ตอนที่ 203 เป็นอิสระ เชิญแขกร่วมพิธี

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉินซูหลานเป็นใคร

 

 

คนเหล่านี้มีภูมิหลังอะไร

 

 

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ผู้เฒ่าหลินกระหายอยากรู้ในตอนนี้

 

 

ผู้เฒ่าหลินไม่รู้ หลินฉีก็ย่อมไม่รู้เช่นกัน

 

 

ทั้งคู่นั่งอยู่ด้านหลัง เงียบลงทันตา

 

 

“แกโทร.หาอวี่เอ๋อร์หน่อย” ผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้เฒ่าหลินถึงได้สติ ชายตามองเล็กน้อย

 

 

หนิงฉิงในเวลานี้ เกรงว่าจะลืมนึกถึงฉินอวี่ไปแล้ว

 

 

หลินฉีพยักหน้า หยิบมือถือออกมาโทร.หาฉินอวี่

 

 

เรื่องเฉินซูหลานต้องแจ้งฉินอวี่แน่นอน

 

 

ฉินอวี่ที่ได้รับสายจากหลินฉีเพิ่งเรียนคลาสของไต้หรานเสร็จ วิชาของไต้หรานไม่ง่ายเลยสักนิด แม้เธอจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงของไต้หราน แต่ไต้หรานก็มีนักเรียนไม่น้อยเลย แต่ละคนต่างก็แข่งขันกัน

 

 

ฉินอวี่จำต้องฮึกเหิม พยายามมากกว่าคนอื่น

 

 

ข้อนี้เธอเคยชินตั้งแต่เด็กแล้ว อยากได้มาก ก็ต้องทุ่มเทพยายามยิ่งกว่าคนทั่วไป

 

 

“ยายของหนู…” ฉินอวี่กำมือถือ เดินออกจากห้องเรียนของไต้หราน เมืองหลวงหนาวกว่าอวิ๋นเฉิง เธอคลุมผ้าพันคอผืนใหญ่ไว้แต่ก็ไม่อาจต้านทานลมหนาวได้ เสียงแทบจะเลือนราง “คุณพ่อ พรุ่งนี้อาจารย์ไต้จะให้หนูไปร่วมงานแลกเปลี่ยนที่เมือง M พรุ่งนี้…”

 

 

“งานแลกเปลี่ยน?” หลินฉีมองผู้เฒ่าหลินแวบหนึ่ง

 

 

ผู้เฒ่าหลินเงียบงันอยู่นาน จากนั้นรับมือถือไป บอกฉินอวี่อย่างอ่อนโยนว่า เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนสำคัญกว่า

 

 

ตอนนี้อาจารย์ไต้อบรมบ่มเพาะฉินอวี่เต็มที่ หากพลาดโอกาสนี้ไป ต่อไปจะดูแลฉินอวี่อย่างเต็มความสามารถอีกหรือไม่นั้นพูดยาก

 

 

ผู้เฒ่าหลินมองการณ์ไกล ไม่ต้องคิดก็ช่วยตัดสินใจแทนเธอแล้ว

 

 

เขาคุยกับฉินอวี่อีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย

 

 

หลินฉีอ้ำๆ อึ้งๆ “คุณพ่อ…เรื่องนี้…”

 

 

ผู้เฒ่าหลินส่ายหน้า “ยังไงซะเฉินซูหลานก็จากไปแล้ว…”

 

 

ทางด้านเมืองหลวง ฉินอวี่วางสาย ยกมือขึ้นจัดผ้าพันคอ เธอหลุบตาลง เธอไม่สนิทกับเฉินซูหลานตั้งแต่เด็ก

 

 

และเฉินซูหลานก็ไม่ชอบเธอด้วย กับการตายของเธอในใจฉินอวี่ไม่รู้สึกอะไร ถ้าเธอกลับไปพิธีฌาปนกิจของเฉินซูหลานก็ไม่มีประโยชน์ กลับกันมันเสียเวลา แต่ไต้หรานจะพาเธอไปร่วมงานแลกเปลี่ยนที่เมือง M นั้นไม่เหมือนกัน…

 

 

ที่นั่นจะได้เจอนักไวโอลินระดับสูงมากมาย

 

 

พิธีฌาปนกิจของเฉินซูหลาน กับงานแลกเปลี่ยน เมื่อเทียบกันแล้ว เธอจะเลือกข้อไหน ดูเหมือนจะไม่ต้องพิจารณาเท่าใดนัก…

 

 

ฉินอวี่แทบจะไม่คิดอะไร ก็ได้คำตอบแล้ว

 

 

 

 

ณ โรงแรมในอวิ๋นเฉิง

 

 

ระยะนี้อาจารย์เว่ยอยู่ในอวิ๋นเฉิงตลอด หนึ่งเพราะงานในสมาคมไวโอลิน สองเพราะมักจะไปดื่มชากับอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

เมื่อก่อนที่ทั้งสองอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้อยู่สังคมเดียวกันด้วยซ้ำ

 

 

โดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่สวี อาจารย์เว่ยได้ยินเสียงเล่าลือถึงเขาเสมอมา เพียงแต่ว่าพบเจอตัวจริงไม่บ่อย เคยเห็นในงานเลี้ยงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

 

 

ตอนนี้สองคนที่อยู่คนละแวดวงกลับคบค้าสมาคมกันเพราะฉินหร่าน

 

 

ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยเรื่องราวของฉินหร่าน

 

 

“ผมไม่คิดเลยว่า สุดท้ายแล้วคุณจะเลือกหรานหร่าน” อาจารย์เว่ยส่ายหน้า อดยิ้มไม่ได้

 

 

อย่างมากลูกศิษย์ของเขาก็สร้างความฮือฮาในแวดวงไวโอลินของเมืองหลวง สื่อจะกระพือข่าวใหญ่โต แต่ทางด้านผู้อาวุโสสวี…เมื่อประกาศผู้สืบทอดของเขา ทั้งเมืองหลวงจะต้องสั่นสะเทือนเพราะวาจาของเขาเป็นแน่

 

 

ผู้เฒ่าสวีส่ายหน้า เขามองอาจารย์เว่ย ไม่พูดอะไร ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยด้วยซ้ำ เขาไม่อาจดีใจได้อย่างอาจารย์เว่ยจริงๆ

 

 

อาไห่ชงชากาใหม่มา รินให้อาจารย์ใหญ่สวีหนึ่งถ้วย น้ำชาสีเขียวอ่อนไหลรินลงถ้วยชาเซรามิก ยังไม่เต็ม ก็ยั้งมือ

 

 

มือถือของอาจารย์เว่ยที่วางอยู่บนตู้ไม่ไกลแผดเสียงขึ้นมา

 

 

อาไห่รินชาให้อาจารย์เว่ยเสร็จ ก็เดินไปหยิบมือถือของอาจารย์เว่ยมา “นายท่าน หมายเลขของเมืองหลวง”

 

 

ไม่ได้บันทึกชื่อ

 

 

จำนวนคนที่โทร.หาอาจารย์เว่ยในแต่ละวันมากเหลือคณานับ มีสายจากทั่วทุกสารทิศ

 

 

อาจารย์เว่ยถึงไม่แปลกใจ บอกกล่าวอาจารย์ใหญ่สวีคำหนึ่งยิ้มๆ แล้วกดรับสาย

 

 

ปลายสายคือเฉิงมู่

 

 

เขาแจ้งเรื่องเฉินซูหลาน และแจ้งเวลากับอาจารย์เว่ย

 

 

จากนั้นก็วางสายอย่างสุภาพ

 

 

ตอนที่มาเมืองอวิ๋นเฉิง อาจารย์เว่ยก็คาดเดาไว้แล้ว ทว่าเขาไม่คิดว่าเรื่องจะมาไวเช่นนี้ ลืมแม้กระทั่งลดมือถือลง

 

 

“เป็นอะไรไป” อาจารย์ใหญ่สวีมองอาจารย์เว่ยอย่างแปลกใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไร มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา

 

 

 

 

โรงพยาบาล

 

 

ฉินหร่านยังอยู่ที่เดิม แทบไม่ขยับตัวเลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนคุยโทรศัพท์ข้างนอกเสร็จ ถึงได้เข้ามา มองข้ามพวกหนิงฉิงหนิงเวย ย่อตัวนั่งลงข้างฉินหร่าน ถามเสียงแผ่วเบาว่า “ห้องพักของคุณยายเธอฉันไม่ให้ใครแตะต้อง ให้ฉันไปเก็บของกับเธอไหม”

 

 

บอดี้การ์ดด้านนอกยังคงอยู่ ลู่จ้าวอิ่งพาคนอีกกลุ่มไปตามหาคนน่าสงสัยรอบๆ โรงพยาบาล

 

 

ราวกับฉินหร่านเพิ่งได้สติกลับมา ดวงตาดำขลับมีประกายแล้ว เธอหันหน้าเล็กน้อย ประสานกับสายตาของเฉิงเจวี้ยน

 

 

ความเย็นเยือกบนใบหน้าของเธอเย็นจับใจ หางตาตก ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามของวันวาน ประหนึ่งเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่มองอีกแล้ว มองแล้วเจ็บปวด

 

 

เขาลุกขึ้น ยื่นมือไปหาเธอ “ไปกันเถอะ”

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดฉินหร่านก็ยกมือขึ้นมา

 

 

เฉิงเจวี้ยนจับมือเธอ เดินอย่างเชื่องช้า จากห้องไอซียูไปยังห้องพักของเฉินซูหลาน ใช้เวลาราวๆ หลายสิบนาที

 

 

ข้าวของก่อนตายของเฉินซูหลานมีไม่มาก ราวกับว่าเธอมีลางสังหรณ์ก่อนตายแล้ว จึงแบ่งสันของของเธอกับหลานทั้งหมดสี่คน มู่หยิงกับฉินอวี่ไม่แลของของเธอ เธอจึงยกให้ฉินหร่านกับมู่หนานหมดเลย

 

 

ของที่เหลือ ก็คือเสื้อผ้ากับของใช้เก่าบางส่วน รวมถึงแก้วน้ำที่เธอใช้ดื่มน้ำ เสื้อกันหนาวที่เธอสวมวันนี้…

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เก็บของเงียบๆ

 

 

ห้องผู้ป่วยห้องนี้เฉินซูหลานพักอยู่ร่วมครึ่งปี แทบจะเป็นเหมือนห้องเช่าไปแล้ว

 

 

เธอเก็บแก้วที่เฉินซูหลานใช้ดื่มน้ำบ่อยๆ เป็นอย่างสุดท้าย ท้ายที่สุดห้องนี้ก็ไม่เหลือกลิ่นอายของเฉินซูหลานเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

 

 

ฉินหร่านกวาดตามองทั่วห้อง ความตื่นกลัวอย่างมหันต์เริ่มปรากฏขึ้น

 

 

ด้านนอก มีคนเคาะประตู

 

 

คนที่เข้ามาคือเฉิงมู่

 

 

เขายื่นใบเสร็จให้เฉิงเจวี้ยน “ท่านเจวี้ยน ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว ฌาปนสถานก็แจ้งมาแล้วว่าจะเผา…”

 

 

เฉิงมู่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า ให้เขาออกไปก่อน

 

 

หลังเฉินซูหลานจากไป หนิงฉิงแตกสลาย หนิงเวยก็เช่นกัน เฉิงเจวี้ยนจึงรับหน้าที่จัดการเรื่องทั้งหมด ไม่ให้คนของสกุลหลินยุ่งแม้แต่นิด

 

 

ฉินหร่านที่ยืนอยู่กลางห้อง ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ก็กะพริบตาทีหนึ่ง เธอหันหน้ามองเฉิงเจวี้ยนอย่างเลื่อนลอย เสียงแหบพร่าและขมขื่น เอื้อนเอ่ยประโยคแรกของค่ำคืนนี้ “ยายฉัน…”

 

 

เธอเป็นแบบนี้เฉิงเจวี้ยนเองก็ปวดใจ เขายื่นมือออกไปกอดเธอไว้ ทอดสายตามองนอกหน้าต่างที่มืดสนิท นึกถึงคนที่ทำให้ไฟล์ทบินวันนี้ดีเลย์ แววตาเหี้ยมโหด แต่เสียงกลับนุ่มนวลเป็นที่สุด “คุณยายของเธอไปหาคุณตาแล้ว”

 

 

ฉินหร่านยกมือขึ้นจิกปกเสื้อของเขา ยังคงเป็นกลิ่นหอมเย็นสบายที่ทำให้ความรุนแรงของเธอสงบลงได้ เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยเช่นเดิม ราวกับว่าเพิ่งตื่นจากภวังค์ตอนนี้

 

 

เพียงชั่วครู่ เฉิงเจวี้ยนก็รู้สึกได้ว่าเสื้อเปียกชุ่มแล้ว

 

 

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฉินหร่านออกมาอีกครั้ง เธอถือกระดาษแผ่นหนึ่ง จากนั้นหยิบปากกาแท่งหนึ่งออกมา เขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไปทีละตัว

 

 

ญาติฝั่งสกุลหนิงมีไม่เยอะเท่าใดนัก

 

 

ฉินหร่านค้นดูมือถือของเฉินซูหลานแล้ว พอจำได้คร่าวๆ เมื่อเขียนเสร็จ เธอก็ขึ้นไปหามู่หนานบนตึก

 

 

“มู่หนาน แจ้งคนพวกนี้” เธอยื่นกระดาษให้มู่หนาน เสียงยังคง เย็นชาอย่างยิ่ง นอกจากดวงตาที่แดงก่ำคู่นั้นแล้ว อย่างอื่นแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

 

 

“คุณหนูฉิน” เฉิงมู่เดินเข้ามา มันเป็นข้อมูลฉบับหนึ่ง “ท่านเจวี้ยนให้ผมเอามาให้ คุณกู้ฝากผมบอกคุณว่ามีอะไรให้บอกเขาได้เลย”

 

 

ฉินหร่านยื่นมือออกไปรับกระดาษมาแล้วพยักหน้า “นายบอกให้เขาติดต่อโรงแรมอวิ๋นติ่ง ห้องคราวก่อนยังอยู่ แล้วก็…”

 

 

กำชับทีละเรื่อง ทุกอิริยาบถ ราวกับนั่งบัลลังก์มาอย่างยาวนาน

 

 

ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยฉายความเย็นชา

 

 

ฉินหร่านในสายตาหนิงฉิงเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน เหลวไหลแถมยังไร้เป้าหมายชีวิตเสมอมา โลกแคบไร้ความทะเยอทะยานเช่นเดียวกับเฉินซูหลาน

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นฉินหร่านเป็นแบบนี้

 

 

“หรานหร่าน ลูก…” หนิงฉิงมองฉินหร่าน นิ่งไปเล็กน้อย

 

 

ฉินหร่านไม่มองเธอ เดินออกไปพลางพูดอะไรบางอย่างกับเฉิงมู่

 

 

หนิงฉิงมองแผ่นหลังของฉินหร่าน เพิ่งรู้สึกครั้งแรกว่า ดูเหมือนฉินหร่านจะเปลี่ยนไปแล้ว แตกต่างจากภาพจำของเธออย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น…ท่าทีที่มีต่อทุกคนก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

 

 

 

ณ พิธีฌาปนกิจ

 

 

เรื่องของเฉินซูหลานแจ้งทุกคนที่ควรแจ้งแล้ว

 

 

ฝั่งสกุลหนิงเจ้าภาพคือครอบครัวหนิงเวยมู่หนาน มีญาติสองคนไม่มา

 

 

สถานที่เป็นสุสานที่ตั้งอยู่แถบชานเมือง อยู่ข้างคุณตาของฉินหร่าน เฉินซูหลานตระเตรียมไว้นานแล้ว

 

 

หิมะตกนานหลายวัน พื้นดินปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน

 

 

ฉินหร่านกับมู่หนาน ยืนอยู่สองฝั่งของโถงจัดงาน

 

 

ทั่วทุกหนแห่งของงานเต็มไปด้วยบอดี้การ์ดที่เฉิงเจวี้ยนยืมตัวมาจากเจียงหุย สวมสูทสีดำ มีดอกไม้สีขาวกลัดตรงหน้าอก

 

 

ประหนึ่งเข้าร่วมพิธีฌาปนกิจของบุคคลสำคัญอย่างไรอย่างนั้น เคร่งขรึมจริงจัง

 

 

“หรานหร่าน มู่หนาน พวกเธออย่าเศร้าไปเลย” หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินมาไว ในมือของพวกเขาถือดอกไม้สีขาวกันคนละดอก

 

 

หนิงฉิงเสียงแหบแห้ง เธอเดินออกมาจากข้างใน “คุณพ่อ เดินไปทางนี้ค่ะ”

 

 

เธอพาหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินเข้าไปข้างใน

 

 

ด้านหลังหลินฉีกับผู้เฒ่าหลิน มีชายชราที่อายุเกินครึ่งร้อยสองคนตามเข้ามา