ตอนที่ 390 แสงทองทะยานฟ้าในตำนาน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 390 แสงทองทะยานฟ้าในตำนาน โดย ProjectZyphon

สายตาของทุกคนต่างรวมอยู่ที่หลินสวินด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

คนตระกูลฉู่ต่างยิ้มอย่างเย็นเยียบ รอดูความอับอายของหลินสวิน

ส่วนนักสลักวิญญาณคนอื่นๆ บ้างก็ดูเห็นใจ บ้างก็ขมวดคิ้ว

แม้กระทั่งเหล่าผู้มีชื่อเสียงภายในโถงใหญ่อีกแห่ง ขณะนี้ต่างก็มองด้วยความไม่ใส่ใจไม่มากก็น้อย

และในเวลาเดียวกันนั้น หลินสวินเพียงรู้สึกว่าพลังลึกลับนั้นปกคลุมทั่วร่างกายของตน จิตวิญญาณรู้สึกวูบไหวอย่างรุนแรง

ระหว่างนั้นราวกับได้เข้าไปอยู่ในแดนฮุ่นตุ้น ดินแดนโบราณเมื่อครั้งบรรพกาลอย่างไรอย่างนั้น ทุกที่ล้วนเป็นหมอกเทา มีเพียงศิลาหนึ่งหลักตั้งตระหง่านอยู่

ด้านบนยันฟ้า ด้านล่างจรดดิน!

สังเกตดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าหลักศิลานั้นสูงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดำสนิททั่วทั้งหลัก ประหนึ่งสะพานแห่งสวรรค์

บนตัวศิลาสลักรอยสลักวิญญาณแปลกประหลาด หงิกงอราวกับไส้เดือน เบียดแน่นเต็มพื้นผิวของศิลาราวกับดวงดาราที่ประดับเต็มฟ้า ส่องสะท้อนประกายแสงอันลึกลับ

เมื่อมองไปก็ราวกับมองเห็นร่องรอยแห่งมหามรรคมากมายวิ่งเวียนอยู่บนผิวศิลา ทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่และชวนตื่นตะลึงอย่างบอกไม่ถูก

หลินสวินรู้ทันทีว่านี่ก็คือรอยสลักพิสดารที่ซ่อนอยู่ในศิลาหินประตูมังกร!

เพียงแต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นด้วยวิธีอันมหัศจรรย์เพียงนี้ ราวกับได้เข้าสู่มิติเก่าแก่อันลึกลับ เหมือนได้กลับไปอยู่ในอดีต

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก สลัดความคิดในหัว เขาเริ่มสงบจิตสงบใจพยายามสังเกตรอยสลักพิสดารแน่นขนัดที่ปรากฏบนศิลา

เพียงพริบตาเท่านั้นเขาก็พบว่าวงโคจรของรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนที่อยู่ในนั้น พวกมันล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สลับพันซับซ้อน

สำหรับนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง การจะหยั่งถึงและเรียนรู้รอยสลักวิญญาณหนึ่งแบบได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ

แม้แต่หลินสวินก็ยังอดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีทดสอบที่พิเศษถึงเพียงนี้

แต่ไม่นานเขาก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน

ในศาสตร์การสลักวิญญาณ เขามีความรอบรู้เหนือกว่าคนธรรมดา เริ่มซึมซับรับรู้มาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่ถูกการทดสอบตรงหน้าหยุดยั้ง

เพียงครู่เดียวหลินสวินก็หยั่งถึงรอยสลักวิญญาณหนึ่งลายท่ามกลางรอยสลักพิสดารแน่นขนัด

แทบจะในเวลาเดียวกัน รอยสลักวิญญาณที่เขาหยั่งถึงในหัวก็ปรากฏขึ้นบนพื้นศิลาพร้อมด้วยแสงสีทองระยิบระยับ

จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ขอเพียงเขาพยักหน้า รอยสลักวิญญาณนี้ก็จะกลายเป็นคะแนนในการทดสอบของเขาและปรากฏสู่แท่นประตูมังกร

ในขณะที่หลินสวินเตรียมจะทำแบบนี้ จู่ๆ เขากลับมุ่นคิ้ว

ไม่ถูกต้อง!

ไม่น่าจะง่ายขนาดนี้

หลินสวินคิดๆ แล้วไม่ได้เร่งรีบพยักหน้า แต่รวบรวมสมาธิกลับมาที่รอยสลักพิสดารบนศิลาอีกครั้ง

ไม่นานเขาก็สังเกตถึงความแตกต่าง และหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณที่สมบูรณ์อีกหนึ่งลาย อีกทั้งรอยสลักวิญญาณนี้ยังเป็นรอยสลักที่สอดรับกับรอยสลักแรกอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นรอยสลักวิญญาณลายใหม่…

ไม่สิ ควรเรียกว่าเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณ!

ทว่าหลินสวินค้นพบอย่างรวดเร็วว่า แม้จะกลายเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ควรจะง่ายขนาดนี้ ราวกับว่ากระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังต้องเติมรอยสลักอีกมาก จึงจะเปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่และแน่นขนัด

เขาลองอ่านและสังเกตอย่างละเอียดอีกครั้ง

ซึ่งก็ตามคาด ไม่นานหลินสวินก็มีการค้นพบใหม่ที่ยืนยันว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาถูกต้อง!

กระบวนรอยสลักวิญญาณนี้ยังสามารถเสริมรอยสลักวิญญาณเข้าไปได้อีก

‘ดูท่าวงโคจรรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนบนศิลาหลักที่หนึ่งนี้ ดูแล้วเหมือนแตกต่างกัน แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์คือ พวกมันไม่ใช่แค่รอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ แต่ทุกรอยสลักขอเพียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างพิเศษก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่ง ผสมกันอยู่ในกระบวนรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบ…’

‘ก็เหมือนกับลำดับขีดในการเขียนตัวอักษร แม้ลำดับขีดมาก แต่กลับสามารถรวมกันเป็น ‘อักษร’ ที่แตกต่างกัน และ ‘อักษร’ เหล่านั้นแม้ดูสับสนไม่เป็นระเบียบ แต่ถ้าเอามาประกอบเข้าด้วยกันตามลำดับก็สามารถเป็น ‘คำศัพท์’ หรือ ‘ประโยค’ …จนกระทั่งกลายเป็น ‘บทความ’ อันสวยงามได้!’

ความคิดของหลินสวินค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา เกิดความตระหนักรู้อย่างชัดแจ้ง และดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางเขตแดนของการหยั่งถึงรอยสลักพิสดาร จนลืมไปว่าตอนนี้เขากำลังเข้ารับการทดสอบอยู่

……

เวลาผ่านเลยไปเรื่อยๆ

บนแท่นประตูมังกร ศิลาหลักแรกยังคงเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว

สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างเก็บไม่อยู่ หลินสวินเขา…คงไม่ล้มเหลวตั้งแต่ด่านแรกหรอกนะ

นี่มันน่าอนาถเกินไปแล้ว!

หลายคนอดลอบถอนหายใจไม่ได้ หลินสวินคนนี้เหตุใดต้องหาเรื่องด้วย เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น ไม่ใช่ชั้นกลางหรือชั้นสูงด้วยซ้ำ กลับเพ้อฝันคิดจะมารับรองคุณสมบัติความเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ แบบนี้มันหาเรื่องใส่ตัว สร้างเรื่องขายหน้าให้ตัวเองชัดๆ ไม่ใช่หรือ

ไม่รู้จักประเมินความสามารถตัวเองเกินไปแล้ว!

“ฮ่าๆ เวลาหนึ่งถ้วยชากำลังจะผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กนี่กลับยังไม่สามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณอันสมบูรณ์แบบได้เลยแม้แต่ลายเดียว ช่างน่าตลกนัก”

คนตระกูลฉู่คนหนึ่งหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

“ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้เขายังทำอวดดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ เห็นจะไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรกแล้ว ขายหน้า ขายหน้ายิ่งนัก!”

“เดี๋ยวหลังจากเขาล้มเหลวแล้ว ข้าจะเยาะเย้ยเขาให้หนัก แก้แค้นแทนไห่ตงให้สาสม”

“ไม่เพียงแค่สร้างความอัปยศให้เขา แต่ต้องให้คนทั้งนครต้องห้ามรู้ ทำให้เขาหลินสวินกลายเป็นตัวตลกสำหรับคนใต้หล้านับแต่นี้ไป จนไม่สามารถสู้หน้าใครได้!”

“ยังจะเพ้อพกคิดเทียบเคียงคุณชายไห่ตง ตลกนัก!”

คนอื่นๆ ในตระกูลฉู่ต่างหัวเราะเสียงเย็นไปตามๆ กัน

โดยเฉพาะฉู่อวิ๋นคงที่กำหมัดสองข้างแน่นอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าได้เห็นภาพยามหลินสวินล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ชื่อเสียงพังทลายแล้วก็ไม่ปาน

และฉู่ไห่ตงก็มีท่าทางเช่นเดียวกัน

รอถึงเวลาที่หลินสวินล้มเหลว ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไรด้วยซ้ำ ก็สามารถทำให้ทุกคนก็รู้ชัดว่า ระหว่างเขากับหลินสวินใครกันแน่ที่เบาปัญญาไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!

“เจ้าหลินสวินนี่…ไม่รู้ควรพูดว่าอย่างไรแล้ว บ้าระห่ำก็ส่วนบ้าระห่ำ แต่อวดดีจนไม่ประสีประสาแบบนี้ช่างดูโง่งมชัดแจ้ง”

ผู้มีชื่อเสียงภายในโถงใหญ่อีกแห่งหลุดขำออกมา

“นี่ก็คือค่าตอบแทนของการดูถูกเก้าศิลาประตูมังกร เขาที่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น แต่บังอาจคิดว่าจะผ่านการทดสอบได้ ช่างไม่รู้จักประมาณตน”

ผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ บางส่วนต่างทอดถอนใจ ผลงานของหลินสวินทำให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ไม่ผ่านตั้งแต่ด่านแรกแบบนี้ เห็นจะ…แปลกไปหน่อย

“ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าเขามาเพื่อให้คนอื่นยกยอปอปั้น”

แม้แต่เฉิงจิ่งยังอดส่ายหน้าไม่ได้

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…จากเรื่องที่หลินสวินเคยทำในนครต้องห้าม ดูไม่เหมือนคนที่บ้าระห่ำไม่รู้ความเลยนะ…”

เสิ่นทั่วมุ่นคิ้ว เขาค่อนข้างแปลกใจ ผลงานของหลินสวินดูน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้ ซึ่งมันดูแปลกประหลาดเกินไป

เฟิงชิงโยวที่อยู่ข้างๆ เองก็ลอบส่ายหน้า นางมีความคิดเดียวกันกับเสิ่นทั่ว มักรู้สึกว่าหลินสวินในตอนนี้ดูผิดปกติ

เห็นอยู่ว่าเวลาหนึ่งถ้วยชากำลังจะผ่านไป แต่บนศิลาหลักที่หนึ่งก็ยังคงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

นี่ทำเอาฉู่ไห่ตงยังยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หลินสวินหนอหลินสวิน ครั้งนี้เจ้าพ่ายแพ้ยับเยินเกินไปแล้ว!

เขากำลังแอบวางแผนในใจว่าเดี๋ยวจะเยาะเย้ยหลินสวินอย่างไร จึงจะสามารถระบายแค้นภายในใจได้

แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น “นั่นอะไร”

พริบตาต่อมา เสียงร้องตกใจพลันก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กึกก้องไปทั่วทั้งโถง

“สวรรค์!”

“นี่…นี่มันอะไรกัน?”

ฉู่ไห่ตงอึ้งงันไป เพิ่งรู้สึกตัวในยามนี้ว่าตรงฐานศิลาหลักที่หนึ่งมีแสงทองอร่ามที่ส่องแสงเป็นประกายแผ่ตัวขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสายน้ำสีทองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีท่าทีว่าจะท่วมทั้งศิลา!

“นี่มัน…”

ฉู่ไห่ตงเองก็ตะลึงไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จากที่ผ่านมา การทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกรไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน!

ทั้งโถงตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงและงุนงง

เวลาหนึ่งถ้วยชามาถึงแล้ว บนผืนศิลายังคงไม่มีรุ้งทองปรากฏ แต่กลับมีคลื่นสีทองท่วมทะลักสูง นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ

ลิ่งหูซิวที่ยืนอยู่อีกด้านยามนี้สั่นไปทั้งตัว ดวงตาเบิกโพลง เขาเหมือนตระหนักบางอย่างได้ จนไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป

ภายในอีกโถง เหล่าผู้มีชื่อเสียงรู้สึกตัวก่อนใคร แต่ก็ตะลึงจนร้องเสียงหลงไม่ต่างกัน

“แสงทองทะยานฟ้า! ถึงกับเกิดตำนานนี้ขึ้นจริง!”

“เล่ากันว่าหากสามารถหยั่งถึงและควบคุมรอยสลักพิสดารทั้งหมดในศิลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะสามารถปลุกพลังต้นกำเนิดในศิลาขึ้นมา กลายเป็นแสงทองอร่ามทะยานขึ้นสู่ท้องนภาราวกับคลื่นใหญ่! เด็กคนนี้…ถึงกับ…ถึงกับทำได้ขนาดนี้เชียว?”

“ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เห็นปรากฏการณ์ในตำนานกลายเป็นความจริง หลินสวินคนนี้…ช่างเป็นตัวประหลาด!”

เหล่าผู้ทรงอิทธิพลต่างส่งเสียงฮือฮา สีหน้าเผยความตื่นเต้น ต่างพากันยืนขึ้นพร้อมเบิกตาโต ท่าทางคลุ้มคลั่งเหมือนได้เห็นปาฏิหาริย์

อวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่งและเสิ่นทั่วเองก็หัวใจกระเพื่อมไหวไม่ต่างกัน

พวกเขาเข้าใจความหมายของ ‘แสงทองทะยานฟ้า’ อย่างลึกซึ้ง นี่หมายความว่าในการทดสอบศิลาหลักที่หนึ่ง หลินสวินทำผลงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ได้ใส่ใจ เห็นว่าหลินสวินบ้าระห่ำเกินไป ถึงขั้นที่โง่เขลาหาเรื่องใส่ตัวด้วยซ้ำ

แต่ต่อมากลับเกิด ‘แสงทองทะยานฟ้า’ กับหลินสวิน!

เช่นนี้ราวกับมีฝ่ามือล่องหนตบลงบนใบหน้าของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลอย่างเจ็บแสบ ความรู้สึกพลันสับสนขึ้นมา ทั้งตะลึงทั้งอับอาย

แต่พวกเขาก็สลดใจเช่นกัน ใครจะคิดว่าหลินสวินที่อายุเพียงสิบกว่าปี หลินสวินที่เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นจะทำได้ขนาดนี้

เก่งกาจเกินคนไปแล้ว!

เฟิงชิงโยวอึ้งค้างอยู่กับที่ นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติมาสักระยะแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลินสวินจะสร้างผลงานที่น่าทึ่งได้มากเพียงนี้

นางในตอนนั้น…ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย!

“ช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์จริงๆ”

เฟิงชิงโยวลอบพึมพำ

และในขณะนั้นเอง ผู้คนในโถงทดสอบต่างยังตั้งตัวจากความตื่นตะลึงไม่ได้ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินตำนานแสงทองทะยานฟ้าด้วยซ้ำ แน่นอนว่าต้องไม่เข้าใจว่าผลงานที่หลินสวินสร้างขึ้นในตอนนี้วิปริตเพียงใด

ในบรรดาคนที่ไม่เข้าใจก็รวมฉู่ไห่ตงและฉู่อวิ๋นคงด้วย

สีหน้าของทั้งสองต่างเปลี่ยนแปลงไปมา ท่าทางเหมือนตกตะลึงควบคุมตัวไม่อยู่ สรุปว่าเด็กนี่…ผ่านการทดสอบหรือไม่?

“พี่ลิ่งหู นี่มันอะไรกัน” ฉู่อวิ๋นคงอดถามไม่ได้

ขวับ!

ทุกคนพลันหันมองลิ่งหูซิวเป็นตาเดียวกัน พวกเขาอยากรู้คำตอบแทบไม่ไหวแล้ว

ลิ่งหูซิวสีหน้าเลื่อนลอย ครู่หนึ่งจึงตั้งสติได้ เขาพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงซับซ้อน

“นี่… ก็คือแสงทองทะยานฟ้าในตำนาน!”

ฉู่อวิ๋นคงอึ้ง “มันคืออะไรเล่า”

ลิ่งหูซิวลอบหัวเราะเยาะในใจ ตาเฒ่านี่ โง่เขลาอย่างที่หลินสวินว่าจริงๆ อายุปูนนี้แล้ว กระทั่งแสงทองทะยานฟ้ายังไม่เคยได้ยิน

แต่เพราะเห็นแก่ที่อีกฝ่ายเป็นคนตระกูลฉู่ ลิ่งหูซิวจึงอดทนอธิบาย “ก็หมายความว่าหลินสวินเขา…ทำผลงานการทดสอบได้อย่างสมบูรณ์แบบ!”

เฮือก

เสียงสูดหายใจด้วยความตกใจดังสนั่นไปทั่ว

……………………..