เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าใครตะโกนว่าเล่นได้ดี ถึงดึงให้ทุกคนกลับมา

ทุกคนมองไปที่เย่เฟิงด้วยความประหลาดใจ

อย่างไรก็คิดไม่ถึง ความสามารถเขาล้มหลามยังแล้วไป แต่เขายังบรรเลงพิณได้ไพเราะขนาดนี้อีก

ทุกคนในวิทยาลัยต่างกระซิบกระซาบกัน

“พิณที่เย่เฟิงเล่นนั้นเทียบได้กับการบรรเลงของอาจารย์ซ่างกวนเลย”

“ไม่จริง ข้าไม่เคยได้ยินใครบรรเลงพิณได้กินใจถึงเพียงนี้มาก่อน ฟังจนใจข้าแทบจะสลาย ทำไมการบรรเลงพิณของเขาถึงได้เศร้านัก”

“ข้าคิดว่าคุณหนูรองกู้บรรเลงพิณได้เก่งมากแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเย่เฟิงแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน น่าเสียดายที่งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นไม่มีการแข่งบรรเลงพิณ ไม่อย่างนั้นเย่เฟิงต้องชนะแน่นอน”

สีหน้าของกู้ชูหยุนมืดมน

นางถูกตัดสิทธ์จากงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น เดิมทีอยากอาศัยชื่อเสียงนี้ที่พระนคร คิดไม่ถึงว่าจะถูดบดขยี้โดยเย่เฟิงไปหมด

เขาเป็นแค่บัณฑิตที่ยากจน ทำไมเขาถึงบรรเลงพิณได้ดีถึงเพียงนี้?

ในอดีต ไม่ว่านางจะยืนอยู่ที่ใด นางก็จะเป็นแสงสว่างที่เจิดจรัสที่สุด แต่ตอนนี้นางกลับถูกเปรียบเทียบครั้งแล้วครั้งเล่า

หากเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าความรู้สึกถึงการมีอยู่ของนางคงจะหายไปหมด

อาจารย์หรงมองไปที่เย่เฟิงอย่างไม่เชื่อสายตา

เย่เฟิงเชี่ยวชาญทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น พิณ หมากรุก การเขียนตัวอักษร และการวาดภาพ ในราชวิทยาลัยอันกว้างใหญ่นี้ เกรงว่าคงมีเพียงอาจารย์ซ่างกวนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนเขา คนอื่นๆทักษะทางวรรณกรรมยังเทียบเขาไม่ได้ จะสอนเขาได้อย่างไร?

อาจารย์ซ่างกวนก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน นัยน์ตาที่เจอรอยยิ้มเรียบๆนั้น กำลังสำรวจมองเย่เฟิงอยู่ แฝงความพินิจและการสืบเสาะ

เย่เฟิงกลับไปนั่งที่เดิม กู้ชูหน่วนยกนิ้วหัวแม่มือให้และชมว่า “บรรเลงได้ดี”

เย่เฟิงกรอกตา และไม่ได้ตอบอะไร

อาจารย์ซ่างกวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พิณของเย่เฟิงเล่นได้ดี ท่วงทำนองสวยงาม โศกศัลย์ ในความผันผวนแฝงความกลัดกลุ้ม ทำให้เขาหมดทนทาง หม่นหมองอ้างว้าง แล้วยังมีความหวังเนืองแน่นก็บรรเลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เลวเลย”

“คนต่อไป กู้ชูหน่วน” อาจารย์ซ่างกวนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกวาดมองไปที่กู้ชูหน่วน

กู้ชูหน่วนยกมือขึ้น “อาจารย์ ถึงเวลาเลิกเรียนแล้วถึงแม้ว่าท่านจะเป็นถึงอาจารย์ แต่ก็ไม่สามารถเลยคาบเรียนอย่างไม่มีเหตุผลได้ ศิษย์ขอปฏิเสธการบรรเลงพิณ”

อาจารย์ซ่างกวนและคนอื่นๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ถึงพบว่าพระอาทิตย์ตกดินค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปแล้ว

เมื่อสักครู่ไทเฮาและเทพสงครามทำให้เสียเวลาไปนิดหน่อย แล้วยังถูกดึงดูดด้วยเสียงฉินของเย่เฟิง แม้แต่เวลาเลิกเรียนก็ยังถูกลืม

หลี่หยางที่นั่งถัดจากกู้ชูหยุนหัวเราะเยาะ “คุณหนูสามกู้ คงไม่ใช่ว่าท่านเล่นพิณไม่เป็นถึงได้ดึงดันอยากจะเลิกเรียนกระมัง?”

“ทำไม เจ้าสงสัยลูกพี่ของพวกเรางั้นหรือ?” หลิวเยว่พูดอย่างโกรธเคือง

“งั้นนางก็เล่นสิ”

กู้ชูหน่วนยิ้มและพูดว่า “ได้สิ เมื่อครู่เทพสงครามพึ่งพูดว่า ตอนกลางคืนข้าต้องกลับจวน อีกทั้งข้ายังต้องวิ่งรอบราชวิทยาลัยสี่สิบรอบ หากยังล่าช้าแบบนี้ต่อไปคืนนี้ข้าคงกลับไปไม่ทัน ไม่อย่างนั้น เจ้าก็หักขาสุนัขของเจ้าไปมอบให้เทพสงคราม แล้วข้าจะเล่นให้เจ้าฟังตอนนี้เลย”

สีหน้าของหลี่หยางเปลี่ยนไปทันที

คำพูดของเทพสงครามเมื่อสักครู่ยังคงก้องอยู่ในหู

เขาเชื่อว่าหากกู้ชูหน่วนกลับไปไม่ทันเทพสงครามคงจะหักขาของเขาแทนจริงๆ

“เจ้าไม่พูดแล้ว?ไม่มีใครคัดค้านแล้วใช่หรือไม่?ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าเลิกเรียนได้แล้วหรือยัง?”

“เลิกเรียน คาบเรียนพรุ่งนี้คุณหนูสามกู้จะกลับมาบรรเลงพิณต่อ การวิ่งรอบราชวิทยาลัยสี่สิบรอบในวันนี้ ข้าจะเป็นคนคุมด้วยตนเอง”

กู้ชูหน่วนเดินเซเล็กน้อย

แทบอยากจะด่าบรรพบุรุษของอาจารย์ซ่างกวนสักสิบแปดชั่วอายุคน

หลังจากวิ่งไปรอบๆราชวิทยาลัยสี่สิบรอบ กู้ชูหน่วนก็เหงื่อท่วมตัว เหนื่อยจนหอบหนัก

ในเบ้าหลอมยาของวิทยาลัย กู้ชูหน่วนได้นำสมุนไพรที่ก่อนหน้านี้ตัวเองค้นหารวบรวมกว่าสามสิบชนิดมาทำเป็นยาเม็ดหนึ่ง