ตอนที่ 200 ต้องเรียกกู้ซีฉือเท่านั้น

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงเจวี้ยนหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาคาบไว้ ตาหลุบลงเล็กน้อย สีหน้าย่ำแย่เอาการ

 

 

อุณหภูมิรอบกาย หนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศที่ติดลบ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยืนรอที่เดิม ครู่ใหญ่ เฉิงเจวี้ยนวางสาย เดินมาทางเขา

 

 

“เป็นยังไงบ้าง” ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนดับบุหรี่ โยนใส่ถังขยะที่อยู่ไม่ไกล “ขึ้นเครื่องแล้ว เราขึ้นไปกันเถอะ”

 

 

เขาเดินไปได้สองก้าว ก็พูดเสียงเรียบว่า “ให้คุณอาเจียงส่งคนมาหน่อย”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งตามหลังเขา พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เมื่อนึกถึงท่าทางเหมือนไร้วิญญาณของฉินหร่านเมื่อครู่นี้ เขาก็เจ็บปวดใจเช่นกัน

 

 

ใครกันแน่ ที่จงใจเล่นงานคุณยาย

 

 

 

 

ห้องไอซียูบนตึก

 

 

ตอนที่ฉินหร่านเข้าไป มู่หนานยังนั่งอยู่ข้างเตียง

 

 

เขากุมมือเฉินซูหลานไว้ มู่หยิงร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่อีกมุม แต่เขายังคงนั่งหน้านิ่งอยู่ข้างๆ เฉินซูหลาน

 

 

กระทั่งฉินหร่านเข้ามา เขาถึงเงยศีรษะขึ้นอย่างจิตใจเลื่อนลอยแล้วมองฉินหร่าน “พี่”

 

 

“อืม ไม่เป็นไรหรอก” ฉินหร่านลูบหัวเขา

 

 

น้ำตาของมู่หนานร่วงลงทันที

 

 

“หรานหร่าน…” สายตาของเฉินซูหลานพร่าเลือนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงของฉินหร่าน เธอก็พยายามฝืนตัวเอง

 

 

ฉินหร่านเบนสายตามองเฉินซูหลาน กำมือแน่นแล้วยื่นมือไปจับมือของเฉินซูหลาน “คุณยาย หนูอยู่นี่”

 

 

“ยาย…” ก่อนหน้านี้เฉินซูหลานยังกระปรี้กระเปร่าอยู่ ตอนนี้แค่พูด หายใจยังรู้สึกลำบาก “ได้เจอหลาน ได้เจอหลานก็ดีแล้ว กลับมา…”

 

 

เฉินซูหลานหายใจหอบ จดจ้องฉินหร่านอยู่เนิ่นนาน

 

 

สายตามองผ่านเธอไป จ้องหน้าประตู มองเฉิงเจวี้ยนที่เข้ามาพร้อมกับลมหนาว

 

 

“คุณเฉิง ฉันอยาก อยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อย” เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายของตัวเองยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองเฉิงเจวี้ยนที่ยืนอยู่ข้างหลังทุกคน

 

 

หนิงฉิงย่อมจำเฉิงเจวี้ยนได้อยู่แล้ว แต่หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินไม่เคยเจอ

 

 

เฉิงเจวี้ยนสวมโค้ตยาวคลุมเข่า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสัน ทุกกิริยาดูสูงส่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

 

 

ทั้งคู่ชะงักไปเล็กน้อย

 

 

“ออกไปเถอะ” เฉินซูหลานหันมองฉินหร่านแล้วพูดเสียงแผ่วเบา

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ผงกหัว มองเธอเช่นกัน

 

 

ฉินหร่านหลับตาลง ลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเพิ่งลดมือถือลง เมื่อครู่เขาติดต่อเจียงหุยแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจก็หนักอึ้ง เดินไปยืนข้างฉินหร่าน

 

 

ภายในห้องไอซียู เฉิงเจวี้ยนนั่งบนเก้าอี้ที่มู่หนานนั่งก่อนหน้านี้

 

 

ประตูห้องไอซียูปิดลง

 

 

“คุณ คุณเฉิง” เฉินซูหลานยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา เธอมองเฉิงเจวี้ยน ในดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เพียงแต่ว่าแต่ละคำที่เอื้อนเอ่ย ค่อนข้างเชื่องช้า “เสื้อผ้าฤดูหนาวของหรานหร่าน คุณเป็นคนเตรียมให้หมดเลยใช่ไหม”

 

 

เสียงฟังดูอ่อนแรง

 

 

ใจของเฉิงเจวี้ยนหนักอึ้งกว่าเดิม เขาพยักหน้าอย่างเงียบงัน

 

 

“งั้นก็ดีแล้ว” เฉินซูหลานหลับตาพริ้ม แม้แต่ยิ้มก็ลำบากแล้ว “ตั้ง ตั้งแต่หน้าร้อนนี้…เป็นต้นมา ฉันไม่ได้ซื้อ ซื้อของให้เธอเลยสักอย่าง ฉันอดทนไม่ถึง…หน้าหนาวปีนี้แล้ว เดิมทีคนที่ คนที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดก็คือหรานหร่าน…” เธอจับมือเฉิงเจวี้ยน บีบแน่นกว่าเดิม “ตอนนี้ฉัน ฉันหายห่วงแล้ว”

 

 

สุดท้ายในดวงตาขุ่นมัวก็มีความเปรมปรีดิ์ปรากฏให้เห็น

 

 

“ฉัน ฉันมีความปรารถนาที่ไม่ควรร้องขออยู่ข้อหนึ่ง” เฉินซูหลานพูดแล้วหยุดหายใจระหว่างทาง จากนั้นก็มองเฉิงเจวี้ยนก่อนจะกล่าวต่อ

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้าอย่างหนักแน่น จ้องมองเฉินซูหลาน “คุณพูดมาได้เลย”

 

 

เฉินซูหลานมองไปทางประตูแวบหนึ่ง “หราน หรานหร่าน คุณช่วยดูแลหรานหร่านแทนฉันได้ไหม”

 

 

เมื่อครึ่งปีก่อน เฉินซูหลานก็รู้อาการตัวเองดีแล้ว สังเกตเห็นเฉิงเจวี้ยนตั้งแต่ครั้งที่ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บที่มือ

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ ฉินหร่านดื้อรั้นเอาแต่ใจ นอกจากคำพูดของตนแล้ว ไม่มีใครรับมือเธอได้

 

 

หลายเดือนก่อน เธอก็รู้แล้วว่าในมือถือของฉินหร่านตั้งนาฬิกาปลุกไว้หลายอัน เมื่อเสียงนาฬิกาดังขึ้น ถึงเธอจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่ลืมกินยา

 

 

นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินซูหลานรู้ถึงการมีอยู่ของเฉิงเจวี้ยน

 

 

ตอนหลังอาการของเธอกำเริบ เป็นครั้งแรกที่เจอเฉิงเจวี้ยนอย่างเป็นทางการ

 

 

เฉิงเจวี้ยนหลุบตาลง ดวงตาคู่นั้นของเขาเป็นดุจบ่อน้ำอันเย็นเยือก มองไม่เห็นก้นบ่อ พยักหน้าภายใต้สายตาของเฉินซูหลาน

 

 

เฉินซูหลานถอนหายใจราวกับโล่งอก ดูเหมือนจะฉีกยิ้ม “ฉัน ฉันคงต้องไปแล้ว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลุกไปเปิดประตูห้องไอซียู เม้มปากแน่น

 

 

พวกหนิงฉิงที่อยู่ด้านนอกพอเห็นประตูเปิดออก ก็พากันกรูเข้าไป

 

 

“คุณแม่! หมอ! หมอรีบมาเร็วเข้า!” เสียงร่ำไห้ของหนิงฉิงดังลอดออกมาจากข้างใน

 

 

แพทย์ที่อยู่ข้างนอกกุลีกุจอเข้าไป

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าเล็กน้อย ยื่นมือออกไปโอบไหล่เธอไว้ พูดเสียงเบาว่า “เข้าไปหาคุณยายเถอะ”

 

 

ในห้องแออัดไปด้วยกลุ่มคน

 

 

เมื่อแพทย์เข้ามาดู เห็นหนิงเวยกับหนิงฉิงร้องไห้อย่างหนักก็ส่ายหน้า “เซลล์ภายในร่างกายของคุณเฉินได้รับรังสี ถึงขีดจำกัดแล้ว เช้านี้มีรายงานทางการแพทย์ออกมา หากว่าได้เอนไซม์ชนิดฟื้นฟู อาจพอยืดเวลาได้อีกเล็กน้อย”

 

 

“เอนไซม์ชนิดฟื้นฟู?” พวกหนิงฉิงต่างก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ ภายในห้องคงจะมีแต่หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินที่อยู่ในความสงบ หลินฉีมองแพทย์พูดเสียงทุ้มว่า “หามาจากไหนได้บ้าง”

 

 

หนิงฉิงก็หันหน้ามา มองแพทย์อย่างหวั่นวิตก พูดเสียงสะอึกสะอื้นว่า “คุณหมอ ขอร้องละไม่ว่าจะต้องทำยังไง…”

 

 

แพทย์ส่ายหน้า ถอนหายใจ “เอนไซม์ชนิดฟื้นฟูเป็นบทความที่องค์กรแพทย์เพิ่งประกาศเมื่อเช้า ผลิตออกมาหรือยังยังไม่ทราบแน่ แต่ต่อให้ผลิตออกมาแล้วก็อยู่ที่กู้ซีฉือ เขาเป็นบัณฑิตขององค์กรแพทย์ น้อยคนจะเคยได้ยินชื่อของเขา แม้แต่สหพันธ์องค์กรแพทย์ของประเทศ M ยังหาเขาไม่เจอ”

 

 

หลินฉีกับผู้เฒ่าหลินไม่มีใครเคยได้ยินชื่อกู้ซีฉือ แต่สหพันธ์องค์กรแพทย์นั้นเคยได้ยินมาบ้าง

 

 

เมื่อเห็นแพทย์พูดเช่นนี้ ก็พอจะเข้าใจแล้วว่านักศึกษาที่จบจากองค์กรแพทย์คนนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา

 

 

หลินฉีทอดถอนหายใจ

 

 

ฉินหร่านมองเฉินซูหลานที่แทบจะไม่ได้สติ หัวสมองดังอื้ออึง ราวกับไม่คิดอะไรเลย คิดอะไรไม่ออกเลย

 

 

กระทั่งได้ยินแพทย์เอ่ยถึงกู้ซีฉือ

 

 

เธอเงยหน้าโดยพลัน หยิบมือถือด้วยมือสั่นเทา “ใช่ กู้ กู้ซีฉือ”

 

 

มือถือของเธอไม่มีบันทึกเบอร์โทรศัพท์ จึงกดตัวเลขทีละตัว ต่อสายหากู้ซีฉือ เสียงต่อสายดังแค่ครั้งเดียวเขาก็รับสาย