ตอนที่ 196 กรุณาฟ้าเวทนาคน (1)

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งเห็นหลินตงสือพูดแบบนี้ก็ยังส่ายหน้า “เรื่องสำคัญแบบนี้ อาตมาเกรงว่าจะไม่ได้จริงๆ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจะทำยังไง”

“โอ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ถือว่าผมขอร้องล่ะครับ ผมคุกเข่าให้ก็ได้? ท่านเล่นให้เต็มที่ก็พอ หลักๆ แค่เดินผ่านมาดู ไม่ได้ใช้ทักษะการแสดงสูงอะไรขนาดนั้นเลย” หลินตงสือเริ่มโกหกอีกครั้ง แทบจะใช้ทุกท่วงท่าเพื่อให้ฟางเจิ้งแสดง

ฟางเจิ้งเห็นหลินตงสือจะคุกเข่าจริงๆ เลยรีบยื่นมือไปรั้งไว้ หลินตงสือเห็นฟางเจิ้งลนลานนิดๆ จึงรู้ว่ามีหวังเลยจะคุกเข่าสุดชีวิต แต่เขาต้องพบสิ่งที่น่าเศร้า เณรที่ดูผอมแห้งกลับใช้ฝ่ามือประหนึ่งหินใหญ่รั้งเขาไว้ เขาออกแรงสุดชีวิตแต่กลับคุกเข่าลงไม่ได้! หลินตงสือคิดในใจด้วยความตกใจว่า ‘หลัวลี่ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลยนี่? หลวงจีนนี่ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ’

ฉะนั้นหลินตงสือเลยยิ่งอยากเชิญฟางเจิ้งมาแสดงยิ่งกว่าเดิม ขอร้องอ้อนวอนต่างๆ นาๆ ในใจกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง หนังฟอร์มยักษ์เรื่องล่มเมืองนี้ อย่าว่าแต่มีดาราตัวประกอบที่มีบทพูดเลย ต่อให้เป็นศพก็ยังมีคนเรียงแถวกันเข้ามาจะแสดง แต่ตอนนี้เขากลับดึงตัวนักแสดง…ขืนพูดเรื่องนี้ไป ตีให้ตายยังไงก็คงไม่มีใครเชื่อ ขณะเดียวกันหลินตงสือสาบานว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไปเด็ดขาด แต่ไม่นานนัก…

เห็นหลินตงสือทำแบบนี้ หวังโอ้วกุ้ยทนดูต่อไปไม่ได้ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ถ้าไม่อย่างนั้นลองดูหน่อยไหม ถ้าได้ก็ถือว่าช่วยๆ กัน ไม่ได้ก็ช่าง ยังไงพวกเขาก็จะเอาแบบนี้เอง”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ “ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะลองดู ต้องคุยกันก่อนนะว่าอาตมาแสดงไม่เป็นจริงๆ”

“ไม่เป็นไรครับๆ ท่านเป็นตัวของตัวเองก็พอ ไปครับ ผมจะพาไปหาผู้กำกับ ให้ผู้กำกับอธิบายบทให้ฟัง” หลินตงสือรับผิดชอบหน้าที่สำคัญ จึงรีบดึงฟางเจิ้งไปหาผู้กำกับอวี๋กว่างเจ๋อ

อวี๋กว่างเจ๋อได้ยินว่าฟางเจิ้งตกลงพลันดีใจใหญ่ มองข้ามที่ฟางเจิ้งบอกว่าแสดงไม่เป็นไปเลย

อวี๋กว่างเจ๋อพูด “หลวงพี่ฟางเจิ้ง อีกเดี๋ยวจะถ่ายหนังเรื่องล่มเมืองกันนะครับ พูดถึงเรื่องฮวามู่หลันไปเป็นทหารแทนพ่อในสมัยโบราณ ผู้หญิงคนไหนสวยที่สุด? ผ้าโพกหัววีรบุรุษสวยที่สุด! เลยใช้ชื่อว่าล่มเมือง แต่ที่เราจะถ่ายในวันนี้คือฉากมหาสงคราม หลังสงครามจบลงจะเหลือศพเต็มพื้น ท่านเป็นนักบวชที่อยู่ใกล้ๆ เดินมาโปรดสัตว์วิญญาณวีรบุรุษที่ตายไป แต่พบว่าฮวามู่หลันยังไม่ตาย เลยพาเธอไปช่วยชีวิต ระหว่างนี้จะมีบทพูดอย่างเดียวคือสวดมนต์ อันนี้ท่านเก่งกว่าผมอีก สวดไปตลอดทาง ช่วยคน เดินไป ง่ายๆ ครับ!”

ฟางเจิ้งฟังดังนั้นก็เหมือนจะไม่ยาก อีกอย่างเรื่องราวของฮวามู่หลันก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง สมัยเรียนยังเคยท่องบทเรียนนี้ พอได้ฟังคำอธิบายต่อจากอวี๋กว่างเจ๋อจึงได้เข้าใจ หนังเรื่องนี้เป็นหนังย้อนยุคจริงๆ หลักๆ คือตอบแทนประเทศด้วยความจงรักภักดี ผู้หญิงไม่ด้อยไปกว่าผู้ชาย แสดงให้เห็นถึงความอนาถาของสงคราม ความคิดหลักๆ คือการต่อต้านสงคราม ไม่ว่าจะยุคโบราณหรือปัจจุบัน สงครามอนาถเสมอ คนที่บาดเจ็บคือประชาชน…ความคิดแบบนี้ชอบธรรม ฟางเจิ้งเลยวางใจได้

ฟางเจิ้งคิดในใจ ‘นี่ถือว่าสร้างบุญกุศลล่ะนะ’

อีกด้าน นักแสดงหมู่กลุ่มใหญ่ถูกดึงกลับไปซ้อม คนนี้ตายตรงไหน คนนั้นตายตรงไหน ภายใต้การช่วยเหลือของนักแสดงรุ่นเก๋าจึงจัดวางตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน

ขณะเดียวกันมีรถหรูแล่นเข้ามาในหมู่บ้านทีละคัน

ถานจวี่กั๋วกับนักบัญชีหยางผิงรับผิดชอบดูแลในหมู่บ้าน เลยนำรถเข้าไปในสนามกีฬาโรงเรียนอนุบาล จากนั้นพาผู้ชายสวมสูทรองเท้าหนังหลายคนเดินขึ้นเขาไป เพียงแต่ว่าคนพวกนี้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เหมือนมีความในใจ

ถานจวี่กั๋วชวนคุยหลายครั้งก็ไม่ตอบ เขาเลยขี้เกียจจะสนใจ กลุ่มคนเดินกันไปเงียบๆ แบบนี้จนถึงยอดเขา

เหล่าเถารออยู่บนยอดเขา พอเจอหน้าแล้วก็ยิ้ม “ท่านรองหู ท่านรองจ้าว พวกคุณมากันแล้ว เชิญข้างในครับ”

“เถาเฉิน ผมได้ยินมาว่ากองถ่ายพวกคุณมีปัญหาเหรอ?” ชายร่างท้วม สวมแว่นตาขอบทองถาม

“เปล่านี่ครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เหล่าเถางงนิดๆ

“เอาล่ะเถาเฉิน ไม่ต้องแกล้งหรอก พวกเราได้ยินมาว่านักแสดงอาวุโสอาจารย์ซ่งเฟิงกู่เข้าโรงพยาบาลไม่ใช่รึไง?” ชายอีกคนสวมเสื้อผ้าค่อนข้างสบายๆ แต่เอกลักษณ์เฉพาะไม่ด้อยไปกว่าท่านรองหูเลย

เหล่าเถาได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป ก่อนฝากความคิดถึงไปถึงโคตรตระกูลของคนที่เผยความลับ ทว่าปากกลับว่า “ท่านรองจ้าว เกิดเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”

“ซ่งเหล่าไม่อยู่ คุณบอกผมมาเถอะ วันนี้จะแสดงยังไง? พวกเรามาไกลนะ จะให้ดูอะไร? เที่ยวชมภูเขา?” หูเซี่ยวพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ช่างเถอะ พูดกับคุณไปก็ไม่มีประโยชน์ พาพวกเราไปพบผู้กำกับอวี๋กับเสวี่ยอิง” จ้าวหงเสียงกล่าว

เหล่าเถายิ้มแห้งๆ รู้ว่าคำพูดตนอาจจะใช้ไม่ได้ คนที่จะให้สองคนนี้ยอมลดฐานะมาฟังได้ในกองถ่ายนี้มีแค่ผู้กำกับอวี๋กับหลี่เสวี่ยอิงเท่านั้น วงการภาพยนตร์จีนจะมีผู้กำกับเป็นหัวใจสำคัญ ฝ่ายลงทุนจะต้องยืนอยู่ข้างๆ ในวงการ มิหนำซ้ำด้วยชื่อเสียงผู้กำกับสมัยใหม่อันดับหนึ่งอย่างอวี๋กว่างเจ๋อ! ไม่ว่าฝ่ายลงทุกจากไหนก็ต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ ส่วนหลี่เสวี่ยอิงเป็นนักแสดงนานาชาติ ไม่มีใครไม่ให้เกียรติเธอ

จริงดังว่า หลังจากสองคนนี้เดินไปพบอวี๋กว่างเจ๋อด้วยใบหน้าเย็นยะเยือกแล้ว ก็เหมือนกับฟ้าหลังฝน เมฆดำหายไป เดินเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้ม ซ้ำหัวเราะเสียงดัง “ผู้กำกับ ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ฮ่าๆ…”

“ผู้กำกับ ช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงบ้างครับ? เร็วๆ นี้ผมได้เหล้าดีมาอีกสองขวด หาเวลาไปดื่มกันไหมครับ?”

เหล่าเถาได้ยินแบบนั้นก็มองบน คนกับคนเทียบกันไม่ได้จริงๆ ไปเศร้าใจอีกด้านดีกว่า

“พวกคุณสองคนอย่ามาหัวเราะกันเลยนะ หัวหน้าพวกคุณให้มาเยาะเย้ยกันล่ะสิท่า?” อวี๋กว่างเจ๋อพูดยิ้มๆ

สองคนได้ยินดังนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจ้าวหงเสียงพูดอย่างเป็นกันเอง “ผู้กำกับอวี๋ คุณรู้หรือว่าพวกเราเป็นเพียงตัวแทน ข้างหลังยังมีพวกหัวหน้าอีกกลุ่มใหญ่รอพวกเรากลับไปรายงานอยู่ แต่ว่าระหว่างทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…แก้ยากล่ะนะ”

อวี๋กว่างเจ๋อยิ้ม “แก้ยากตรงไหน? วางใจเถอะ ถึงซ่งเหล่าจะมาไม่ได้ แต่ผมหาคนมาแทนไว้แล้ว รับรองว่าวันนี้พวกคุณได้เห็นฉากใหญ่แน่” เพียงแต่ว่าตรงส่วนลึกในใจ อวี๋กว่างเจ๋อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แค่ตอบรับไปก่อนค่อยว่ากัน

“อ้อ? ผู้กำกับอวี๋เตรียมพร้อมล่วงหน้าหาคนมาแทนแล้วเหรอเนี่ย? ฮ่าๆ…ผมว่าแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้หยุดผู้กำกับอวี๋ไม่ได้หรอก” หูเซี่ยวหัวเราะเสียงดัง

จ้าวหงเสียงพูด “ผู้กำกับอวี๋คิดรอบคอบจริงๆ นักแสดงแทนซ่งเหล่าเป็นนักแสดงอาวุโสคนไหนครับ? บอกหน่อยได้ไหม”

อวี๋กว่างเจ๋อทำหน้าเก้ๆ กังๆ ด่าทอในใจไปยกใหญ่ ‘ใครบอกแกว่าฉันเตรียมการไว้แล้ว? ใครบอกแกว่าฉันมีนักแสดงอาวุโสแทน? ใครจะไปทำได้วะ? อีกฝ่ายยังไม่เกิดเรื่องใครเขาจะไปเตรียมก่อน? ถุย!’ แต่ปากเอ่ยไปว่า “พวกคุณคงต้องผิดหวังแล้วล่ะครับ ครั้งนี้ผมใช้หน้าใหม่มาแสดงร่วม”

“พรวด!” หูเซี่ยวที่เพิ่งดื่มน้ำแทบจะพ่นออกมาทั้งหมด “หน้าใหม่? นักแสดงร่วม?”