เสียงจักจั่นดังไปทั่วเรือน
อากาศอันหนาวเหน็บในยามเช้าเริ่มอบอุ่น อุณหภูมิเพิ่งจะสูงขึ้นได้ไม่กี่วันก็เข้าฤดูร้อนเสียแล้ว
ฮูหยินโจวโบกพัดในมือรัว
“เหตุใดไม่จับจักจั่นกัน!” นางตะคอก
แม่นมและสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดินรีบทำตามคำสั่ง
เสียงจักจั่นในเรือนแผดดังขึ้นก่อนจะเงียบหายไป
ฮูหยินโจววางพัดลงแล้วมองจดหมายที่แผ่อยู่บนโต๊ะ
“ถุย เรื่องเช่นนี้ พวกนั้นก็กล้าทำได้!” นางก่นด่าด้วยความโมโห “หาคนบ้านแม่ตัวเองมาให้ แม้แต่คนบ้าก็รู้ว่าคิดหวังอะไร!”
“ฮูหยิน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโมโหนะเจ้าคะ จะตอบกลับนายท่านอย่างไรดีเข้าคะ” แม่นมโน้มน้าวอยู่ด้านข้าง
“ตอบกลับอย่างไรหรือ ก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว! ตระกูลโจวเรายังไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกถึงเพียงนั้น นางก็แค่หญิงที่แต่งเข้ามาใหม่ บังอาจมาทำเสียชื่อเสียงหลานสาวตระกูลเรา! คราวนี้นายใหญ่ของเจ้าเหตุใดถึงไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นทุกที น่าจะตีสามีภรรยาไร้ยางอายสองคนนี้เสียตั้งแต่ตอนนั้น!” ฮูหยินโจวตะคอก “ยังจะสืบอีก มีอะไรให้สืบกัน!”
ขณะที่พูดอยู่นางก็ลุกขึ้นมา
“เตรียมรถ ข้าจะไปเจียงโจว” นางเอ่ย
เหล่าแม่นมรีบเข้าไปร้องห้าม
“ฮูหยินเจ้าคะ แม้ครั้งนี้จะปฏิเสธได้ แต่หากครั้งหน้าเล่าเจ้าคะ ก็แค่แต่งงาน ชายหนุ่มสองขาหายากที่ไหนกันเจ้าคะ” นางเอ่ย “ปฏิเสธครั้งแรกไม่ว่า แต่หากครั้งที่สองที่สามก็ยังไม่ตกลง ตระกูลเฉิงจะหาว่าเราประสงค์ร้ายนะเจ้าคะ
เพราะอย่างไรเสีย เจียวเจียวร์ก็แซ่เฉิงนะเจ้าคะ”
เหตุผลนี้ฮูหยินโจวก็รู้ดีอยู่แก่ใจ นางโมโหจนโบกพัดถี่รัว
“ฮูหยิน เรื่องนี้ง่ายนักเจ้าค่ะ” แม่นมอีกคนยิ้ม “พวกเขาตระกูลเฉิงหาคู่ให้เจียวเจียวร์ได้ เราก็หาได้เหมือนกันนี่เจ้าคะ ถึงตอนนั้นหากคนที่เราหาดีกว่า สายตาของคนทั่วหล้านั้นยุติธรรมที่สุด”
ฮูหยินโจวส่งเสียงเคือง
“ข้าไม่ไร้ยางอายถึงขนาดกับจะย่ำยีบ้านแม่ตัวเอง” นางเอ่ย “แล้วข้าก็ไม่มีญาติที่ยากจนข้นแค้นจนบ้าไปแล้วเช่นนั้น”
“ฮูหยิน ที่จริงเจียวเจียวร์ก็ไม่ได้แย่นักนะเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แม้เมื่อก่อนจะเคยป่วย แต่ตอนนี้หายดีแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
“นั่นสิเจ้าคะ ฮูหยิน อย่าลืมว่า ตอนนั้นก็มีคนมาสู่ขอกันหลายบ้านนะเจ้าคะ” แม่นมอีกคนก็รีบเอ่ยตาม
ฮูหยินโจวหัวเราะหยัน
“พวกนั้นอยากได้วิชาชุบชีวิตของนาง ยามนี้นางไร้ความสามารถแล้ว ยังมีคนมาหาอีกที่ไหนกันเล่า!” นางเอ่ย
“ดีที่ตอนนั้นไม่ได้ตกลงไป หากตกลงแล้ว ตอนนี้คงแห่กันมายกเลิกเป็นแน่ เช่นนั้นสิถึงเรียกว่าขายหน้า! อย่างเช่นตระกูลฉิน เรายังไม่ทันได้ตกลง เขาก็ได้สติแล้วกลับใจเอง!”
เหล่าแม่นมสบตากัน
“เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ ไม่มีตระกูลใดให้เลือกแล้วหรือเจ้าคะ” มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ฮูหยินโจวโบกพัดหัวเราะเย้ย
“ใครใช้ให้นางเคยบ้ามาก่อนล่ะ” นางเอ่ย “แม้ตอนนี้จะหายดีแล้ว ก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่านางเคยสติไม่สมประกอบได้”
สติไม่สมประกอบหรือว่าดวงชงจนแม่ต้องตายจาก ไม่ว่าจะยกเหตุผลใดมาพูด ก็เพียงพอให้คนดูถูกเหยียดหยามแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางมีทั้งสองอย่าง
คนตระกูลดีๆ ที่ไหนจะเลือกสะใภ้เช่นนี้
“คนตระกูลดีๆ รังเกียจ ที่ไม่ดีก็เอามาสู้กับตระกูลเฉิงไม่ได้ ที่ยังพอใช้ เวลากระชั้นชิดเช่นนี้ข้าจะไปหาที่ไหนเล่า ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าเสียหน่อย!” ฮูหยินโจวเอ่ยแล้ววางพัดลงอย่างแรงด้วยความโมโห
เสียงฝีเท้าลอยมาจากในเรือน เหล่าสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดินคำนับ
“ท่านชายหกมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโจวเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นท่านชายโจวหกเดินเข้ามา ดูเหมือนว่าจะเพิ่งกลับมาจากสนามฝึกประลอง ร่างกายจึงเต็มไปด้วยเหงื่อไคล
“ท่านแม่ ท่านพ่อส่งจดหมายมาหรือ สบายดีหรือไม่” ท่านชายโจวหกก้าวเข้าประตูมาแล้วนั่งคุกเข่าพลางถามขึ้น
ฮูหยินโจวมองดูเขาไม่ได้พูดอะไร สายตาล่อกแล่กเล็กน้อย
ครั้นผ่านปีใหม่ไป ท่านชายโจวหกที่อายุสิบเจ็ดปีก็ตัวสูงขึ้นอีก บวกกับการที่ได้ฝึกยุทธ์มาแต่เล็ก จึงดูสง่าผ่าเผยกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก
“ท่านแม่ขอรับ” ท่านชายโจวหกถามอย่างสงสัย แล้วก้มมองดูตนเองว่ามีอะไรผิดปกติ
ฮูหยินโจวละสายตามา สีหน้าซับซ้อน
เรื่องมาจนขนาดนี้แล้วก็จนปัญญา ตอนนี้รับมือกับตระกูลเฉิงให้ได้ก่อน เรื่องวันหน้าค่อยว่ากัน
“ชายหก ช่วงนี้ท่านชายฉินเป็นอย่างไรบ้าง” นางอมยิ้มถาม
คำพูดของฮูหยินโจวทำให้ท่านชายโจวหกประหลาดใจ
เพราะท่านชายฉินร่างกายพิการ พ่อแม่ต่างก็หลีกเลี่ยงไม่เคยถามถึง เหตุใดจู่ๆ วันนี้ก็ถามถึงเขา
“สองสามวันนี้ข้าไม่ได้พบเขาเลยขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ท่านแม่มีธุระอะไรหรือ”
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าเด็กนั่นพูดจาจองหองทำร้ายเขาถึงเพียงนั้น ข้าไม่อยากให้เขาพาลโกรธเจ้าไปด้วย” ฮูหยินโจวเอ่ย
ท่านชายโจวหกก้มหน้ายิ้ม
“ไม่หรอกขอรับ ชายสิบสามไม่ใช่คนเช่นนั้น” เขาเอ่ย
“จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง” ฮูหยินโจวส่ายหน้า นางมองดูท่านชายโจวหกแล้วถอนหายใจ “ลูกชายของข้าน่าสงสารนัก ต้องถูกเด็กบ้านั่นทำร้ายจนเป็นเช่นนี้”
เด็กบ้า…
บนโลกนี้ เด็กบ้าที่ไหนจะเปิดร้านอาหารเองได้ เด็กบ้าที่ไหนจะฆ่าคนเองได้
ท่านชายโจวหกยิ้มอย่างอมทุกข์
“ท่านแม่ นางไม่ได้บ้า” เขาเอ่ย
นอกจากไม่ได้บ้าแล้ว นางยังฉลาดและเหี้ยมโหดมากอีกด้วย แม้จะดูเหมือนเป็นกิ่งไม้แห้ง แต่หากยื่นมือไปหักถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นงูตัวหนึ่ง งูพิษตัวหนึ่ง
คนที่ถูกนางกัดอย่างโหดร้ายทั้งที่รู้ตัวแล้วไม่รู้ตัวนั้นมีไม่น้อย
หากใครยังเห็นว่านางเป็นคนบ้า คนนั้นต่างหากที่บ้า
“ท่านแม่ นาง…” ท่านชายโจวหกกำลังจะเอ่ย
ฮูหยินโจวเอ่ยขัดเขาด้วยความรำคาญ
“นางจะบ้าหรือไม่ เราก็ต้องดูแลนาง” นางเอ่ยพลางชี้จดหมายตรงหน้า “พ่อเจ้าโมโหมาก คนตระกูลเฉิง
ไร้ยางอายนัก เพื่อสินเดิมของอาหญิงเจ้าแล้ว จะให้นางออกเรือนกับใครที่ไหนก็ไม่รู้”
ลูกชายยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่มีความโมโหปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่กลับยิ้มขึ้นมา
หากชอบพอคนบ้านั่นจริง เมื่อได้ยินข่าวต้องตกใจจนหน้าเสียแล้วไม่ใช่หรือ
“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ” ท่านชายโจวหกเอ่ยแล้วยิ้มอีกครั้ง
แม้แต่คนที่แค่เข้าไปก่อกวนที่ร้านของนาง ก็ถูกจัดการสังหารแล้ว หากผู้ใดที่คิดจะแตะต้องนางเล่า…
ท่านชายโจวหกส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
หญิงผู้นี้ฆ่าคนเป็นว่าเล่นจริงๆ
“ชายหก” ฮูหยินโจวเรียก
ท่านชายโจวหกได้สติ แล้วเห็นท่านแม่มองดูตนอีกครั้ง
“บอกให้ท่านพ่อเลิกทะเลาะกับพวกเขาได้แล้วขอรับ” เขาเอ่ย “พวกเขาอยากได้สินเดิม ก็ให้พวกเขาไป เราปฏิบัติต่อนางดีๆ ก็พอ”
ฮูหยินโจวพยักหน้าด้วยความยินดี
“ได้ ข้ารู้แล้ว พ่อเจ้าก็สบายดี เจ้าไปพักผ่อนเถิด” นางเอ่ย
ท่านชายโจวหกลุกขึ้นแล้วออกไป
“ไปเรียกคนมา ข้าจะตอบจดหมายนายท่าน” ฮูหยินโจวเอ่ย
แม่นมรีบยกโต๊ะเตี้ยมาตั้ง สาวใช้คนหนึ่งก็จับพู่กันขึ้น
“เขียนฤกษ์เกิดของชายหก” ฮูหยินโจวเอ่ย
สาวใช้มือสั่น น้ำหมึกหยดลงบนกระดาษจนกลายเป็นสีดำ
แม่นมก็มองฮูหยินโจวด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ฮูหยิน!” นางตะโกน “ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“ได้” ฮูหยินโจวเอ่ยเสียงโกรธเคือง “ก็แค่เอาคืนคนบ้าไร้ยางอายตระกูลเฉิงพวกนั้น จะสำเร็จหรือไม่ เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ”
“แต่ว่า… แต่ว่าหากแพร่ออกไป ชายหกจะเสียหายเอาได้นะเจ้าคะ” แม่นมโน้มน้าว
“มีอะไรน่าเสียหายกัน เพื่อช่วยหลานสาวจากวิถีอันไร้ยางอายของพ่อใจเหี้ยมแล้ว คนเป็นลุงจำต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อย แม้จะแพร่ออกไป คนทั้งโลกก็ย่อมยกย่องชื่นชมพวกเรา” ฮูหยินโจวเอ่ย
ใช่แล้ว แล้วค่อยหาคนมาแต่งงานกับนางทีหลัง เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าโกหกหลอกลวงใคร หรือไม่ก็บอกว่าหาที่เหมาะสมไม่ได้ ก็แค่หาข้ออ้างปัดป้องไป จะว่าป่วยก็ดี จะอ้างว่าพระท่านบอกว่านักษัตรชงกัน แต่งงานกันไม่ได้ก็ดี สรุปก็คืออ้างอะไรก็ได้ แล้วก็ส่งนางไปบ้านเก่าที่ส่านโจวจากนั้นก็เลี้ยงดูไปตลอดชีวิตก็พอ
“เขียนจดหมายให้นายท่าน อย่างไรเราก็ไม่กลัว แม้จะต้องขึ้นศาล ก็อย่าลืมว่าตอนนั้นตระกูลเฉิงจะเอาเจียวเหนียงไปถ่วงน้ำ จะไปสืบความจากวัดเต๋าอีกก็ได้ ดูว่าใครกันแน่ที่ให้ข้าวให้เงินมาตลอด” ฮูหยินโจวเลิกคิ้วเอ่ย “แค่เป็นพ่อ ก็คิดจะฉกฉวยสินเดิมของตระกูลโจว ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!”
……………………………….