บทที่ 218

ถังหยินไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากความสามารถด้านการแพทย์ของนาง และอยากจะให้นางเป็นหมอประจำตัว ซึ่งตัวเย่เหล่ยเองก็ไม่ได้คิดไปไกลหรือเข้าใจอะไรผิดไป ดังนั้นนางจึงได้กล่าวตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าอยากจะอยู่บ้านเพื่อดูแลบิดาของข้าเสียมากกว่า”

ได้ยินแบบนั้นเขาก็ถอนหายใจ “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไปกัน ? ถ้าเจ้าอยากดูแลบิดาของเจ้า งั้นก็พาเขามาด้วยสิ เช่นนี้แล้วเจ้าก็จะได้ใช้ความสามารถของเจ้าเพื่อพัฒนาแคว้นเฟิงของพวกเรา” เขาพูดระหว่างใส่เกราะกลับเข้าไปใหม่ ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูพร้อมกับดาบในมือ

เย่เหล่ยตะลึงแล้วดึงแขนชายหนุ่มไว้ “เจ้าคิดจะออกไปสู้อีกหรือ ?”

ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าถังหยินไม่ใช่แม่ทัพขี้ขลาด หากแต่เป็นแม่ทัพบ้าเลือดต่างหาก ! “เจ้าได้รับบาดเจ็บ ถ้าหากสู้ต่อแล้วแผลเปิดจนเลือดออกอีก มีหวังเจ้าได้ไปสวรรค์แน่ !”

ชายหนุ่มยักไหล่แล้วหัวเราะออกมา “ข้าเคยบาดเจ็บหนักกว่านี้หลายพันเท่านัก ดังนั้นไม่ต้องห่วงไป ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก”

จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป

การที่ต่อสู้ที่ด้านนอกหอคอยยังคงดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ด้วยแม้ว่าพวกเฟิงจะยกโล่ขึ้นป้องกัน หากแต่พวกหนิงก็ยังทุบตีมันอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด

ถังหยินมองพวกเขาอยู่สักพัก ก่อนจะเก็บดาบลงไปแล้วหยิบหอกขึ้นมารอจังหวะ และเมื่อเห็นพวกหนิงพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มก็จะเสือกแทงหอกสวนกลับไปในพลัน

ฉึก !

หอกถูกแทงออกไประหว่างช่องว่างของโล่ ก่อนเกิดเสียงของโลหะแหลมคมที่แทงทะลุลำคอของใครบางคนจนขาดใจตาย

ชายหนุ่มดึงหอกกลับมา รอจังหวะแบบเดิม ก่อนแทงสวนกลับไปมาเช่นนั้นอยู่อีกหลายครั้ง และด้วยการป้องกันของพวกเฟิง มันก็ทำให้ถังหยินประหยัดกำลังกายไปได้มากทีเดียว

ไม่นานนักทหารหนิงกว่า 20 นายก็โดนจ้วงแทงจนตายกันหมด ก่อนที่คนพวกนั้นเหมือนจะเริ่มคิดได้ พากันคว้าเอาง้วงแทงสวนกลับมาบ้าง

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป หากแต่จ้านอู่ตี้นั้นแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

ร่างแยกของถังหยินและหยวนยู่สามารถเข้าขากันได้ดี คนหนึ่งคอยกดดันด้วยพลังยุทธ์ ส่วนอีกคนก็ร่ายรำกระบวนท่าจัดการพวกศัตรูอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าท่วงท่าจะแปลกไปบ้างแต่ก็รวดเร็วมาก ยิ่งผนวกกับไฟสีดำที่ปรากฏขึ้นมาด้วยแล้ว มันก็ทำให้จ้านอู่ตี้ไม่กล้าประมาทแม้แต่เสี่ยวลมหายใจเดียว

และด้วยการโจมตีของทั้งสอง มันก็ได้บีบให้จ้านอู่ตี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยกลับลงมาจากกำแพงเพื่อพักหายใจ เพราะเขานั้นรบมาตั้งแต่เช้าจนแรงกายเริ่มจะหมดแล้ว

ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกองทัพหนิงมา นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดนี้ และถึงเขาจะรู้สึกโกรธ หากแต่ในใจลึก ๆ ของจ้านอู่ตี้แล้ว มันก็ได้มีความชื่นชมแฝงอยู่ด้วย

ปู๊นนนนนน !

เสียงสัญญาดังขึ้นแต่ไกล เรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนจะส่ายหัว ด้วยในใจไม่อยากจะถอนตัวออกจากที่นี่สักเท่าไหร่ แต่เมื่อจ้านอู่ฉางส่งสัญญาณมาแล้ว มันก็ทำให้เขาได้แต่ต้องล่าถอยกลับไปในค่ายอย่างจำใจ

เป็นอีกครั้งที่กองทัพหนิงต้องล่าถอยกลับไปจากบนกำแพง ส่วนสภาพในตอนนี้ของพวกเฟิงก็แทบจะดูไม่ได้เลย พวกเขาดูจะไม่เหลือพละกำลังไว้ต่อสู้ได้อีก ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงจำนวนกำลังพลดั้งเดิมที่มีอยู่ 2 หมื่น ที่มาตอนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งนั่นอีก !

เมื่อพวกหนิงจากไปแล้ว พวกเฟิงก็พากันล้มตัวลงนอนบนพื้นอย่างอ่อนแรง พวกเขาโยนอาวุธทิ้งแล้วนอนลง ก่อนใช้สายตามองทุกคนที่กำลังทำแบบเดียวกัน ทำให้ภาพตรงหน้ายากที่จะแยกได้ว่าร่างไหนคือศพ ร่างไหนคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่

หลังจากถังหยินเก็บร่างแยกของตัวเองกลับมา บาดแผลบนตัวเขาก็เริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะไฟสีดำที่ได้มาจากร่างแยกทำให้เขาสามารถฟื้นกำลังกายได้อีกครั้ง หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าเม็ดเหงื่อที่ไหลท่วมเขาก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

ชายหนุ่มหันไปบอกให้พวกทหารรักษาตัวเองกันไป และเลือกที่จะไม่บอกว่าพวกหมอประจำกองทัพนั้นถูกสังหารไปหมดแล้ว ซึ่งต่อให้พวกเขายังอยู่ หากแต่ด้วยจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 8 พันนาย มันก็ทำให้เป็นเรื่องยากนักที่จะรักษาได้หมด ดังนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือให้พวกเขาดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้บาดแผลอันตรายถึงแก่ชีวิต

ถังหยินเข้าใจดีว่าทหารที่บาดเจ็บกว่า 8 พันนายนี้ไม่อาจกลับเข้ามาร่วมสู้ได้ในเร็ววันแน่ อีกทั้งมันก็ไม่แน่ว่าพวกหนิงจะบุกมาอีกหรือเปล่าในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือเขาต้องแบ่งทหารทั้ง 8 พันนายออกเป็น 3 กลุ่ม ก่อนจะส่งพวกเขาไปยังกำแพงที่เหลือเพื่อนำกำลังเสริมเข้ามาสับเปลี่ยน

ถึงการต่อสู้จะจบลงไปแล้ว ทว่าทั้งสองฝั่งก็ยังคงต้องเข้ามาทำความสะอาดสนามรบ

พวกทาสมากมายของแคว้นหนิงพากันเดินเข้ามาเก็บศพของพลทหารหนิงกลับไปยังค่ายของตน เช่นเดียวกับพวกเฟิงที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บศพ ซึ่งถ้าหากเป็นศพของสหาย พวกเขาก็จะทำการเก็บมันเอาไว้ ส่วนถ้าเป็นศพของศัตรู พวกเขาก็จะโยนทิ้งลงกำแพงเมืองไป

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายใกล้ชิดกันมาแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายกัน พวกเขาต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบเชียบ

หลังจากศึกแรก มันก็มีนายทหารกว่าหมื่นนายที่เสียชีวิตไป ซึ่งเมื่อนับรวมกับจำนวนผู้เสียชีวิตในวันนี้เข้าไปด้วยแล้ว พวกเขาก็พบว่ามีทหารกว่า 2 หมื่นนายที่ได้ตายไปจากการศึกที่เกิดขึ้น

พวกเขาไม่รู้ว่าการต่อสู้จะนานเช่นนี้ เช่นเดียวกับจำนวนศพที่มีมากมายเสียเหลือเกินจนยากที่ยากเก็บกู้ทั้งหมด ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเน่าเสียจนส่งกลิ่น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้น้ำมัน และทำการเผาศพที่เหลือทิ้งทันที !

ระหว่างที่กำลังจัดพิธีศพอยู่นั้น ทหารเฟิงที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้เดินเข้ามาบอกลาสหายร่วมรบที่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ไป ในขณะที่แม่ทัพบางคนก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา ซึ่งก็ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้น เพราะแม้แต่พวกชาวบ้านเองก็ออกมาดูการเผาด้วยเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มร้องเพลงประจำแคว้นออกมา

เพียงพริบตาเดียวบทเพลงนี้มันก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนที่เนื้อเพลงและใจความของมันจะก้องสะท้อนไปมาอยู่ในหัวใจของเหล่าทหารและบรรดาแม่ทัพทั้งหลาย ทำให้ทำนองที่เชื่องช้ากลายเป็นเพลงที่ดุดันและทรงเกียรติขึ้นมาในชั่วพริบตา !

เนื้อความเหล่านี้มาจากหยดเลือดและน้ำตาของบรรพบุรุษชาวเฟิงที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่น มันแสดงให้เห็นถึงความห้าวหาญที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวพวกเขาทุกคน ที่ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาก็สามารถร้องตามได้ !

นี่คือวัฒนธรรม คือรากฐาน คือแคว้นของพวกเขา ต่อให้จะเปลี่ยนผู้ปกครองหรือว่าแคว้นจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม

เสียงเพลงเริ่มกระหึ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

“นายท่าน ข้าอยากเข้าร่วมกองทัพ !”

ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดพร้อมเดินออกมาจากฝูงชนแล้วมองไปยังถังหยิน

เมื่อมีคนนำขบวนออกมาแบบนี้ ชายคนอื่น ๆ ก็พากันกล่าวคำเดียวกันแล้วเดินตามกันมา “ข้าเองก็ขอเข้าร่วมด้วยขอรับ เพื่อปราบพวกโจรอั้งยี่เหล่านี้ !”

ในเมื่อไม่มีใครที่จะปกป้องพวกเขาได้ พวกเขาก็ต้องปกป้องตัวเองด้วยการเข้าร่วมกองทัพเพื่อต่อสู้กับพวกหนิง !

ถังหยินตัวสั่นแล้วมองไปยังชาวเมืองจินฮั๋วเหล่านี้ด้วยความตื้นตัน

ทว่าชายหนุ่มกลับสูดหายเข้าใจลึกแล้วส่ายหัว “ข้าเข้าใจความรู้สึกพวกเจ้า แต่ว่าสนามรบน่ะมันโหดร้ายกว่าที่พวกเจ้าคิดนัก”

โดยไม่รอช้า เหล่าคนหนุ่มสาวก็พลันตอบกลับมาในทันทีว่า “พวกข้าไม่กลัวหรอก ! ตราบเท่าที่สามารถฆ่าพวกหนิงได้ ข้าก็ยอมทำทุกอย่าง !”

“พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกมันเข้ามาฆ่าครอบครัวของพวกเราเด็ดขาด เพราะถ้าเราเลือกที่จะนิ่งเฉย งั้นแล้วพวกเราก็จะไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว !”

ถังหยินก้มหน้าครุ่นคิด พวกคนเหล่านี้ไม่มีประสบการณ์และไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าเข้าร่วมการรบจริง มันก็มีแต่จะเป็นที่เกะกะเสียเปล่า ๆ

ทันใดนั้นก็เป็นจี้เฉินที่เดินมาบอกกล่าวกับเขา “อย่าลังเลเลยนายท่าน ตอนนี้ทหารเราเหลือจำนวนน้อยนัก ถ้าหากได้พวกเขาเข้ามาร่วม มันก็จะเป็นการเสริมกำลังพล ช่วยเพิ่มโอกาสที่เราจะต่อต้านพวกหนิงได้นานขึ้น !”

ถึงจะได้ยินแบบนี้ หากแต่ถังหยินก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี ทว่ามันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเพราะพวกเขาในขณะนี้กำลังขาดกำลังพล

เขากำหมัดแล้วพูดอย่างขมขื่น “เอาล่ะ พวกเจ้าเข้าร่วมกองทัพของข้าได้ แต่ข้าไม่มีอะไรให้พวกเจ้าหรอกนะ ไม่สิ… เดี๋ยวก่อน” ระหว่างพูดเขาก็หันมองไปยังกองอาวุธที่หลงเหลืออยู่

“พวกเจ้าใช้มันได้ ด้วยแม้ว่าจะเป็นของคนตาย หากแต่มันก็นับได้ว่าเป็นอาวุธของผู้กล้าหาญ ที่ยอมเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อแคว้นและบ้านเมือง …ซึ่งข้าก็เชื่อว่าวิญญาณของพวกเขา จะช่วยปกป้องพวกเจ้าอย่างแน่นอน !”