ความสำคัญของสกุลเฟิงในเมืองอวิ๋นเฉิงย่อมไม่สามารถบรรยายได้
ตอนนั้นที่มีเรื่องของเฟิงโหลวหลานกับผู้บัญชาการเฉียน ผู้เฒ่าหลินก็เคยให้ความสนใจฉินหร่านเพราะเหตุนี้
ส่วนเฟิงโหลวเฉิงนั้น…
สกุลหลินมีความเกี่ยวข้องกับคุณนายเฟิงเพียงน้อยนิด หลินจิ่นเซวียนพอรู้จักกับเฟิงฉืออยู่บ้าง ส่วนหลินฉีก็เป็นมิตรที่ดีกับเฟิงโหลวเฉิง เพียงแต่ว่านอกจากสไตล์การทำงานเฟิงโหลวเฉิงจะเถรตรงเกินไปแล้ว เขาอยากเห็นอีกด้านหนึ่งนั้นยากยิ่งนัก
เมื่อได้เจอเขาที่นี่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าฝั่งสกุลหลินนิ่งงันไปแล้ว
ใบหน้าของเฟิงโหลวเฉิง หากว่าติดตามข่าวของเมืองนี้มากหน่อย ก็มักจะเห็นในหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวใหญ่ๆ หลายแห่งอยู่บ่อยครั้ง
หากเฟิงโหลวเฉิงคุยกับลู่จ้าวอิ่งและเจียงตงเย่ คนอื่นๆ ยังเข้าใจได้
เพราะคำว่า ‘อธิบดีเจียง’ ที่บอดี้การ์ดพูดเมื่อครู่นี้ อันที่จริงหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินก็พอจะเดาสถานะของเจียงตงเย่ออกบ้างแล้ว ถ้าเป็น ‘อธิบดีเจียง’คนนั้นจริง เช่นนั้นการรู้จักกับเฟิงโหลวเฉิงก็ไม่แปลกอะไร
แต่ทว่า ประโยคนี้เฟิงโหลวเฉิงกำลังคุยกับฉินหร่านอยู่ชัดๆ
สามารถคาดเดาท่าทีที่เขามีต่อฉินหร่านได้จากการที่เขาก้มศีรษะน้อยๆ และน้ำเสียงนั่น
ตั้งแต่ผู้เฒ่าหลินมาถึงโรงพยาบาล ใจก็หนักอึ้งอยู่แล้ว ขณะนี้เป็นเพราะงุนงงไปชั่วขณะ เขาอ้าปากค้าง ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
ฉินหร่านหลุบตาต่ำ พิงผนัง เมื่อได้ยินเสียงเธอถึงได้เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเฟิงโหลวเฉิง
ขนตากระพือเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าเธอจะส่ายหน้า มองไปทางห้องไอซียู “ไม่รู้เหมือนกัน ยังอยู่ในห้องไอซียู”
เฟิงโหลวเฉิงก็มองไปทางห้องไอซียูตามสายตาของเธอ
เขาขมวดคิ้ว คราวนี้ก็เบนสายตาไปทางลู่จ้าวอิ่ง ผงกหัวให้พวกเขา “คุณชายลู่”
พวกเขาล้วนรู้จักกัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีอะไรน่าทักทาย จะพูดอะไรก็ไม่เหมาะสม
จึงยืนรอเป็นเพื่อนฉินหร่าน
มีแต่เจียงตงเย่ที่มองเฟิงโหลวเฉิงอยู่นาน เขาถอยหลังหนึ่งก้าว กดเสียงเบา ถามเฉิงมู่ว่า “คนนั้นคือ…ผู้เฒ่าเฟิงแห่งอวิ๋นเฉิงสินะ”
ตอนนี้เฉิงมู่อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
เขาจ้องมือถือ ด้านบนมีข้อความจากโอวหยางเวย แต่เขาไม่ตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำถามของเจียงตงเย่ เขาก็พยักหน้า “อืม คุณเฟิงรู้จักคุณหนูฉินนานแล้ว”
เรื่องนี้หากว่าเกิดขึ้นก่อนเจอกู้ซีฉือกับผู้บัญชาการเฉียน เจียงตงเย่ต้องตะลึงพรึงเพริดเป็นแน่ แต่เมื่อผ่านเรื่องของสองคนนี้มาแล้ว เรื่องนี้จึงทิ้งริ้วคลื่นเบาบางในใจเขาเท่านั้น
โถงทางเดินแยกเป็นสองฝั่ง ผนังทางซ้ายเป็นพวกฉินหร่าน
ทางฝั่งขวาเป็นหนิงฉิงและพวกหลินฉี
ตรงกลางเป็นพวกหนิงเวย ขอบเขตชัดเจน แจ่มแจ้ง
…
ตอนนี้มู่หยิงหยุดร้องไห้แล้ว
เธอไม่สนใจข่าวคราวหรือหนังสือพิมพ์ และไม่เคยคลุกคลีกับคนระดับเฟิงโหลวเฉิง
ย่อมไม่รู้จักเฟิงโหลวเฉิงเป็นธรรมดา
แต่เธอได้ยินเสียงที่หลินฉีเรียกเฟิงโหลวเฉิง
เธอมองไปทางเฟิงโหลวเฉิง เมื่อครู่เป็นเพราะเรื่องของเฉินซูหลาน เธอไม่ได้สังเกตมองรอบข้าง บัดนี้เมื่อสงบจิตสงบใจแล้ว เธอเพิ่งพบว่าสถานการณ์รอบตัวไม่เหมือนเดิม
พักเรื่องของคนที่ยืนฝั่งฉินหร่านไว้ก่อน เฟิงโหลวเฉิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลู่จ้าวอิ่ง เจียงตงเย่ มาดและลักษณะของสองคนนี้เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ ทุกอากัปกิริยาไม่ต้องทำอะไรมากก็มีออร่าสูงส่ง
ตอนที่มู่หยิงไปร่วมพิธีไหว้ครูของฉินอวี่ในเมืองหลวงครั้งก่อน ได้เจอทายาทเศรษฐีชื่อดังของเมืองหลวงไม่น้อยเลย มู่หยิงยังได้แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับหลายคนในนั้นด้วย
แต่ตอนนี้…มู่หยิงรู้สึกว่าคนที่เธอรู้จักพวกนั้น ไม่ว่าจะมองจากสง่าราศีหรืออะไรก็ตาม ก็เทียบคนรอบตัวฉินหร่านไม่ได้เลย
ตั้งแต่ครั้งก่อน ความสัมพันธ์ของมู่หยิงกับฉินหร่านก็แตกหักไปแล้ว ตอนนี้ย่อมไม่มีทางเข้าไปคุยกับฉินหร่าน
เมื่อเธอเห็นฉินหร่านก็จะรู้สึกเกรงกลัวชอบกล
มองมู่หนานที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง กระซิบถามว่า “มู่หนาน เพื่อนของพี่ฉินหร่าน นายเคยเห็นหรือเปล่า”
ใบหน้าของมู่หนานไร้อารมณ์ แทบจะไม่มีร่องรอยใดเลย มีเพียงใต้ตาที่คล้ำอย่างเห็นได้ชัด
พอได้ยินเสียงของมู่หยิง มู่หนานไม่พูดอะไร และไม่โต้ตอบเช่นกัน เพียงแค่เหลือบมองเธอนิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์
สายตานั้นเย็นเยียบบาดกระดูก ทำให้มู่หยิงแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเธอยังไม่ทันได้พูดอะไร
ประตูของห้องไอซียูก็เปิดออก
ทีมแพทย์เดินออกมาเงียบๆ คนสุดท้ายคือกู้ซีฉือ เขายกมือขึ้นดึงหน้ากากอนามัยสีฟ้าลง เม้มปากแล้วมองฉินหร่าน “เสี่ยวหร่าน คุณยายเรียกให้เข้าไป”
พูดจบก็เบี่ยงตัวเล็กน้อย
ให้ฉินหร่านเข้าไป
ฉินหร่านมองห้องไอซียูข้างหลังเขา ถูกแผงกั้นสีขาวกั้นขวางอยู่ มองไม่เห็นอะไร แต่มือของฉินหร่านสั่นระริก ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
กู้ซีฉือยัดผ้าปิดปากลงในกระเป๋า พูดเสียงอ่อนว่า “เข้าไปเถอะ จะไม่ทันแล้ว”
ฉินหร่านหลับตาครู่หนึ่ง เธอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป
เมื่อได้ยินเสียงของกู้ซีฉือ พวกหนิงฉิงก็ชะงัก กำลังจะเข้าไป ก็ถูกเฉิงมู่ขวางไว้
ภายในห้องไอซียู เฉินซูหลานฝืนร่างกาย สัญญาณชีพจรแทบจะเป็นเส้นตรงแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เฉินซูหลานยืนหยัดจนถึงตอนนี้
ฉินหร่านยืนห่างจากเตียงสองเมตร ยกเท้าไม่ขึ้นแล้ว
เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ข้างเตียง เบี่ยงตัวนิดหน่อย จากนั้นเดินเข้ามาจับมือเธอเงียบๆ พาเธอไปยืนตรงหน้าเฉินซูหลาน “ดูสิ เธอมาแล้ว”
“หรานหร่าน ยายดี…ดีใจมาก จะได้ไปหาตาของหลานแล้ว จำไว้ว่า” เสียงของเฉิงซูหลานเบาบาง เธอฝืนยกศีรษะขึ้นมองเฉิงเจวี้ยน สุดท้ายแววตาที่อ่อนโยนและมีเปี่ยมเมตตาก็จดจ้องที่ฉินหร่าน “หลานต้องเชื่อฟัง เชื่อฟังคุณเฉิง”
นี่เป็นแรงเฮือกสุดท้ายของเธอ สิ่งที่เธอห่วงที่สุดก็คือฉินหร่าน และกลัวว่าสุดท้ายแล้วเธอจะต้องโดดเดี่ยวอ้างว้าง
เมื่อเห็นฉินหร่านสองตาแดงก่ำพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
มือของเฉินซูหลานที่จับมือฉินหร่านก็ค่อยๆ คลายออก เปลือกตาปิดลงช้าๆ มุมปากมีรอยยิ้ม ท้ายที่สุดมือก็หล่นลงข้างเตียง ไม่ขยับอีกเลย
ฉินหร่านคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เธอมองมือที่ตกลงมาของเฉินซูหลาน ยังคงอยู่ในท่าที่กุมมือเฉินซูหลานไม่ไหวติง ไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
นิ่งอยู่กับที่ ลืมแม้กระทั่งร้องไห้
ฝั่งด้านนอก เมื่อภายในห้องไอซียูเงียบสงัดอย่างน่าใจหาย อีกทั้งปฏิกิริยาของทีมผู้อำนวยการที่เดินออกมา หนิงฉิงกับพวกหนิงเวยก็เริ่มกระวนกระวายใจแล้ว
แต่หลินฉีกับพวกลู่จ้าวอิ่งคาดเดาได้แล้ว
แม้แต่เจียงตงเย่ก็ไม่ซักถามกู้ซีฉืออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เฉิงเจวี้ยนเดินออกมา มองคนทางฝั่งหนิงฉิงแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “ใครอยากเข้าไปดูครั้งสุดท้าย ก็เข้าไปเถอะ”
เสียงร้องไห้ที่สะกดกลั้นไว้ ทะลักออกมาแล้ว
หนิงเวยแข้งขาไม่ดี เธอวิ่งกะเผลกเข้าไป หนิงฉิงตามหลังเธอ แม้แต่มู่หยิงก็ลืมเรื่องอื่นไปชั่วขณะ
เพียงครู่เดียว ห้องไอซียูด้านหลัง ก็มีเสียงร้องไห้ดังระงมออกมาไม่ขาดสาย ประหนึ่งน้ำเดือดหม้อใหญ่
กู้ซีฉือมองด้านหลังของเฉิงเจวี้ยน ถามเขาว่า “เสี่ยวหร่านเอ๋อร์…เป็นยังไงบ้าง”
เฉิงเจวี้ยนจ้องเขา ไม่พูดอะไร
ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็มองผู้อำนวยการพูดเสียงเบาว่า “จัดการหนังสือรับรองการเสียชีวิตให้หน่อยครับ”
ผู้อำนวยการพยักหน้า เหตุการณ์แบบนี้เขาไม่เหมาะจะพูดจา จึงบอกลาเฉิงเจวี้ยนแล้วออกไปทันที
เฟิงโหลวเฉิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็นิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นก็กดโทร.ออกอย่างเหม่อลอย
“ท่านเจวี้ยน เรื่องที่ไฟล์ทบินดีเลย์วันนี้…” ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนหันขวับ แววตาดำขลับมองห้องไอซียูที่อยู่ด้านหลัง “อืม ฉันจำไว้แล้ว”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็กำชับเรื่องอื่นกับเฉิงมู่
“อาจารย์เว่ยยังไม่ออกจากเมืองอวิ๋นเฉิงใช่ไหม” เฉิงเจวี้ยนมองเฉิงมู่
เฉิงมู่กำมือถือไว้ สีหน้าแย่ยิ่งกว่าเดิม เขาพยักหน้าเงียบๆ
“อืม” เฉิงเจวี้ยนผงกหัว พูดเสียงต่ำเจือความแหบพร่า “นายโทร.ไปแจ้งอาจารย์เว่ยกับอาจารย์ใหญ่สวี”
อาจารย์เว่ยรู้จักเฉินซูหลาน แถมยังเป็นอาจารย์ของฉินหร่าน ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องมาแน่นอน
ส่วนอาจารย์ใหญ่สวี…เฉิงเจวี้ยนไม่ค่อยแน่ใจมากนัก
…
ดึกแล้ว หนิงฉิง หนิงเวยไม่มีใครกลับไปสักคน
ตอนแรกหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินต่างก็คิดว่าเรื่องลำดับต่อไปพวกเขาจะต้องจัดการ
แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้เห็นแม้แต่ศพของเฉินซูหลาน ทุกสิ่งทุกอย่าง เฉิงเจวี้ยนจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบ
ทั้งคู่นั่งรถของสกุลหลินมา จึงนั่งรถของสกุลหลินกลับ เฉิงมู่เพียงแค่แจ้งเวลาและสถานที่ฌาปนกิจแก่พวกเขาเท่านั้น
ระหว่างทางกลับ อันที่จริงผู้เฒ่าหลินยังคงงุนงง
เขามองหลินฉีที่นั่งอยู่ด้านหลัง ใจเต้นตึกตัก เขากล่าวว่า “วันนี้ คุณเฟิง คุณชายเจียงกับพวกหมอกู้…”
ผู้เฒ่าหลินคิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ข้อมูลที่ได้รับจากโรงพยาบาลมีมากเหลือเกิน ตอนหลังก็ทราบข่าวเฉินซูหลานลาโลกอีก เขาจึงไม่ทันได้คิดอะไรมากนัก
ตอนนี้เพิ่งได้สติ สมองสับสนมึนงง ราวกับมีอะไรบางอย่างระเบิด
ตัวตนของเจียงตงเย่ ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนพวกเขาเดาไม่ออก แต่เฟิงโหลวเฉิงนั้นพวกเขารู้จักดี ผู้เฒ่าเฟิง…
เป็นสิ่งที่สกุลหลินยากจะเอื้อมถึง
ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของผู้เฒ่าหลินเริ่มปวดหนึบขึ้นมา
เฟิงโหลวเฉิง…เรียกฉินหร่านว่าคุณหนูฉิน เรียกเฉินซูหลานว่าน้าเฉินงั้นเหรอ
“แกว่า ยายของอวี่เอ๋อร์ หรานหร่าน พวกเธอ…เป็นใครกันแน่” ผู้เฒ่าหลินมองหลินฉี