ตอนที่ 201 กลุ่มบิ๊กบอสรอบห้องไอซียู

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ตอนที่ฉินหร่านกับพวกเฉิงเจวี้ยนเดินทางกลับ เอนไซม์ชนิดฟื้นฟูของกู้ซีฉือยังไม่ออกมา

 

 

เพียงแค่โทรศัพท์ดังขึ้น กู้ซีฉือก็รับสายทันที “เสี่ยวหร่านเอ๋อร์ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”

 

 

“ยายฉัน…” ฉินหร่านกำมือถือแน่น จ้องทางเฉินซูหลานไม่ละสายตา

 

 

มีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เธอไม่สามารถพูดออกมาเป็นประโยคสมบูรณ์ได้

 

 

“ฉันรู้แล้ว รุ่นพี่บอกฉันหมดแล้ว อีกยี่สิบนาทีฉันจะถึงโรงพยาบาลแล้ว” กู้ซีฉือยื่นกล่องยาในมือให้เจียงตงเย่ “เธอไม่ต้องห่วง”

 

 

เขากดวางสาย หันไปถามเจียงตงเย่ด้วยเสียงนิ่ง “จัดการเรื่องรถเสร็จหรือยัง”

 

 

เจียงตงเย่กวาดสายตามอง เจอรถฟ็อลคส์วาเกินสีดำคันหนึ่งภายในสนามบิน จึงพยักพเยิดไปทางนั้น “อยู่นั่น ขึ้นรถ”

 

 

ตอนแรกกู้ซีฉือคิดว่ารถจะอยู่ตรงทางออก คิดไม่ถึงว่าจะเห็นรถจอดอยู่ภายในสนามบินอย่างอาจหาญ

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะถามว่าใครจองหองขนาดนี้ แต่เวลาเช่นตอนนี้ไม่เหมาะสม

 

 

ในใจนึกถึงเสียงเมื่อครู่นี้ของฉินหร่าน หย่อนตัวนั่งในห้องโดยสาร ล้วงบุหรี่ออกมาอย่างเจ็บปวด ไม่พูดไม่จา ใบหน้าดูดีไม่สู้ดีนัก

 

 

“พี่กู้ นายยังไม่เชื่อความสามารถตัวเองอีกหรือไง” เจียงตงเย่ไม่รู้จักยายของฉินหร่าน

 

 

ตอนนี้ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เขาแทบจะเป็นคนที่มีสติดีที่สุด

 

 

หากมองจากสถานการณ์ที่ผู้มีอิทธิพลทั่วโลกหวังอยากผูกมิตรกับกู้ซีฉือแล้ว เจียงตงเย่คิดว่าหากมีกู้ซีฉืออยู่ ยายของฉินหร่านไม่เป็นไรแน่นอน

 

 

“ฉันกับเธอเป็นเพื่อนตาย…” กู้ซีฉือมองหิมะที่โปรยปรายนอกหน้าต่าง คิ้วบางขมวดเป็นปม “ต่อให้…เข้าใกล้ความตาย ตอนนั้นก็ไม่เคยเห็นท่าทีอย่างวันนี้เลย”

 

 

สั่นเทิ้ม หวาดกลัว

 

 

กู้ซีฉือหลุบตาลง พ่นควันออกมา ไม่กล้าเชื่อมโยงคำว่า ‘หวาดกลัว’ กับฉินหร่านเลยด้วยซ้ำ

 

 

เจียงตงเย่นั่งข้างๆ เขา เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย อยากเอ่ยถามกู้ซีฉือว่า ตอนนั้นเขากับฉินหร่านเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เข้าใกล้ความตายคืออะไร

 

 

ตอนที่อยู่เซี่ยงไฮ้ เจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งล้วนเคยถามเรื่องระหว่างเธอและกู้ซีฉือกับฉินหร่านแล้ว

 

 

ฉินหร่านก็ให้คำตอบกับเขานิ่งๆ แค่ว่า ‘เพื่อนตาย’

 

 

เจียงตงเย่อดหยิบบุหรี่ออกมาไม่ได้ หรี่ตาลง เป็นเพื่อนตายแบบไหนกันแน่

 

 

ขณะที่กำลังคิด มือถือของเขาก็แผดเสียง เป็นสายจากเฉิงเจวี้ยน

 

 

เจียงตงเย่วางบุหรี่ลง กดรับสายทันที

 

 

 

 

ฉินหร่านที่อยู่ในโรงพยาบาลวางสาย

 

 

จากนั้นจ้องเวลาในมือถือไม่วางตา

 

 

มือข้างหนึ่งจับกุมมือเฉินซูหลานอยู่ เธอก้มหน้า เม้มปากแน่น

 

 

มู่หนานนั่งอยู่ข้างเธอ เฉินซูหลานไม่รู้สึกตัวแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

 

ไม่มีใครสนใจสถานการณ์ฝั่งฉินหร่าน หนิงฉิงคว้ามือแพทย์ไว้ “คุณกู้ที่หมอว่าช่วยแม่ฉันได้ใช่ไหม จะติดต่อเขายังไง ต้องจ่ายเท่าไรก็ไม่มีปัญหา!”

 

 

แพทย์ถอนหายใจ ปลอบประโลมอาการและสภาพของผู้ป่วย “ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน คุณกู้…”

 

 

เขาส่ายหน้า

 

 

หลินฉีดึงหนิงฉิงออก กระซิบปลอบโยนว่า “คุณใจเย็นๆ หน่อย หมอพูดถูกแล้ว ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน”

 

 

แม้แต่สหพันธ์ประเทศ M ยังหาตัวกู้ซีฉือได้ยาก หากว่าใช้เงินจ้างมาได้ แพทย์คงไม่แสดงท่าทีแบบนี้

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่อยู่ไกลออกไปไม่กี่ก้าวเพิ่งคุยโทรศัพท์กับเจียงตงเย่เสร็จ เขาให้คนของเจียงหุยเปิดทางให้พวกกู้ซีฉือ

 

 

รับประกันว่าราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทาง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถือมือถือเข้ามาจากข้างนอก เอ่ยปากอย่างขึงขังว่า “ท่านเจวี้ยน คนของคุณอาเจียงกับผู้บัญชาการเฉียนมาแล้ว”

 

 

เฉินซูหลานยังคงอยู่ที่แผนกศัลยกรรมชั้นที่ 22 เช่นเดิม เวลานี้คนในโรงพยาบาลไม่น้อยเลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่าน แผ่นหลังของอีกฝ่ายยังคงตั้งตรง ใบหน้าแทบจะไม่มีความรู้สึกเลย

 

 

แววตาสบายๆ แต่กลับเจือความเย่อหยิ่งอย่างน่าประหลาดในปกติ ตอนนี้กลับจมดิ่งอยู่ในความลึกล้ำ

 

 

เขาหลับตาครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนตัวออกไป

 

 

ดวงตาลุ่มลึกปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ เขารับมือถือมาจากลู่จ้าวอิ่ง พร้อมกับสาวเท้าออกไปข้างนอก กำชับสั้นกระชับว่า “เปิดเส้นทางในโรงพยาบาลให้เรียบร้อย พวกเขาจะถึงในอีกสิบห้านาที”

 

 

“คนของคุณอาเจียงขึ้นมาแล้ว” ลู่จ้าวอิ่งก็ตามหลังเขาไปติดๆ พร้อมกับพยักหน้าไปด้วย

 

 

ทั้งคู่ลงไปรับกู้ซีฉือด้วยกัน ไม่รู้ว่าใครเพ่งเล็งเฉินซูหลาน แต่เฉิงเจวี้ยนต้องมั่นใจว่าทางนี้จะไร้ข้อผิดพลาด

 

 

หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินยังไม่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งทำอะไรกันแน่

 

 

พวกเขาเพียงเห็นจากประตูว่ามีเงาคนอยู่นอกโถงทางเดิน

 

 

ผู้เฒ่าหลินมองไปข้างนอก เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที คนสวมสูทสีดำคล้ายบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นมา คุ้มกันโถงทางเดินตลอดทั้งแนวอย่างแน่นหนา

 

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ชวนให้รู้สึกพรั่นพรึง ไม่ค่อยเหมือนบอดี้การ์ดทั่วไปมากนัก ค่อนข้างคล้ายกับนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว

 

 

คนสัญจรกับคนเดินเท้าถูกกันออก

 

 

บางคนเมื่อเห็นฉากนี้ ก็เปลี่ยนใจเลี่ยงโถงทางเดินเส้นนี้ ไม่กล้าเข้าใกล้

 

 

มีอาวุธเหน็บข้างเอว แผ่ออร่าองอาจกล้าหาญ ทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้

 

 

แม้แต่หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินก็ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

 

 

“คนพวกนี้เป็นใคร” ผู้เฒ่าหลินออกมาจากห้องไอซียู ชะงักไปชั่วขณะ มองหลินฉีอย่างฉงนสนเท่ห์

 

 

หลินฉีก็หรี่ตามองเช่นกัน สุดท้ายก็ส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกันครับ…คงจะเป็นฝีมือผู้ชายคนเมื่อกี้”

 

 

เขาหมายถึงเฉิงเจวี้ยน

 

 

ตั้งแต่เขากับลู่จ้าวอิ่งปรากฏตัว หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินก็มองออกแล้วว่าสองคนนี้ไม่ค่อยธรรมดา โดยเฉพาะเฉิงเจวี้ยน

 

 

แต่พวกเขานึกอยู่เนิ่นนาน ก็นึกข้อมูลที่คล้ายคลึงกับสองคนนี้ในเมืองอวิ๋นเฉิงไม่ออกเลย

 

 

 

 

สิบนาทีต่อมา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกับหัวหน้าแผนกหลายคนก็ออกมาจากลิฟต์ คนชุดดำที่เฝ้าโถงทางเดินขวางพวกเขาไว้ทันที เมื่อถามเฉิงเจวี้ยนและยืนยันสถานะของพวกเขาแล้ว ถึงยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามา

 

 

“คุณหนูฉิน” ผู้อำนวยการคุ้นเคยกับฉินหร่านเป็นอย่างดี และเคยเห็นหนิงเวยเช่นกัน เขาทักทายทั้งคู่ จากนั้นสั่งให้แพทย์คนอื่นๆ เตรียมเครื่องมือให้พร้อม

 

 

ผู้อำนวยการที่เข้ามากะทันหันทำให้หนิงเวยกับมู่หยิงตกใจเล็กน้อย

 

 

“แม่ นั่นมัน…” มู่หยิงสะอื้นเสียงเบา หันมองหนิงเวย

 

 

หนิงเวยมองเฉินซูหลาน สีหน้าเลื่อนลอย ไม่ตอบ

 

 

มู่หนานก็ไม่มองมู่หยิงเช่นกัน เขาเพียงแค่ใช้มือเรียวยาวลูบไหล่ของฉินหร่าน ข้างเตียงเฉินซูหลาน เป็นภาพของเครื่องติดตามสัญญาณชีพที่บอกว่าหัวใจของเธอเต้นช้าลงเรื่อยๆ แล้ว

 

 

 

 

ผ่านไปอีกห้านาที เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งก็ย้อนกลับมา พวกเขาออกมาจากลิฟต์

 

 

ด้านหลังพวกเขามีชายหนุ่มตามมาอีกสามคน

 

 

คนหนึ่งสวมเชิ้ตขาว ข้างนอกสวมทับด้วยเสื้อขนเป็ดลวกๆ มือข้างหนึ่งหิ้วกล่องยา

 

 

กู้ซีฉือกับเจียงตงเย่นั่นเอง

 

 

บอดี้การ์ดสองแถวที่ยืนอยู่ตรงโถงทางเดินต่างก็หลีกทางให้พวกเขา

 

 

“คุณชายเฉิง”

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาของเฉิงเจวี้ยนมีความเย็นชาที่เห็นได้ไม่บ่อย เขาพยักหน้าน้อยๆ เดินผ่านพวกเขาเข้าห้องไอซียูไปโดยตรง

 

 

เจียงตงเย่ ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ไม่ได้ตามเข้าไป

 

 

ไม่นาน ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถูกกันออกจากห้องไอซียู

 

 

ข้างในเหลือแค่ทีมแพทย์ กู้ซีฉือและเฉิงเจวี้ยน

 

 

เมื่อพวกมู่หยิงออกมา ก็พบว่าโถงทางเดินเงียบสงัด กับบอดี้การ์ดที่ดูน่าเกรงขามสองแถว

 

 

ประตูห้องไอซียูถูกปิดลง

 

 

ฉินหร่านยืนพิงผนังอยู่อีกมุมหนึ่ง ตาหลุบต่ำ มือลู่ลงข้างลำตัว เล็บจิกฝ่ามือ เรียวนิ้วซีดขาว ไม่พูดไม่จา

 

 

หากเพ่งพิศ จะเห็นอาการสั่นเทา

 

 

แผ่นหลังมองดูเย็นเยือกยากจะทำลายปราการได้

 

 

“หรานหร่าน คนพวกนั้น…” ผู้เฒ่าหลินมองฉินหร่านแล้วเอ่ยถาม

 

 

หนิงฉิงเองก็ไม่มีสติ เธอรู้เพียงว่าแพทย์ประจำตัวบอกว่าหมดหวังแล้วเท่านั้น ตอนนี้มีทีมแพทย์เข้าไปอีกกลุ่ม เธอเงยหน้ามองฉินหร่านโดยพลัน “หมอพวกนั้นมาช่วยยายแกใช่ไหม พวกเขาเป็นใคร เชื่อถือได้หรือเปล่า”

 

 

ฉินหร่านยังคงก้มหน้า ปิดปากเงียบ ลู่จ้าวอิ่งเองก็ไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน

 

 

เจียงตงเย่ไม่รู้จักคนในครอบครัวฉินหร่าน แต่เขามองออกว่าใบหน้าของหนิงฉิงละม้ายคล้ายคลึงกับฉินหร่านอยู่บ้าง จึงพยักหน้า ตอบอย่างสุภาพว่า “คนนั้นคือเฉิง…อ่อ ข้างในนั้นมีกู้ซีฉือ ถ้าเขาเชื่อถือไม่ได้ ต่อให้พวกคุณไปหาถึงองค์กรแพทย์ก็ไม่มีใครน่าเชื่อถือแล้ว”

 

 

องค์กรแพทย์ หนิงฉิงกับมู่หยิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร

 

 

แต่ได้ยินแพทย์ประจำตัวเฉินซูหลานพูดเมื่อครู่นี้ คงจะไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะได้สัมผัส โดยเฉพาะคำว่า ‘กู้ซีฉือ’ ไม่ใช่แค่หนิงฉิงกับมู่หยิง พวกหลินฉีเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

 

 

เขาเป็นคนที่ต่อให้ใช้เงินก็จ้างมาไม่ได้

 

 

เมื่อได้ยินเจียงตงเย่ว่ากู้ซีฉืออยู่ข้างใน คนที่ตกใจมากที่สุดคือสองคนนี้ “กู้ซีฉือ?”

 

 

ฉินหร่านรู้จักกู้ซีฉือได้อย่างไร

 

 

แต่ทว่าฉินหร่านไม่ตอบ เจียงตงเย่กับลู่จ้าวอิ่งก็ไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองคนยืนขนาบข้างฉินหร่าน

 

 

ชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าถือมือถือเข้ามา ยื่นให้เจียงตงเย่ “คุณชายเจียง สายจากท่านอธิบดีเจียงครับ”

 

 

หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินไม่รู้จักเจียงตงเย่ แต่คุ้นหูกับคำว่า ‘อธิบดีเจียง’ ยิ่งนัก

 

 

นักการเมืองในเมืองอวิ๋นเฉิงที่แทบจะสูสีคู่คี่กับเฟิงโหลวเฉิง ยิ่งไปกว่านั้น นักการเมืองคนนี้มีภูมิหลังมาจากเมืองหลวง หากจะให้คำนวณตามจริงแล้ว เป็นบุคคลที่เฟิงโหลวเฉิงเทียบไม่ได้

 

 

สีหน้าที่ผู้เฒ่าหลินมองเจียงตงเย่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

“อืม” เจียงตงเย่รับมือถือมา เดินไปคุยอีกทาง “คุณอา…”

 

 

ทางด้านอธิบดีเจียงก็ยังไม่เข้านอน ยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องหนังสือ “มีอะไรกัน ต้องให้ฉันไปหรือเปล่า”

 

 

ค่ำคืนนี้บุคคลระดับสูงมากมายในอวิ๋นเฉิงต่างก็ตื่นตกใจ โทร.เข้ามาหาเขาหลายสายแล้ว

 

 

เริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่ามีหมาป่าเหี้ยมโผล่มาหรือเกิดคดีฮือฮาเช่นเมื่อสามปีก่อนในเมืองอวิ๋นเฉิงหรือเปล่า

 

 

“เรื่องของคุณยายคุณหนูฉิน คุณอาไม่ต้องมาหรอก” เจียงตงเย่กดเสียงให้เบาลง “สถานการณ์…” เขาหรี่ตาลง นึกถึงท่าทางที่ไม่ค่อยสู้ดีของกู้ซีฉือตอนไล่เขาออกมา ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “ค่อยคุยกันดีกว่า”

 

 

เขากดวางสาย

 

 

ทางด้านอธิบดีเจียงหลังวางสาย ก็ไม่คิดอะไรอีก

 

 

เขาจำยายของฉินหร่านได้ เคยเจอในพิธีไหว้ครูของอาจารย์เว่ยคราวก่อน หญิงชราที่ซื่อตรงมากคนหนึ่ง ตอนที่เจอกันครั้งก่อนอธิบดีเจียงก็รู้แล้วว่าอาการของคุณยายฉินหร่านไม่ปกติ

 

 

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสายจากเฟิงโหลวเฉิง

 

 

สิ่งที่เฟิงโหลวเฉิงถามก็คือความเคลื่อนไหวในค่ำคืนนี้ของเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

อธิบดีเจียงเพิ่งถามเจียงตงเย่ เฟิงโหลวเฉิงกับฉินหร่านก็นับว่าคุ้นเคยกัน เขาจึงไม่ปิดบัง บอกเล่าไปตามความจริง

 

 

ตอนแรกคิดว่าเฟิงโหลวเฉิงจะแสดงท่าทีเช่นเดียวกับตน

 

 

ไม่คิดว่าจะมีเสียงตื่นตระหนกของเฟิงโหลวเฉิงแว่วมาจากปลายสาย “อะไรนะ! ยายของเธองั้นเหรอ!”

 

 

และยังได้ยินเสียงสวมเสื้อผ้าและเดินเหินของเฟิงโหลวเฉิงดังมาอีกด้วย ท่าทางจะร้อนใจเป็นอย่างมาก

 

 

คงจะสวมเสื้อนอกเตรียมออกจากบ้าน

 

 

ไปหาเฉินซูหลานกับฉินหร่านที่โรงพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เฟิงโหลวเฉิงวางสายอย่างรีบร้อน อธิบดีเจียงขมวดคิ้วน้อยๆ

 

 

นิ้วของเขากำลังเคาะมือถือ…

 

 

ฝั่งเฉินซูหลาน เฉิงเจวี้ยนทำการใหญ่เข้าใจได้ไม่ยาก ชัดเจนว่าเขาหวังดีกับเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่…เฟิงโหลวเฉิงวิตกกังวลขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร…

 

 

เฟิงโหลวเฉิงออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืน

 

 

คุณนายเฟิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เธอเห็นเฟิงโหลวเฉิงสวมเสื้อนอกแล้วหยิบกุญแจรถ “คุณจะไปไหน”

 

 

“ไปโรงพยาบาล” เฟิงโหลวเฉิงไม่มีเวลาอธิบาย รีบรุดเปิดประตูออกไปขึ้นรถ

 

 

คุณนายเฟิงที่อยู่ด้านหลังย่นคิ้ว น้อยครั้งที่เธอจะเห็นเฟิงโหลวเฉิงเป็นแบบนี้

 

 

ทางด้านเฟิงโหลวเฉิงเมื่อนั่งลงบนที่นั่งคนขับแล้ว ก็ยื่นมือไปหยิบมือถือ ต่อสายหาเฉิงมู่ทันที

 

 

ถามที่อยู่ของฉินหร่านกับสถานการณ์ในตอนนี้

 

 

เฉิงมู่แจ้งหมายเลขตึกและชั้นที่เฉินซูหลานอยู่อย่างกระชับได้ใจความ

 

 

สกุลเฟิงอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่มาก

 

 

ไม่ถึงยี่สิบนาที รถของเฟิงโหลวเฉิงก็ขับเข้ามาในโรงพยาบาล

 

 

ตรงดิ่งขึ้นไปยังแผนกศัลยกรรม

 

 

เพิ่งออกจากลิฟต์ เขาก็เห็นผู้คนที่ยืนออกันอยู่นอกห้องไอซียู

 

 

ประตูห้องไอซียูยังไม่เปิด

 

 

บอดี้การ์ดกำลังจะขวางเฟิงโหลวเฉิง ลู่จ้าวอิ่งเห็นเข้าพอดี จึงพูดไปว่า ‘รู้จัก ไม่ต้องตรวจสอบ’

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเฟิงโหลวเฉิงเคยร่วมมือกันหลายครั้ง ทั้งคู่ย่อมรู้จักกัน

 

 

เมื่อบอดี้การ์ดได้ยิน ก็รีบถอยหลังออกไป ปล่อยให้เฟิงโหลวเฉิงเข้ามา

 

 

เสียงของลู่จ้าวอิ่งดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ หลินฉีเองก็เงยศีรษะขึ้น

 

 

ในมือของเขาคีบบุหรี่ เดิมทีคิดว่าผู้มาเยือนเป็นพยาบาลหรือแพทย์ เพราะคนที่เดินขวักไขว่ ล้วนเป็นแพทย์และพยาบาล

 

 

ไม่คิดว่าเมื่อชายตามองจะเห็นเฟิงโหลวเฉิง เขาชะงักงัน แปลกใจอย่างยิ่ง “ผู้เฒ่าเฟิง”

 

 

เสียงนี้ ทำให้ผู้เฒ่าหลินและพวกหนิงฉิงพากันหันมองไปทางเดียวกัน

 

 

เฟิงโหลวเฉิงไม่ตอบ เขามองข้ามสกุลหลินกับสกุลหนิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน สายตาจดจ้องไปที่ฉินหร่าน จากนั้นเดินตรงเข้าไป น้ำเสียงทุ้มต่ำ “คุณหนูฉิน น้าเฉินเป็นอะไรหรือเปล่า”