด้วยเชียวนะ หากทำเช่นนั้นได้ตระกูลโจวคงทำไปตั้งนานแล้ว

หากทำเช่นนั้นได้ ก็เท่ากับเพิ่มข้อได้เปรียบให้แก่ตระกูลโจวอย่างไม่ต้องสงสัย

คนบ้านเด็กบ้านั่นก็พูดยากจริงๆ

“ไม่ใช่คนตระกูลไม่มีหัวนอนปลายเท้านะเจ้าคะ” แม่นมตอบ “แถมยังเป็นคนตระกูลบัณฑิตด้วยเจ้าค่ะ”

ตระกูลบัณฑิตหรือ

“ตระกูลใดกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถาม

“เรื่องออกเรือนของเจียวเหนียง ตั้งแต่นาทีที่นางกลับมา ข้าก็คิดมาตลอด”

นายรองเฉิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ภายในห้องนั้น นายใหญ่เฉิงก็ดี นายใหญ่โจวก็ดี ต่างก็สีหน้าแปลกไป

หลายวันมานี้พวกเขาก็ได้รับรู้ว่าทั้งตนเองและอีกฝ่ายพูดโกหกหน้าตายเก่งกันเพียงใด แต่มาถึงวันนี้นายรองเฉิงยังคงครองอันดับหนึ่งอยู่

“แม้ตอนนี้เจียวเหนียงจะดีขึ้นแล้ว แต่อย่างไรก็เคยป่วยมาก่อน เหล่าตระกูลใหญ่โตนั้นข้าก็ไม่คิดถึงแล้ว ถึงจะเข้าตระกูลเขาได้ แต่ก็คงต้องถูกเมินเฉยละเลย” นายรองเฉิงถอนหายใจแล้วมองไปข้างนอก สีหน้าแฝงไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับชีวิตในภายหน้าของลูกสาว “ชีวิตนี้ข้าไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่สนใจความร่ำรวยสูงศักดิ์และชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นแล้ว”

นายใหญ่โจวมุมปากกระตุกยิ้มแห้งทันใด

“เจียวเจียวร์ของข้าย่อมต้องมีชีวิตสงบสุขอยู่แล้ว ความร่ำรวยก็ไม่ต้องได้จากผู้อื่น ที่แม่ของนางเก็บไว้ให้นางก็เพียงพออยู่แล้ว” เขาเอ่ยเสียงขุ่นเคือง “จะกลัวก็แต่คนอื่นจะมาหวังพึ่งพาเจียวเจียวร์ของเราเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยน่ะสิ”

“ฉะนั้น ข้าคงต้องพิถีพิถันในการเลือกเสียหน่อย” นายรองเฉิงเอ่ย “คุณธรรมของตระกูลนั้นสำคัญที่สุด”

“เจ้าว่ามาตรงๆ เถิด เจ้าเลือกคนตระกูลใด” นายใหญ่โจวหยัน “ลองพูดออกมา อย่าพูดเสียสวยหรูอยู่ฝ่ายเดียว”

“ไม่ใช่คนนอกอะไร รู้จักรากเหง้ากันดี” นายรองเฉิงเอ่ย “เป็นคนของตระกูลเผิง”

ตระกูลเผิงหรือ

นายใหญ่เฉิงเลิกคิ้ว ในดวงตาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างทั้งยังแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

ตระกูลเผิง เหอะ…

นายใหญ่โจวกลับขมวดคิ้วอีกครั้ง

“ตระกูลเผิงใดกัน” เขาถาม

เสียงกระทบของถ้วยน้ำชาดังขึ้น หยาดน้ำกระเซ็นออกมา

สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนเข้ามาเช็ดให้อย่างระวัง

“ตระกูลเผิง” ฮูหยินใหญ่เฉิงสีหน้าเยาะเย้ย “ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมนัก นางช่างกล้าพูด!”

ขณะเดียวกันฮูหยินรองเฉิงและฮูหยินผู้หนึ่งกำลังนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถง

“เหตุใดข้าถึงจะไม่กล้าพูด ข้าทำเพื่อนางมาตลอด” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยอย่างเรียบเฉยพร้อมโบกพัดในมือ

“นั่นสิ นั่นสิ” ฮูหยินผู้นั้นยิ้มตาม “เพียงแต่ตระกูลเรายากจนไปหน่อย เกรงว่าเหล่านายใหญ่จะไม่เห็นด้วย”

ฮูหยินรองเฉิงหัวเราะเยาะ

“ยากจนไปอย่างนั้นรึ ยากจนแล้วอย่างไรเล่า พวกเจ้าก็ไม่ได้ขาดอะไรอย่างอื่นนี่” นางเอ่ย “ประการแรก พี่รองเป็นบัณฑิต ไม่มีเรื่องเสียหาย ประการที่สอง ตระกูลเผิงของเรา ก็เป็นตระกูลบัณฑิตในตงผิงโจว ใช่ว่าไร้ชื่อเสียงเรียงนาม”

“นั่นสิ นั่นสิ พี่รองเรียนหนังสือเก่ง เพียงแต่ช่วงนี้ป่วยจึงเรียนช้ากว่าคนอื่นไปบ้าง แต่ว่าท่านลุงใหญ่บอกว่า

วันหน้าพี่รองจะต้องสอบเป็นขุนนางได้แน่” ฮูหยินรีบเอ่ย

“จะสอบได้หรือไม่นางไม่สนใจหรอก ขอเพียงพวกเจ้าทำดีกับนางก็พอ” ฮูหยินรองโบกพัดแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” ฮูหยินผู้นั้นรีบเขยิบตัวเข้ามาใกล้อย่างร้อนรน “พวกข้าไม่ใช่คนอื่น เป็นญาติฝ่ายแม่ของท่าน หากพวกข้าไม่ดีกับนาง จะไม่ขายหน้าท่านแย่หรอกหรือ! คนอื่นจะทำอย่างไรพวกข้าไม่รู้และไม่อยากคิดด้วย

แต่พวกข้าจำไว้เสมอว่าท่านคือใคร”

ฮูหยินรองเฉิงยิ้มแย้มพร้อมโบกพัดในมือเร็วขึ้น

“ข้าก็สงสารเจ้ายิ่งนัก น้องเอ๋ย” ฮูหยินผู้นั้นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “แต่ไหนแต่ไรมาการเป็นแม่เลี้ยงนั้นยากนัก แล้วนางยังเป็นเด็กเช่นนี้อีก ข้านั้นก็คิดว่าให้นางอยู่ที่บ้านน่าจะดีที่สุด แต่ในเมื่อบ้านแม่ยายไม่อยากให้นางอยู่

ก็จำเป็นต้องให้นางออกเรือน ถึงตระกูลโจวพูดดีเพียงใด เรื่องแต่งงานหากให้พวกเขาเป็นคนเลือก ถ้าเจอคนดีก็โชคดีไป แต่หากไม่ดี ถึงเวลานั้นก็คงเอากระโถนมาครอบหัวพวกเจ้าอีก นายรองเป็นพ่อ เป็นผู้ชายหากละเลยอะไรไปก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่น้องเป็นแม่เลี้ยง ถึงตอนนั้นเขาก็จะเอาว่าได้ ว่าเจ้าละเลยเพิกเฉยกับลูกเลี้ยง”

ฮูหยินรองเฉิงถอนหายใจ

“จะทำอย่างไรได้เล่า นี่เป็นชะตาของข้า” นางเอ่ย

“เช่นนั้นแล้วข้าจึงคิดว่า ในเมื่อข้าช่วยอะไรอย่างอื่นไม่ได้ ก็ถือว่าช่วยน้องดูแลเด็กคนนี้แล้วกัน ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ฮูหยินผู้นั้นเอ่ย “ให้นางไปอยู่กับคนอื่น อย่างไรเสียก็เป็นคนอื่น แม้ตอนแรกจะดี แต่วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจแน่ใจได้ หากภายภาคหน้าเกิดอะไรขึ้น เราก็ว่าอะไรไม่ได้ แต่ตระกูลเราไม่เป็นเช่นนั้น เป็นตระกูลของเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไรพวกข้าก็ว่าอย่างนั้น”

ฮูหยินรองเฉิงอมยิ้มพยักหน้า

“ข้าก็รู้ ว่าพวกข้ายากจนไปบ้าง คนอื่นอาจจะพากันคิดว่าพวกข้าอยากได้สินเดิมของแม่นางใหญ่” ฮูหยินผู้นั้นถอนหายใจ “เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลานั้น เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ สินเดิมของแม่นางใหญ่ พวกข้ายินยอมจะให้นายท่านและฮูหยินเป็นคนจัดการดูแล”

นี่สิประเด็น ฮูหยินรองเฉิงยิ้มอย่างสบายใจยิ่งขึ้น

ไม่ได้เงินก้อนใหญ่ไม่เป็นไร คนเราต้องรู้จักพอ อย่าโลภ มิเช่นนั้นจะไม่ได้อะไรเลย ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของ

ตระกูลเฉิงเชียวนะ ถึงกระเด็นออกมาเพียงน้อยนิด แต่ก็พอให้ตระกูลเผิงของนางกินอยู่สบายกันทั้งบ้านแล้ว

ฮูหยินผู้นั้นก็ยิ้มอย่างดีใจเช่นกัน

“ถุย”

ฮูหยินใหญ่เฉิงถ่มน้ำลาย

“หน้าเงินถึงขนาดว่าตระกูลจะไร้ผู้สืบทอดก็ไม่กลัวเลยหรือ! แต่งงานกับคนบ้าเพื่อไปให้กำเนิดคนบ้าอีกหรือ” นางก่นด่า

“จะไร้ผู้สืบทอดได้อย่างไรเจ้าคะ” แม่นมที่อยู่ข้างกายส่ายหน้าหัวเราะเยาะ “ฮูหยินเจ้าคะ หากเขาได้เงินแล้ว

จะหาภรรยารองก็มิใช่เรื่องยากนี่เจ้าคะ ได้กินอยู่อย่างดี เลี้ยงดูแม่นางใหญ่ไว้ในบ้านเพื่อความร่ำรวย ดีกว่าเลี้ยงหมูเป็นไหนๆ นะเจ้าคะ”

แม่นมและสาวใช้ในห้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

ฮูหยินใหญ่เฉิงก็หัวเราะเช่นกัน นางรีบเก็บอาการแล้วโบกพัดต่อ

“จะว่าไป แต่งงานกับเด็กบ้านั่น ก็เป็นการซื้อขายที่ดีจริงๆ” นางเอ่ย “เพียงแต่ต้องยอมขายหน้า”

“คนไร้ยางอายมีถมไปเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ย “แต่ก็ต้องพอมีข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นบ้าง”

ไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะว่าแต่งงานกับคนบ้า ทั้งยังเป็นตระกูลบัณฑิตอีก จะว่าไปคู่ที่ฮูหยินรองเลือกนี้ หากคนอื่นรู้เข้าก็คงคิดว่าเหมาะสมกันดี

“ฮูหยิน หากสำเร็จจริง เช่นนั้นสินเดิมก็อยู่ในกำมือของฮูหยินรองแล้วนะเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยเสียงแผ่วเบา

ฮูหยินใหญ่เฉิงกำพัดไว้ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าดูยุ่งเหยิง

“เจียวเหนียงของเรา ไม่เหมือนกับคนอื่น เรื่องแต่งงานต้องใส่ใจเป็นพิเศษ” นางเอ่ย “พวกเจ้า ไปสืบเรื่องของคนตระกูลนี้มาให้ละเอียด”

นางเน้นคำว่า ‘ให้ละเอียด’ สามคำนี้ด้วย

เหล่าแม่นมเข้าใจในทันทีแล้วขานรับ

แม่นมเพิ่งจะออกไป นายใหญ่เฉิงก็ก้าวเข้ามา

“เป็นอย่างไรบ้าง ตระกูลโจวว่าอย่างไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบถาม

“บอกว่าจะสืบดูก่อน” นายใหญ่เฉิงเอ่ย เขาไม่ได้แปลกใจอะไรที่ภรรยารู้เรื่องนี้ด้วย

ทุกวันนี้ที่ทะเลาะกันก็เพราะเรื่องนี้ ความเคลื่อนไหวเป็นอย่างไรต่างก็รู้กันทั้งบ้าน อย่างไรก็ปกปิดไม่ได้อยู่แล้ว

“รู้อยู่แล้วว่ามาเพื่อสินเดิม แม้จะแบกเทพเซียนมาไว้ตรงหน้า ตระกูลโจวก็ไม่ยอมตกลงหรอก” ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้ม

“ถึงไม่ยอมตกลงตอนนี้ แต่จะเอาแต่ปฏิเสธเช่นนี้เรื่อยไปได้หรือ” นายใหญ่เฉิงนั่งลงแล้วส่ายหน้าเย้ยหยัน

“อย่าลืมเชียวว่าเจียวเหนียงแซ่เฉิง”

…………………………..