บทที่ 110 เอาชนะผู้คนด้วยศีลธรรม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 110 เอาชนะผู้คนด้วยศีลธรรม

หลินเป่ยเฉินหันไปหลิ่วตาส่งสัญญาณให้กับไป๋ชินหยุน

เด็กสาวรีบกระโดดออกไปพร้อมด้วยดาบใหญ่สีน้ำเงินเข้ม “ขอข้าน้อยตั้งชื่อก่อนเจ้าค่ะ ดาบเล่มนี้มีนามว่า…ดาบใหญ่”

ฟานซูอังยืนตัวแข็งทื่อ

เกิดความเงียบงันตามมา ก่อนที่จะเกิดเสียงหัวเราะดังครืนใหญ่

“ดาบใหญ่เนี่ยนะ?”

“สาบานว่าผ่านการตั้งชื่อมาแล้วจริงสิ?”

แต่เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ไป๋ชินหยุนโดนหลินเป่ยเฉินล้างสมองไปหมดแล้ว ไม่ว่าเขาพูดอะไร นางก็เชื่อหมดใจ เด็กสาวหันหน้ากลับมาพลางยกดาบในมือขึ้นสูง พูดเสียงดัง “พวกท่านหัวเราะอะไรกันไม่ทราบ? นี่คือดาบของข้า ข้าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรก็ได้ ชื่อนี้ดีจะตายไป…เฮอะ”

หลินเป่ยเฉินได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองหน้าใครอีกแล้ว

“ฉันได้แต่หวังว่าในอนาคตเธอคงไม่เสียใจกับการตั้งชื่อนี้นะ”

หลังจากนั้น ฟานซูอังผู้ที่ในชีวิตนี้ผ่านการสลักชื่อกระบี่มานับไม่ถ้วน เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน จัดการสลักตัวอักษรเป็นชื่อที่เด็กสาวต้องการ

ไม่นานการสลักชื่อก็เสร็จสิ้น

คำว่า ‘ดาบใหญ่’ ปรากฏขึ้นบนดาบขนาดยักษ์ที่ต้องถือด้ามจับด้วยสองมือ

“ครืด! ครืด! ครืด!”

ทันใดนั้น ดาบใหญ่ในมือของเด็กสาวก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างแรง

“เกิดอะไรขึ้น?”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของฟานซูอัง

เมื่อไป๋ชินหยุนโคจรพลังลมปราณใส่ตัวดาบ รัศมีสีน้ำเงินเข้มก็ระเบิดแสงเป็นประกายพร่างพรายออกมาจากคมดาบ

สีหน้าของทุกคนในบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนไปทันที

“อัตราการหลอมรวมอยู่ที่ 80 ส่วนเลยหรือนี่?”

ฟานซูอังอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ

อัตราการหลอมรวมระหว่างตัวกระบี่กับผู้เป็นเจ้าของ สูงมากยิ่งกว่ากระบี่พิฆาตสวรรค์ของเฉาพั่วเถียนเสียอีก

เฉาพั่วเถียนใบหน้ากระตุกด้วยความขุ่นเคืองใจไม่รู้ตัว

“เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร? มาจากเมืองใดกันหรือ?”

ในกลุ่มมือกระบี่ผู้อาวุโส สตรีหน้าตาซีดเซียวรูปร่างผอมบางคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาไป๋ชินหยุนด้วยดวงตาเป็นประกาย นางจ้องมองเด็กสาวด้วยสายตาที่ใช้มองสมบัติล้ำค่า

หลินเป่ยเฉินจำได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นหนึ่งในคณะอาจารย์ที่นำดาบใหญ่เล่มนั้นไปวางไว้บนโต๊ะหิน

นางเป็นคนสร้างดาบเล่มนี้ขึ้นมา

“เด็กคนนี้มีนามว่าไป๋ชินหยุน นางเป็นลูกศิษย์ชั้นปีที่ 1 ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ประจำเมืองหยุนเมิ่ง”

ฉู่เหินลุกขึ้นยืนแนะนำตัวลูกศิษย์จากสถาบันตนเอง จากนั้นจึงถามว่า “ท่านประมุขหลิวอยากรู้ไปทำไมหรือ?”

สตรีนางนั้นหันหน้ามาตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีอัตราหลอมรวมวิญญาณกระบี่สูงล้ำเท่ากับเด็กคนนี้มาก่อน นับว่านางมีอนาคตที่สดใสเหลือเกิน อาจารย์ฉู่ เมื่อการประลองกระบี่ครั้งนี้เสร็จสิ้นลง เห็นทีข้าคงต้องขอไปเยี่ยมชมสถานศึกษาของท่านสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านขัดข้องหรือไม่?”

ฉู่เหินหัวใจพองโตขึ้นมาทันใด รีบตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา อย่าลืมสิว่าท่านเป็นถึงประมุขของหอการค้าสามพันโยชน์ประจำแคว้นไห่อัน นับว่าเป็นเกียรติของสถานศึกษาเราด้วยซ้ำที่ได้ต้อนรับท่าน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านมากแล้ว”

พูดจบ สตรีใบหน้าซีดเซียวก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองอีกครั้ง

เมื่อไป๋ชินหยุนปลุกวิญญาณดาบใหญ่เรียบร้อย นางก็เดินแบกดาบกลับมานั่งที่โต๊ะ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ และไม่ปล่อยให้ดาบใหญ่อยู่ห่างมือเลยสักวินาทีเดียว

“ถึงตาท่านแล้ว” เด็กสาวแจ้งต่อหลินเป่ยเฉิน

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็จัดการถือดาบหนักด้วยมือขวา กระบี่ขนาดมาตรฐานด้วยมือซ้าย ส่วนกริชเงินเหน็บอยู่ข้างเอว สืบเท้าไปหยุดยืนตรงหน้าฟานซูอัง ก่อนค้อมตัวคำนับด้วยความสุภาพอ่อนน้อม “กราบเรียนอาจารย์ฟาน ดาบของข้าเล่มนี้มีชื่อว่า…ศีลธรรม”

“ศีลธรรม?”

ฟานซูอังกระพริบตาปริบๆ

ได้ยินเสียงใครบางคนอุทานออกมาว่า “ตั้งชื่ออะไรของมันเนี่ย?”

“เฮ้อ ตั้งชื่อได้น่าเบื่อชะมัด” ไป๋ชินหยุนซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอดบ่นออกมาด้วยความผิดหวังไม่ได้ “ดาบมีน้ำหนักมากแบบนั้น ควรตั้งชื่อว่า ‘ดาบหนัก’ สิถึงจะถูกต้อง…แถมมันยังไม่ได้แสดงถึงตัวตนเจ้าของดาบเลยสักนิด คนเสเพลเช่นท่านเนี่ยนะจะมีศีลธรรม? ช่างตั้งชื่อได้น่าผิดหวังเหลือเกิน”

“แต่บางคนก็มักจะตั้งชื่ออาวุธของตนเอง เพื่อทดแทนสิ่งที่ตนเองขาดหายไป” เฉาพั่วเถียนรับช่วงพูดต่อทันที “ดูเหมือนเจ้าคงรู้ดีสินะว่าตัวเองยังขาดอะไร นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าตั้งชื่อดาบเล่มนี้ว่าดาบศีลธรรม”

“ชิชะ อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” หลินเป่ยเฉินสวนกลับทันควัน “ข้าเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ชอบเอาชนะผู้คนด้วยศีลธรรมอันดีงามต่างหาก”

ไป๋ชินหยุนถึงกับอ้าปากค้าง

เช่นเดียวกับแขกทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยง

ฟานซูอังไม่รู้ว่าตนเองควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่กล่าวว่า “เจ้าจะตั้งชื่อดาบเล่มนี้ว่าศีลธรรมจริงๆ หรือ?”

“ไม่ได้หรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจว่ามันมีปัญหาตรงไหน

ฟานซูอังอ้าปากพะงาบๆ แต่พูดอะไรไม่ออก

ในชีวิตนี้ เขาเคยสลักชื่อศาสตราวุธมามากมาย แต่ไม่เคยพบเจอมือกระบี่คนไหนแปลกประหลาดเท่าเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน

ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ถามอะไรให้มากความ เริ่มต้นสลักชื่อลงบนตัวดาบตามประสงค์ของหลินเป่ยเฉิน

ในขณะเดียวกันนั้น

ไป๋ไห่ชินเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ถึงแม้สีหน้าจะดูเรียบเฉย แต่ในดวงตาเป็นประกายวูบวาบแวววาวชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหายวับไป

ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามอย่างติงซานฉือเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย รำพึงกับตัวเองในใจว่า “เจ้าลูกเต่าน้อยตัวแสบ”

ทันใดนั้น ฟานซูอังพลันส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ

ทุกสายตาหันกลับไปมองเขาเป็นตาเดียว

เม็ดเหงื่อผุดพราวขึ้นมาเต็มหน้าผากฟานซูอัง พลังลมปราณของเขาไหลเวียนไปทั่วร่างกาย นิ้วมือข้างขวาเป็นสีแดงจัดเหมือนเหล็กร้อนๆ แต่กลับสลักตัวอักษรลงไปบนใบดาบของเด็กหนุ่มแทบไม่ได้เลย

ผ่านไปอึดใจใหญ่ เขาก็ยังเขียนตัวอักษรคำว่า ‘ศีลธรรม’ ไม่สำเร็จ

“เพราะอะไรกันนะ?”

ชายหนุ่มคิดด้วยความสงสัย

ตอนที่ปรมาจารย์ฟานผู้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดวิชาปลุกวิญญาณกระบี่ให้ชายหนุ่ม ท่านอาจารย์เคยกล่าวถึงเคล็ดลับข้อหนึ่งว่า กระบี่หรือดาบทุกเล่มนั้นจะสามารถหลอมรวมกับผู้เป็นเจ้าของได้ดีหรือไม่ การตั้งชื่อนับเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งเช่นกัน ทุกตัวอักษรที่สลักลงไปบนใบดาบ จะช่วยส่งเสริมพลังแฝงอย่างที่คาดไม่ถึง แต่บัดนี้ ตัวอักษรที่เรียบง่ายอย่างคำว่าศีลธรรม กลับสร้างความยากลำบากในการแกะสลักให้ฟานซูอังอย่างเหลือเชื่อ

“หรือว่าเด็กหนุ่มจากเมืองหยุนเมิ่งคนนี้ จะมีตัวตนสอดคล้องกับคำว่า ‘ศีลธรรม’ จริงๆ?”

ในหัวใจอัดแน่นด้วยความสงสัยนานับประการ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา คำรามใส่หลินเป่ยเฉินว่า “เจ้ารีบช่วยข้าเร็วเข้า”

“หา?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “จะให้ข้าน้อยทำอะไรหรือขอรับ?”

“ผมสลักชื่อดาบไม่เป็นสักหน่อยนะเฮีย จะให้ช่วยอะไรเล่า? ขอผมอยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือไง”

“ช่วยข้าถือดาบเล่มนี้ แล้วโคจรพลังลมปราณของเจ้าเข้ามาซะ” ฟานซูอังออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปจับด้ามดาบ จากนั้นจึงได้โคจรพลังลมปราณเข้าใส่ตัวดาบตามคำสั่ง

ดาบเล่มนี้ได้รับการหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษ บรรจุด้วยอักขระอาคมหลากหลายชนิด เมื่อเทียบกับกระบี่วิหคครามที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดแล้ว ดาบเล่มนี้ถูกลงอาคมไว้อย่างซับซ้อนมากกว่ากันหลายเท่า เมื่อเด็กหนุ่มโคจรพลังลมปราณเข้าไป อักขระอาคมเหล่านั้นก็ถูกกระตุ้นให้เริ่มทำงาน แล้ววิญญาณของตัวดาบก็ถูกปลุกขึ้นมา ส่งผลให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงของดวงจันทร์บนฟากฟ้า

หลังจากนั้น ฟานซูอังจึงได้รู้สึกว่าเขาสามารถสลักชื่อบนใบดาบได้ง่ายขึ้นแล้ว

ชายหนุ่มขยับนิ้วมืออย่างรวดเร็ว

สุดท้าย เขาก็สลักชื่อลงไปได้สำเร็จ

แต่ในพริบตานั้นเอง สิ่งที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

“พรั่บ! พรั่บ! พรั่บ!”

ในรัศมี 15 วารอบตัวหลินเป่ยเฉิน กระบี่และดาบของทุกคนเกิดอาการสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าพวกมันอยากจะพุ่งออกจากฝักและตรงเข้าไปหาดาบศีลธรรมที่เพิ่งผ่านการแกะสลักชื่อเสร็จสิ้นหมาดๆ อย่างไรอย่างนั้น