บทที่ 111 การตั้งชื่ออันพิสดาร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 111 การตั้งชื่ออันพิสดาร

สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปในขณะที่ต้องเลื่อนมือจับด้ามดาบเอาไว้

ส่วนมือกระบี่ผู้อาวุโสก็ต้องโคจรพลังลมปราณใส่อาวุธคู่กายของตนเองเล็กน้อย

“คึก! คึก! คึก!”

เสียงกระบี่ของทุกคนยังคงสั่นสะเทือนอยู่ในฝัก

เฉาพั่วเถียนตอนแรกไม่ได้ใส่ใจจริงจัง แต่เมื่อเห็นว่ากระบี่พิฆาตสวรรค์ของเขาเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็ต้องเลื่อนมือมากุมด้ามกระบี่เอาไว้เพื่อไม่ให้มันพุ่งออกไป ทว่า ก็ยังต้องออกแรงกดด้ามจับเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว

ในขณะที่ตงฟางจันต้องใช้สองมือกดด้ามกระบี่เอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว กระบี่ไร้ความกลัวของเขาก็คงต้องลอยออกไปอย่างแน่นอน

ฝ่ายเด็กหนุ่มคนอื่นๆ อย่างเช่นเสว่เหยียน ซ้งเชวอี้ ซ้งชิงเฟิง หลินไห่ถัง ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้กระบี่ของตนเองพุ่งออกจากฝักลอยไปในอากาศ

บัดนี้ ไป๋ชินหยุนมีลักษณะเหมือนตุ๊กตาตัวน้อย มือข้างหนึ่งของนางกุมด้ามจับดาบใหญ่แนบแน่น ส่วนแขนอีกข้างโอบกอดเสาหินที่อยู่ข้างตัว แต่ถึงกระนั้น แรงดูดมหาศาลก็ทำให้ตัวของเด็กสาวแทบจะลอยตามดาบใหญ่ไปแล้ว

แต่ผู้ที่มีฝีมือต่ำต้อยกว่าอย่างเช่นพวกของสองพี่น้องตระกูลเซี่ยโหว ขณะนี้ดาบของพวกเขาได้ลอยออกจากฝัก และพุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินอย่างน่าหวาดกลัว ต่อให้ผู้เป็นเจ้าของพยายามไขว่คว้ารวดเร็วแค่ไหน ก็สายเกินไปแล้ว

“วูบ! วูบ! วูบ!”

กระบี่หลายสิบเล่มลอยอยู่ในอากาศ

พวกมันพุ่งตรงมุ่งหาหลินเป่ยเฉินเป็นเป้าหมาย แต่แล้วกระบี่ทั้งหมดนั้นกลับหยุดชะงักลอยค้างอยู่กลางอากาศ รักษาระยะห่างจากเด็กหนุ่มอยู่ประมาณ 1 วาเศษ

นั่นเองจึงทำให้ฉู่เหินสามารถถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ทันใดนั้น….

“เสร็จแล้ว”

ฟานซูอังร้องอุทานออกมาด้วยความยินดีปรีดา

ตัวอักษรสุดท้ายของคำว่า ‘ศีลธรรม’ ถูกสลักลงไปบนใบดาบเรียบร้อย ในที่สุด ดาบเล่มนี้ก็สลักชื่อเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์เสียที

ชายหนุ่มยกมือปาดเหงื่อที่ชุ่มโชกใบหน้า ลักษณะของฟานซูอังอ่อนล้าเหมือนพร้อมเป็นลมได้ทุกขณะจิต แต่ในแววตาก็ฉายชัดถึงความดีใจเปี่ยมล้น

ในกรณีที่การสลักชื่อดาบเป็นไปอย่างยากเย็น ก็หมายความว่าการหลอมรวมระหว่างตัวดาบกับผู้เป็นเจ้าของน่าจะมีสัดส่วนที่สูงมาก และหากสามารถสลักชื่อได้สำเร็จ มันก็ทำให้ฟานซูอังได้ทลายจุดตันของระดับพลังตนเอง อีกไม่นานนัก ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาจะต้องสามารถใช้วิชาปลุกวิญญาณกระบี่ฉบับสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าตัวดาบส่งคลื่นพลังงานบางอย่างเข้ามาที่แขนของตนเองผ่านทางด้ามจับ

มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าดาบเล่มนี้กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว

นับเป็นความรู้สึกที่เหนือล้ำกว่าการกุมจับด้ามกระบี่อีกระดับหนึ่ง

นี่คงเป็นความรู้สึกไม่ต่างจากหนุ่มโอตาคุสักคน ที่ได้มีโอกาสจับหน่มหน้มผู้หญิงของจริงเป็นครั้งแรก หลังเคยมีประสบการณ์ผ่านวีดีโอเกมมาตลอด

มือกระบี่ทุกคนล้วนมีอาวุธคู่กายเป็นของตนเอง

นี่คือความจริงแท้แน่นอน

หลินเป่ยเฉินตวัดดาบในมือด้วยความคล่องแคล่ว

“เช้ง! เช้ง! เช้ง!”

พริบต่อมา หมู่มวลกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศหลายสิบเล่ม พลันหักกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“เฮ้ย”

ตอนนั้นเอง หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกตัวว่ารอบกายมีบางอย่างผิดปกติ

“พวกแก…แอบเล่นงานฉันทีเผลองั้นเหรอ?”

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็โวยวายออกไปทันทีว่า “พวกเจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ดาบศีลธรรมของข้ายังไม่ได้แตะต้องกระบี่ของพวกเจ้าเลยสักนิด ดังนั้น ข้าไม่มีทางชดใช้ค่าเสียหายให้พวกเจ้าเด็ดขาด”

ขณะนี้ เด็กหนุ่มกลับมาเป็นคนหน้าเงินอีกครั้ง

“อยากจะให้ฉันจ่ายค่าเสียหายที่ทำกระบี่พวกนี้หักใช่ไหม? ไม่มีทางซะหรอก!”

ตอนที่พวกของเซี่ยโหวฉ่งเห็นกระบี่แตกหักไปต่อหน้าต่อตา ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้า อยากร้องไห้ให้ขาดใจตาย แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว

ถึงกระบี่ของพวกเขาจะไม่ได้เป็นยอดศัสตราวุธที่ล้ำค่าอันใด แต่ก็นับว่าเป็นกระบี่ที่คัดเลือกมาอย่างดี มีคุณค่าทางจิตใจสูงส่ง เมื่อต้องเห็นกระบี่คู่กายแตกสลายไปต่อหน้าต่อตาอย่างง่ายดายยิ่ง หัวใจจึงอดเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไม่ได้

“อัตราการหลอมรวมคือ 100 ส่วนครบจบสมบูรณ์ ดาบเล่มนี้สมบูรณ์แบบในทุกสัดส่วนแล้ว ฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย! เจ้าเลือกดาบมาได้เหมาะสมกับตนเองจริงๆ”

ดวงตาของฟานซูอังเป็นประกายวูบวาบ แต่ก็พยายามประคองดาบส่งคืนให้เด็กหนุ่ม โดยไม่ออกอาการปลาบปลื้มมากเกินไป

“ดาบเล่มนี้เหมาะสมกับข้าน้อยจริงๆ หรือขอรับ? มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง

“อีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้” ฟานซูอังไม่อธิบาย เพียงตอบพร้อมรอยยิ้ม “อาวุธของเจ้าอีก 2 ชิ้นนั่น ส่งมาให้ข้าสลักชื่อให้เลยก็ได้”

“ทำไมอยู่ดีๆ หมอนี่ถึงได้กระตือรือร้นขึ้นมาแบบนี้วะ? แม่งเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน”

แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่หลินเป่ยเฉินก็ส่งกระบี่สีเงินขนาดมาตรฐานไปให้ “กระบี่เล่มนี้มีนามว่าโดรานขอรับ”

ฟานซูอังขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “โดรานอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้องแล้วขอรับ มันเป็นอาวุธขั้นพื้นฐานในเกมที่ข้าน้อยเคยเล่น” หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโหยหา

“เกมที่เจ้าเคยเล่น? มันแปลว่าอะไรกัน?”

ฟานซูอังคิดด้วยความสงสัย

เช่นเดียวกับแขกในงานเลี้ยงทุกๆ คน

“กระบี่โดราน?”

“เป็นชื่อที่พิสดารอะไรเช่นนี้”

“โดรานคือใครกัน?”

“มันเป็นชื่อคนใช่ไหม?”

“หรือว่าเป็นชื่อสถานที่?”

“เอาเป็นว่าข้าจะตามใจเจ้าก็แล้วกัน” ในที่สุด ฟานซูอังก็ไม่สอบถามอะไรอีก เขาเริ่มต้นขยับนิ้วเขียนตัวอักษรไปบนใบกระบี่อีกครั้ง แล้วคำว่า ‘โดราน’ ก็ปรากฏขึ้นบนคมกระบี่ขนาดมาตรฐานเล่มนั้น

ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ดูดกระบี่เล่มอื่นเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว

แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินรับกระบี่โดรานมาถือเอาไว้ อักขระอาคมจำนวนมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นสว่างไสวในตัวกระบี่ เมื่อโคจรพลังลมปราณเข้าไปปลุกวิญญาณของกระบี่ขึ้นมา มันก็ระเบิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วจวนผู้ว่า ยิ่งกว่าแสงกระบี่ที่เปล่งออกมาจากดาบพิฆาตสวรรค์ของเฉาพั่วเถียนและดาบใหญ่ของไป๋ชินหยุนหลายเท่า

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

เฉาพั่วเถียนใบหน้ากระตุกด้วยความขุ่นเคืองมากขึ้น

ฟานซูอังถึงกับส่งเสียงอุทานอุทานด้วยความตกตะลึง “ระดับ…การหลอมรวม 100 ส่วนสมบูรณ์อีกแล้วหรือ? กระบี่เล่มนี้ก็เหมาะสมกับหลินเป่ยเฉินอีกแล้วหรือนี่?”

ชายหนุ่มจ้องมองหลินเป่ยเฉินตาเป็นมัน ในใจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นเซียนกระบี่ฟ้าประทานหรืออย่างไร

“หรือว่าเขาจะเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษ สามารถหลอมรวมได้กับอาวุธทุกชนิดบนโลกใบนี้? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ความเป็นไปได้ต่ำเกินไป แม้แต่ในเมืองไป๋หยุน ก็ไม่มีอัจฉริยะเช่นนั้นแม้แต่คนเดียว”

หลินเป่ยเฉินลองควงกระบี่โดรานดูสองสามรอบ แล้วเขาก็รู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้ เป็นอวัยวะอีกส่วนหนึ่งของร่างกายเช่นกัน

“ดี! ดีมาก!”

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกเสียดายหากจะนำกระบี่เล่มนี้ไปขาย

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็จัดการส่งกริชเงินไปให้ฟานซูอัง พร้อมกับกล่าวว่า “กริชเล่มนี้มีนามว่า…เอ่อ…เจิ้งอี้ก็แล้วกันขอรับ”

“เจิ้งอี้?”

“ชื่อใครอีกล่ะเนี่ย?”

รอยยิ้มแข็งค้างอยู่บนใบหน้าฟานซูอัง

ความมึนงงสับสนก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของทุกคนที่ได้ยินชื่อนี้

ไป๋ชินหยุนถึงกับต้องทวนคำออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า “กริชเจิ้งอี้อย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเด็กสาว แล้วกล่าว “เจ้าว่าไงนะ? ไหนพูดอีกครั้งซิ”

ไป๋ชินหยุนตอบกลับไปตามคำสั่ง “กริชเจิ้งอี้”

“ว่าไงนะ?” หลินเป่ยเฉินถามย้ำ

“กริช – เจิ้ง – อี้!” ไป๋ชินหยุนพลันตะเบ็งเสียงเหมือนมังกรคำราม “ท่านได้ยินชัดเจนหรือยัง?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ยินชัดแล้ว” หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มยียวนด้วยความพึงพอใจ “ถูกต้อง มันมีนามว่ากริชเจิ้งอี้”

นี่คือชื่อแห่งความทรงจำ!

หลินเป่ยเฉินเอาชื่อนี้มาจากชื่อของนักแสดงหนุ่มนามว่าเจิ้งอี้เจี้ยนนั่นเอง

มันทำให้เขารู้สึกดีใจที่ได้ยินชื่อเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์บ้าง

หลินเป่ยเฉินตั้งชื่อกระบี่ขนาดมาตรฐานว่า ‘กระบี่โดราน’ และขนานนามกริชเงินว่า ‘กริชเจิ้งอี้’ เขาไม่ได้ตั้งส่งเดช แต่มีเจตนาตั้งไว้เพื่อย้ําเตือนตนเองว่าเขามาจากโลกมนุษย์ และจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกลับบ้านให้จงได้

เพราะที่โลกมนุษย์ ยังคงมีครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขารอคอยอยู่

“ป่านนี้พ่อกับแม่คงออกตามหาตัวเราให้วุ่นวายไปหมดแล้ว พวกท่านคงร้อนใจมาก เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องกลับไปโลกมนุษย์ให้ได้”

หลินเป่ยเฉินพลันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า “อาจารย์ฟาน ขอบคุณสำหรับความเมตตา กริชเล่นนี้มีนามว่าเจิ้งอี้ขอรับ”