บทที่ 116 จะเข้าข้างกันเกินไปแล้ว

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

เย่จิ้งหานเลิกคิ้ว “ทำไม? ข้าจะไปไหนเจ้าต้องมายุ่งด้วยหรือ?”

เจ้าเด็กนิสัยเสียคนนี้นิ เขาช่วยเหลือนาง แม้แต่จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี แล้วยังคิดจะไล่เขาออกไปอีก

“มิได้ๆ เพียงแต่ว่ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อย่างท่านอยู่ในราชวิทยาลัย ดูสิพวกเขากลัวไปไปหมด แล้วอย่างนี้จะเข้าเรียนได้อย่างไร นี่ข้าไม่ได้ทำบุญกุศลแทนท่านหรอกหรือ?”

กู้ชูหน่วนชี้ไปที่นักเรียนที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่เต็มลานวิทยาลัย แววตาปนความหยอกล้อ

เซียวหยู่เซียนและคนอื่นๆต่างคิดว่าเทพสงครามต้องไม่ยอมกลับไปง่ายๆ แน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเย่จิ้งหานจะโบกมือเบาๆ ชิงเฟิงก็เข้าใจทันทีแล้วเข็นรถเข็นออกจากราชวิทยาลัย

แล้วทิ้งไว้เพียงประโยคเรียบๆว่า “หากคืนนี้ยังไม่กลับจวนอีก มาดูกันว่าขาสุนัขของเจ้าจะสามารถเก็บไว้ได้หรือไม่”

เอ่อ…

เทพสงครามจะจากไปทั้งแบบนี้น่ะหรือ?

เขามาที่นี่เพียงแค่เพื่อช่วยยัยขี้เหร่จริงๆ?

เมื่อคิดถึงท่าทีที่เทพสงครามมีต่อกู้ชูหน่วนเมื่อก่อนหน้านี้สองสามครั้งแล้ว เซียวหยู่เซียนก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ทันที เทพสงครามอาจจะไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิดไว้ก็ได้

กู้ชูหน่วนมุมปากกระตุกเล็กน้อย

ขาสุนัข?

ขาของนางคือขาของสุนัขงั้นหรือ?

“เอาล่ะทุกคนกลับมานั่งเรียนต่อ” อาจารย์ซ่างกวนกล่าว

เมื่อทุกคนนั่งลง ในใจยังเต็มไปด้วยความสับสน หลายสายตาก็ยังมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความสงสัย

“คนต่อไป เย่เฟิง”

ไม่รู้ว่าเย่เฟิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อได้ยินชื่อตนเองเขาก็ลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ แล้วค่อยๆนั่งลงที่โต๊ะ

เขาท่าทางสง่างาม ท่าทางไม่ธรรมดา มือเขาจับสายพิณ สายตาเยือกเย็นของเขาปนประกายที่ยากจะคาดเดา

กู้ชูหน่วนขยับเข้าไปเซียวหยู่เซียน แล้วถาม “ชั้นเรียนวันนี้ทุกคนต้องเล่นพิณใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว”

“เช่นนั้น เจ้าเล่นไปรึยัง?”

“ข้า…ข้ามือบาดเจ็บ อาจารย์ซ่างกวนจึงอนุญาตให้ข้าไม่ต้องเล่นได้”

กู้ชูหน่วนมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม

ดูสายตาลุกลี้ลุกลนของเขา ดูก็รู้ว่าเขาโกหกชัดๆ เล่นไม่เป็นก็พูดมาแค่คำเดียว

“เจ้าว่าเรียนมาตั้งหลายวัน ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ซ่างกวนบรรเลงพิณสักที เขาบรรเลงพิณเป็นจริงหรือ?”

“เป็นแน่นอน ทักษะการบรรเลงพิณของเขาโด่งดังไปทั่วหล้า”

“ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาไม่บรรเลงพิณเล่า”

“…”

นางไม่เข้าเรียนสายก็หลับทุกวัน ถึงอาจารย์ซ่างกวนจะบรรเลงพิณ นางก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

ทันใดนั้น เสียงบรรเลงพิณที่ไพเราะก็ดังไปทั่วราชวิทยาลัย ดังก้องไปทั่วทั้งป่า เข้าสูโสตหูของทุกคน ทุกคนร่างสั่นสะท้าน ถูกสะกดไปด้วยเสียงพิณที่ไพเราะ

แม้แต่กู้ชูหน่วนเองก็ไม่เว้น

เห็นเย่เฟิงแต่กายด้วยชุดสง่างามสีฟ้าและขาว นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโต๊ะ สันหลังเขาตั้งตรงราวกับไม่มีวันโค้งงอ มือเขาบรรเลงพิณ เสียงพิณไพเราะและมีชีวิตชีวาหลั่งไหลออกมาจากร่องนิ้ว ราวกับผสานสวรรค์และโลกไว้ด้วยกัน

เสียงพิณบ้างขึ้นบ้างลง เสียงทุ้มต่อเนื่อง ซับซ้อนคดเคี้ยวแต่ไม่ขาดความเร่าร้อน สายลมโชยอ่อน พัดเส้นผมหน้าผากเขาปลัดปลิว ยิ่งทำให้ดูหลุดพ้นจากิเลส ล่องลอยดุจเซียนแดนดิน

เซียวหยู่เซียนถึงกับอุทาน “สวรรค์ เย่เฟิงบรรเลงพิณได้ไพเราะมาก ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง?”

กู้ชูหน่วนตั้งใจฟังเสียงพิณของเขา

ภายใต้เสียงพิณที่สงบของเขา มีความโศกเศร้าและไร้หนทางเจืออยู่จางๆ

เหมือนว่าเขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดิ้นรน แต่เขาก็ถูกผลักลงสู่ห้วงลึกมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้นมองไปรอบๆมันก็มืดและไม่เห็นแสง

เสียงพิณของเขานุ่มลึกราวกับกำลังบ่งบอกความจนใจของเขา

กู้ชูหน่วนรู้สึกหนักใจ

เขาเคยมีอดีตแบบไหนกัน ถึงทำให้เสียงพิณของเขาดูสิ้นหวังและเจ็บปวดถึงเพียงนี้?

เพลงจบแล้ว

ทุกคนยังตกอยู่ในภวังค์

หางตาของหลายๆ คนพากันน้ำตาร่วงริน

มีความสุขและเศร้าหมองตามเสียงพิณ กลางอากาศราวกับปกคลุมไปด้วยความเศร้าเจือจางดั่งเช่นเสียงพิณของเขา